หวิดสิ้นชื่อในวัน..."เสียงปืนแตก" พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ โฆษก คปค.

หวิดสิ้นชื่อในวัน..."เสียงปืนแตก" พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ โฆษก คปค.

 

 

 

เรื่อง  : สุทธิคุณ    กองทอง   ภาพ :  ชวกรณ์  สะอาดเอี่ยม

 

หวิดสิ้นชื่อในวัน..."เสียงปืนแตก" พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ โฆษก คปค.

 

สถานการณ์ภายในประเทศ ก่อนหน้านี้ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าคณะพร้อมด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีการแต่งตั้ง พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร เป็นโฆษก คณะปฏิรูปฯ เพื่อเป็นการทำงานให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยโดยเร็วที่สุด (ต่อมา คปค. ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ)

 

ก่อนที่จะมาเป็นโฆษก คปค. พล.ท.พลางกูร เป็นทหารอีกนายหนึ่งที่ผ่านสมรภูมิรบกับพวกคอมมิวนิสต์เกือบเอาชีวิตไม่รอดนับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ปี ๒๕๐๘ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เริ่มปฏิบัติการโจมตีกองกำลังของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลไทย 

 

 โดยในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๘ กองโจรคอมมิวนิสต์ซุ่มโจมตีขบวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่บ้านนาบัว ต.เรณูนคร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม นับเป็นครั้งแรกที่คอมมิวนิสต์ได้ใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยถือโอกาสนั้นประกาศว่า วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๘ เป็นวันที่เปิดสงครามจรยุทธ์ และเรียกวันนั้นว่า

 

  "วันเสียงปืนแตก"

 พล.ท.พลางกูร เล่าว่า การเป็นทหารในคราวนั้น ถือเป็นภารกิจใหญ่ที่สุดของชีวิต ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๘ กว่าการต่อสู้ปราบกลุ่มคอมมิวนิสต์ได้หมดสิ้น ประมาณปี ๒๕๒๖-๒๕๒๗ 

 

 ถ้าเป็นช่วงที่รุนแรงมากที่สุด ก็จะอยู่ประมาณปี ๒๕๑๖ ปี ๒๕๑๙  เรื่อยมาจนถึงปี ๒๕๒๒ ทำให้มีการต่อสู้กันหนัก คนไทยเสียชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เป็นการปรับนโยบายการเมืองนำการทหารสมัยแม่ทัพภาค ๒  คือ พล.ท.เปรม ติณสูลานนท์ ปัจจุบันท่านเป็นประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

 

 ดังนั้น เราเอาชนะกลุ่มพวกคอมมิวนิสต์ได้มาจากวิถีแห่งความเป็นไทย โดยเฉพาะหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ประกอบกับใช้การเมืองนำการทหาร สิ่งสำคัญที่สุด พระบารมีของล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ที่พระองค์ท่านเสด็จฯ เยี่ยมให้กำลังใจทหาร ช่วงแรกๆ ล้นเกล้าฯ ได้เสด็จฯ พระราชทานเพลิงศพทหาร ปีละ ๔๐๐-๕๐๐ ศพ จนเมื่อเราแก้ปัญหาถูกทาง  การเมืองนำการทหาร มีการจัดตั้งไทยอาสาป้องกันหมู่บ้าน ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย ผู้ก่อการร้ายออกมามอบตัว  ทุกอย่างก็ดีขึ้น อย่างน้อยตัวเองก็มีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น

 

 ส่วนที่เรียกได้ว่า เสี้ยววินาทีเฉียดตายครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อครั้งสังกัดทหารปืนใหญ่ โดยถูกกลุ่มคอมมิวนิสต์ยิงถล่มเต็นท์ที่ใช้นอนระหว่างที่เปลี่ยนเวรทหารด้วยกัน

 ภาพวันนั้นจำได้ไม่ลืม เพราะมีลูกน้องเสียชีวิต ๑ นาย และบาดเจ็บอีก ๕ นาย ส่วนตัวเองไม่เป็นอะไร ตรงนี้เชื่อว่าแคล้วคลาดมาด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังเสียใจที่ลูกน้องต้องมาเสียชีวิต ในครั้งนั้นได้แขวนพระเครื่องเพื่อให้เกิดความอุ่นใจเหมือนกับทหารหลายๆ คน เพราะเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า มีอยู่จริงที่คอยคุ้มครองเรา

 

 "ผมคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างมีจริง คือใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ไม่ไปลบหลู่ เพราะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราเกือบเสียชีวิตมาแล้ว แม้ผมไม่เป็นอะไรเลยก็ตาม ผมคิดว่าการทำงานที่ผ่านมาก็มีทั้งทุกข์และสุข ผสมกันไปตลอด ผมมีวันนี้ได้ ก็เชื่อว่าไม่มีใครประสบความสำเร็จไปได้ทุกเวลา และไม่ใช่ล้มเหลวไปทุกเวลา แต่จุดยืนตัวเองก็ต้องมี ความสำเร็จก็ต้องคู่กับความล้มเหลวในทุกข์มีสุข ในสุขมีทุกข์" นี่คือความเชื่อของ โฆษก คปค.

 

 พร้อมกันนี้ พล.ท.พลางกูร ยังอธิบายถึงที่มาของความศักดิ์สิทธิ์ให้ฟังว่า สิ่งเหล่านี้เหมือนที่ไปไหว้มหาเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า ที่ชาวพุทธทั่วโลกเชื่อกันว่า ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้เดินทางไปแล้วก็รู้สึกว่าเป็นมงคลกับตัวเอง ซึ่งจะเหมือนกับประเทศไทย ที่มีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ที่เราเชื่อว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน

 สำหรับพระเครื่องที่ พล.ท.พลางกูร แขวนติดตัวประจำ ประกอบด้วย เหรียญพระแก้วมรกตทองคำ พระไพรีพินาศทองคำ พระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ทองคำ ล้วนเป็นพระที่ได้มาจากการทำงาน โดยผู้ใหญ่เมตตามอบให้แขวนเป็นที่ระลึก และบูชาให้เป็นสิริมงคลกับตัวเองมาหลายสิบปี ซึ่งได้แขวนพระทั้ง ๓ องค์นี้มาตลอด ดังนั้น การแขวนพระเครื่องจริงๆ ก็เพื่อต้องการให้จิตใจไม่ไขว้เขว จะได้ระลึกนึกถึงศีลธรรม คุณธรรมด้วย

 

 พล.ท.พลางกูร บอกด้วยว่า ปัจจุบันจะสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เหมือนกับทุกคนที่นับถือศาสนาพุทธ อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจเราสงบ และให้เราระลึกนึกถึงการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผลให้เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมว่า ใครทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วก็ต้องได้ชั่ว ถ้าเราประพฤติตนให้เหมาะสม ก้าวเดินไปให้พอเหมาะกับชีวิต ก็จะนำพาให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้ แต่คนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ที่ใจตนเอง และขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของเราประกอบกันด้วย

 

 "วิบากกรรมของคนเราไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีมากหรือน้อยแตกต่างกันไป กรรมที่ได้ทำไว้ในอดีตชาติจะต้องชดใช้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่ดี หรือชั่ว จะชดใช้อย่างไรขึ้นอยู่กับกรรมนั้น กฎแห่งกรรมก็จะตามทัน สมมติไปฆ่าคน เกิดคิดไปหลอนไป ก็จะกลับมามอบตัว หรือฆ่าตัวตายตาม กฎแห่งสังคมก็หมายว่า ถ้าเขารู้ว่าเราเป็นคนไม่ดี เขาก็จะไม่คบกับเรา คนเราก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ทำดีได้ดี ทำไม่ดีก็ต้องรับกรรมไป" พล.ท.พลางกูร กล่าวทิ้งท้าย