นาตาช่า คอฟแมน กรรม...เหมือนลูกเทนนิส

นาตาช่า คอฟแมน กรรม...เหมือนลูกเทนนิส

 

 

 

เรื่อง  : สุทธิคุณ    กองทอง   ภาพ :  กิตตินันท์ รอดสุพรรณ

 

 นาตาช่า คอฟแมน กรรม...เหมือนลูกเทนนิส

 

ร้านสาละธรรม ของ "เปิ้ล" นาตาชา คอฟแมน นักแสดงและนางแบบชื่อดัง เกิดขึ้นมาด้วยเหตุผลที่ว่า เธอเป็นคนที่ชอบทำบุญมาตั้งแต่เป็นเด็ก เข้าออกร้านสังฆภัณฑ์บ่อยมาก ทำให้คิดอยู่เสมอว่า น่าจะมีร้านเกี่ยวกับเครื่องสังฆทาน และจะต้องเป็นสังฆทานที่มีรูปแบบที่สวยงาม โดยมีสินค้าให้ลูกค้าได้เลือกจัดชุดสังฆทานได้ตามต้องการ ในแบบมินิมาร์ท มีโอกาสเลือกสินค้าดีที่สุด เพื่อนำไปทำบุญ ๒๐-๓๐ แบบ

 

นอกจากนี้ ความพิเศษของ ร้านสาละธรรม อยู่ที่การแบ่งพื้นที่บางส่วนเป็นสวนสำหรับผู้ที่ต้องการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน รวมทั้งหนังสือธรรมะ ไว้บริการลูกค้า ด้วยเหตุที่ว่า เธอชอบเข้าวัดปฏิบัติธรรม ทำบุญ รวมทั้งชอบอ่านหนังสือ ธรรมะ เคล็ดลับ...ของชีวิต เป้าหมายของการปฏิบัติธรรม เขียนโดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)

 

นาตาชา บอกว่า ชื่อเสียง หมายถึง เกียรติ ค่า หรือราคาที่บุคคลมีอยู่ในลักษณะที่ปรากฏแก่บุคคลทั้งหลายในทางสังคม การทำให้เสียชื่อเสียง จึงหมายถึงการทำให้เสียเกียรติ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่คนยุคใหม่ต่างต้องการจับจองเป็นเจ้าของ

แต่ในชีวิตจริงกลับมองว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา มีมาก็ย่อมมีจากไป ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง

สัจธรรมชีวิต คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา

ดังนั้น อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ท่านพุทธทาสชอบกล่าวเสมอๆ ว่า ชีวิตหรือสัจธรรม มันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นธรรมดาตามปกติ ถ้าทำด้วยความเคยชินได้ อย่างการหายใจโดยอัตโนมัติ ตามธรรมชาติ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติ คือ ความจริง และความจริงต้องพิสูจน์ได้

 

หากคนเราเข้าใจว่า ธรรมะ คือ ธรรมชาติที่เกิดขึ้น หากทุกคนเข้าใจ ก็จะไม่มีคำตอบอะไรเลย อะไรจะเกิดขึ้นเราก็จะเข้าใจด้วยตัวของเราเอง พอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาเราก็รู้ พอเรารู้แล้วเราก็มีหน้าที่ตั้งรับ แก้ปัญหาด้วยตัวของเรา และคนรอบข้างให้มีความสุข ตั้งอยู่ดับไปจึงเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องกรรมของเรานั่นเอง

 

ส่วนที่มาของความสนใจในการปฏิบัติธรรม ทำบุญ และศึกษาธรรมนั้น นาตาชา บอกว่า มาจากครอบครัวพาเข้าวัดทำบุญตั้งแต่เป็นเด็ก แล้วเห็นคนนุ่งขาวห่มขาว จึงตั้งคำถามขึ้นว่า สิ่งนั้นคืออะไร ช่วงเวลานั้นคิดเสมอว่า ถ้าโตขึ้นเราจะใส่ชุดขาวแบบนั้น บ้าง กระทั่งวันหนึ่ง เข้าไปปฏิบัติธรรม นุ่งขาวอย่างที่ตั้งใจ ก็มีความรู้สึกที่ดี

 

จึงมีความคิดว่า ถ้าการปฏิบัติธรรมดีอย่างนี้ กระทรวงศึกษาธิการน่าจะบรรจุเป็นหลักสูตรการเรียนการสอน เพราะถ้าทำได้เชื่อว่าสังคมไทยเราจะสงบสุขขึ้นอีกมาก

ส่วนความเปลี่ยนแปลงของชีวิต เมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมนั้น นาตาชาพูดไว้อย่างน่าคิดว่า "ก่อนและหลังจากการเข้าไปปฏิบัติธรรมชีวิตมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีความรู้สึกว่า การปฏิบัติธรรมเป็นการทำให้เรารู้จักตัวตนของตนเอง เพราะสิ่งที่เราเป็นอยู่กันทุกวันนี้ เราไม่ค่อยรู้จักตัวเอง กลับรู้จักแต่สิ่งรอบข้าง มองแต่สิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น แต่ไม่เคยมองกลับมาที่ตัวเรา การปฏิบัติธรรมก็คือการไปแก้ไข ทำให้เรารู้มีสติมีปัญญาอยู่ตลอดเวลา"

 

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ปฏิบัติธรรมยังได้รับคำสอนจาก คุณแม่สิริ กรินชัย ที่สอนอยู่เป็นประจำคือ ทำอะไรต้องมีสติอยู่กับตัว และให้มีแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต ใครก็ตามหากมีโอกาสถามธรรมคุณแม่สิริจะได้อะไรจากท่านมาก แม้ว่าวันนี้ท่านจะอายุมากแล้ว แต่ถ้าถามเรื่องธรรมะ ท่านสามารถตอบคำถามเราได้หมดทุกเรื่อง

วันนี้ชีวิตได้ปฏิบัติธรรมมานานแล้ว จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้ช่วย อาจารย์กาบแก้ว (กรินชัย) ไชยะบุรินทร์ ที่ต้องเดินสาย เป็นวิทยากรในการอบรมวิปัสสนากรรมฐาน อย่างน้อยเป็นการช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนา

 

นาตาชา พูดถึงพระเครื่อง ที่แขวนติดตัวอยู่เป็นประจำ คือ พระปิดตาพังพระกาฬ จตุคามรามเทพ วัดพุทไธศวรรย์ ซึ่งพี่ที่นับถือกันให้เป็นของขวัญวันเกิด ความเชื่อเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง หรือพระพุทธรูปองค์ใดก็ตาม ท่านล้วนเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ สอนตัวเราเสมอให้กระทำแต่ความดี ไม่ใช่แขวนพระเครื่องแล้วทำให้เราเกิดกิเลสอะไร แต่มีท่านเอาไว้ให้เรามีสติในการดำเนินชีวิต สิ่งสำคัญที่คนเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อต้องการกราบไหว้บูชา และขอพรให้ดลบันดาลความสำเร็จมาให้

 

พร้อมกันนี้ นาตาชา ยังเล่าถึงเหตุการณ์เฉียดตายด้วยว่า เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งกำลังเดินข้ามถนนกับเพื่อนสองคน เรามองดูแล้วว่าสองข้างทางไม่มีรถอย่างแน่นอน ปรากฏว่ามีรถบัสขับมาด้วยความเร็วสูง ฝ่าไฟแดง วิ่งตัดหน้าไปเพียงระยะห่างแค่หนึ่งก้าวเท่านั้น

ถ้าวันนั้นไม่หยุด เพื่อดูรถอีกรอบ คงต้องตายเป็นแน่ แล้วการรอดตายมาในวันนั้น ก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์

"ชีวิตคนเราไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ มันเป็นเรื่องที่เราทุกคนจะต้องเจอ เมื่อถึงเวลา เพราะว่ากรรมของเราต่างหาก ที่จะเป็นผู้ลิขิตเรา เราจะทำดีกันไว้แค่ไหน ผลของกรรมดีก็จะตอบกลับมา จะมากจะน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกรรมดี เหมือนกับเราตีลูกเทนนิส ไปได้แรงแค่ไหน ลูกเทนนิสก็จะย้อนกลับมาหาเราอยู่วันยังค่ำ ไม่อยากให้ทุกคนไปคิดว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะไม่มีอะไรจะได้มาชั่วครู่ชั่วยาม"