ความเชื่อของ...ฉัตรชัย เปล่งพานิช "ผู้สวมบทจอมขมังเวทย์ "

ความเชื่อของ...ฉัตรชัย เปล่งพานิช "ผู้สวมบทจอมขมังเวทย์ "

 

 

 

 

 

 

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง   ภาพ :  พีระรัตน์ ธรรมจง

 

ความเชื่อของ...ฉัตรชัย เปล่งพานิช "ผู้สวมบทจอมขมังเวทย์ "

 

 

จอมขมังเวทย์ ภาพยนตร์แอ็คชั่น เรื่องราวการต่อสู้ด้วยวิชาอาคมไสยศาสตร์อันเร้นลับ เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบปัญหาใน การปราบปรามคนร้ายที่แกร่งกล้าเชิงคาถาอาคม เครื่องรางของขลัง หนังเหนียว ฟันแทงไม่เข้า ตำรวจได้จัดตั้ง กองกำลังมือปราบหน่วยลับพิเศษขึ้น โดยคัดสรรแต่นายตำรวจฝีมือดีแก่กล้าทางวิชาอาคม ของขลัง เพื่อใช้ปราบปราม อาชญากรรมพิเศษเหล่านี้โดยเฉพาะ ระหว่างตำรวจกับคนร้ายที่มีของขลัง หากว่าคราวนี้ตำรวจเป็นผู้ใช้ของขลังเสียเอง

 

"มันมีทางให้เลือก ๒ ทาง ทางเดินของคนดีหรือจะเลือกทางเดินไสยศาสตร์แบบข้า ก็จงเลือกเอา" นี่คือส่วนหนึ่งของบทสนทนาสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง “จอมขมังเวทย์” ของบริษัท อาร์.เอส.โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) นำแสดงโดย นก - ฉัตรชัย เปล่งพานิช พระเอกนักแสดงยอดฝีมือคนหนึ่งของวงการบันเทิง ซึ่งพลิกคาแรคเตอร์ไปไกลสุดๆ กับบทบาท “อิทธิ” อดีตนายตำรวจที่เข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมผู้ต้องหาเมื่อ ๒๐ ปี ฉัตรชัย บอกว่า ในฐานะที่แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนตัวแล้วก็เชื่อว่า คนเราเกิดมาก็เป็นกฎแห่งกรรม ใครทำอะไรไม่ดี หรือตัวเราเองทำอะไรไม่ดี ไปเบียดเบียนคนอื่น มันก็เป็นเรื่องไม่ดี เป็นกรรมที่เราสร้างกันเอาไว้ สักวันหนึ่งคนที่ทำไม่ดีก็จะต้องรับกรรมนั้น ไม่วันใดก็วันหนึ่ง กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาตินี้ใครทำกรรมอะไรไว้ต้องได้รับกรรมนั้นแน่นอน

 

ในภาพยนตร์จอมขมังเวทย์เล่นเป็นอิทธิ อดีตนายตำรวจหน่วยพิเศษ เคยจับคนร้ายที่แก่กล้าทางคาถาอาคม หนังเหนียว ฟันแทงไม่เข้ามานับไม่ถ้วน แต่ตัวเองกลับต้องโทษคดีวิสามัญคนร้าย จึงต้องมีการศึกษาวิชาเหล่านี้เพื่อใช้ในการจับกุมคนร้าย การศึกษาจากการเริ่มต้นมันก็จะรู้ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ทำให้ตัวเรากลายเป็นคนที่มีเวทย์มนต์ตามผู้ต้องหาไปเลย จนกระทั่งกลายเป็นนักโทษถูกขังลืมอยู่ในคุกมืด แดนจองจำพิเศษ

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราว เกิดขึ้นระหว่าง การเคลื่อนย้ายนักโทษพิเศษ จากเรียนจำเก่า ประตูคุกเคลื่อนเปิดออก พราหมณ์ร่ายมนต์พิธีเดินนำขบวน ผู้คุมขยับปืน ขยับตัว แววตาหวาดกลัว กึ่งระแวดระวัง ทุกสายตาจับต้องไปยังที่ร่างของ 'นักโทษพิเศษ' ที่เดินออกมา ตามร่างกายก็จะมีการสักยันต์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ก่อนแสดงต้องมีการเขียนสักยันต์ถึงสองวันกว่า จะเสร็จเรียบร้อยให้มีความขลังเหมือนของจริง

 

ขณะเดียวกันเวลาในเรื่องผ่านไป ๑๐ ปี ตัวอิทธิเองก็หายตัวไปจากห้องขังที่ปิดทึบราวกับล่องหน ทำให้ พ.ต.ท.ทศพล (ณัฐวุธ เอื้อมพรวนิช) และ พ.ต.ท.ธีระศักดิ์ (ทอม ดันดี) อดีตเพื่อนนายตำรวจ ได้ออกคำสั่งจับตายอิทธิ ร.ต.ต.สันติ (พุฒิชัย อมาตยกุล) นายตำรวจเจ้าของพื้นที่ ออกติดตามสืบสาวหาตัวอิทธิ แต่กลับพบเจอเหตุการณ์ประหลาดลี้ลับ อิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์ ที่ล้วนแต่เคยได้ยินแต่คำร่ำลือ ไม่ว่าจะการเสกตะปูเข้าตัวคน หรือคนร้ายที่คงกระพันหนังเหนียว ฯลฯ

 

"ถ้าถามถึงส่วนตัวว่า มีความเชื่อกับเรื่องราวปาฏิหาริย์หนังเหนียวอะไรเหล่านี้ไหม คงต้องบอกว่า เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งมากกว่า เพื่อไม่ให้หนักไปทางใดทางหนึ่ง แต่ถ้าถามว่าผมเองมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ไหม คงต้องตอบว่า เคยเห็นมาตั้งแต่เป็นเด็ก ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่คุณย่าคุณทวด ที่เชื่อถือในเรื่องราวเหล่านี้ เพราะท่านจะเลี้ยงรักยมกัน มีสาลิกาลิ้นทอง ก่อนออกจากบ้านจะต้องทาสีผึ้ง และรอบๆบ้านจะต้องโรยทรายเสกเอาไว้กันขโมย มันเป็นเรื่องที่เชื่อกันมา แล้วก็มีการทำมาตั้งแต่โบราณก็ว่าได้" นี่เป็นความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ของผู้สวมบทจอมขมังเวทย์ พร้อมกับเล่าต่อว่า

 

สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเป็นที่ค่อนข้างลึกลับ มีบรรยากาศดูน่าสะพรึงกลัว หรือโดยการจำลองสถานที่ที่คล้ายจริงขึ้นมา แม้จะเป็นคนกลัวผีแบบมากๆ ก็ตาม ฉัตรชัย บอกว่า ความกลัวผีมันเป็นมาจากจิตใต้สำนึกของเราแล้ว พอได้มาเล่นเรื่องนี้ จากคนที่เคยเป็นคนกลัวผี หนังเรื่องนี้กลับจะต้องมาเล่นเป็นคนเลี้ยงผี ความกลัวตรงนี้จะกลัวผีไม่ได้ สิ่งที่ทำได้กับการเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ ต้องทิ้งความกลัวทั้งหมดออกไป ความกลัวที่เคยกลัวๆ หวาดๆ มันก็หายไปเอง

 

การถ่ายทำตลอดทั้งเรื่องก็มีคนพบเจอ อะไรแปลกๆ กันบ่อยมาก มีทีมงาน บางคนเห็นเด็กวิ่งไป วิ่งมาบ้างในกองถ่าย ส่วนตัวแล้วก ็ยังไม่เคยเจอในลักษณะแบบนั้น แต่ก็คงต้องยอมรับว่า กลัวกับเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล เราเองก็จะไม่ไปลบหลู่ใน สิ่งที่เรามองไม่เห็นอย่างเด็ดขาด "จะว่าไปแล้วภาพยนตร์ที่เล่นมีหลายฉาก ที่ทำออกมาแล้วน่ากลัวมาก ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศหรือ สถานที่ถ่ายทำเช่น ฉากในวัด ฉากสวดภาณยักษ์ ที่แม้จะเป็นการจำลองขึ้นมาทั้งหมด มีอะไรหลายๆ อย่างประกอบ จึงทำให้ดูแล้วรู้สึกขนลุก อย่างซีนที่ต้องติดคุกก็ใช้ความเชื่อ ทำตามที่ผู้ใหญ่บอก นั่นคือ การเดินถอยหลังเข้า มันเป็นวิธีที่ทำกันมานานแล้วก็ทำตามเช่นกัน" ฉัตรชัยกล่าว

 

ส่วนเรื่องของคาถาอาคม ฉัตรชัย เชื่อว่ามีจริง แต่ถ้าเป็นคนทรงเจ้าอะไรทำนองนี้ เป็นคนไม่ค่อยเชื่อ เพราะยังไม่เคยเจอมากับตัวเองจริงๆ ก็เลยไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ ขณะเดียวกันก็จะไม่ลบหลู่ ดังนั้น ถ้าเวลาไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่ไหนไกลๆ ก็จะสวดมนต์ไหว้พระ เจ้าที่เจ้าทางที่นั้นๆ เพื่อเป็นการขอขมาเหมือนชาวพุทธทั่วไป คนเราทำอะไรที่ผู้ใหญ่หรือปู่ย่าสอนมาน่าจะดีที่สุด ส่วนเรื่องเครื่องรางติดตัวที่แขวนติดตัวก็จะเป็น เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

 

"ผมแขวนพระเจ้าตากสินมามาตั้งแต่แสดงหนัง เรื่องพระเจ้าตากแล้ว การแขวนครั้งนั้นมีเพื่อนแนะนำให้แขวนติดตัว เขาบอกว่าแขวนแล้วจะดีนะ ประกอบกับส่วนตัวก็มีความเคารพนับถือพระองค์ท่านอยู่แล้ว การแขวนพระหรือเหรียญอะไรก็แล้วแต่ เราก็แขวนเพราะเป็นชาวพุทธคนหนึ่งเหมือนกัน การแขวนพระก็เพื่อเอาไว้คอยยึดเหนี่ยวจิตใจ และเพื่อความสบายใจให้กับตัวเรา” ฉัตรชัย กล่าวทิ้งท้าย