พลังศรัทธาของ..."แผน วรรณเมธี" ประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก

พลังศรัทธาของ..."แผน วรรณเมธี" ประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก

 

 

 

 

 

 

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง   ภาพ :  ประเสริฐ เทพศรี

 

พลังศรัทธาของ..."แผน วรรณเมธี" ประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก

 

มีข่าวจับสึกเจ้าอาวาสวัดที่สลัดผ้าเหลือง ย่องเสพสมแม่ม่ายสาว จนมีลูกด้วยกันขึ้นหน้าหนึ่ง หรืออดีตเจ้าอาวาสบางรูปสลัดผ้าเหลืองเข้าม่านรูด ความชั่วความเลวเหล่านี้หากมีหลักฐาน คนที่อาศัยผ้าเหลืองเหล่านี้ถึงจะยอมสึก จากภาพของผู้ที่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์กระทำตัวไม่เหมาะสมนั้น ได้สร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก

 

ส่วนข่าววงการพระสงฆ์จะมีภาพลบแค่ไหนในมุมมองของ นายแผน วรรณเมธี อายุ ๘๒ ปี ประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) และ อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ มองว่า เป็นเรื่องของตัวบุคคล เพราะพระสงฆ์มีประมาณ ๓ แสนรูป พอทำไม่ดีเพียงรูปเดียวก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายต่อภาพรวมของพระรูปอื่นๆ เข้าข่ายสุภาษิตที่ว่า "ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งตะข้อง"

 

สาเหตุที่สมภารไปมั่วสีกาแล้วเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่ง เป็นเรื่องที่สังคมชอบอ่าน เป็นการขายข่าว จนถูกวิจารณ์ว่าศาสนาพุทธเริ่มเสื่อมลงหรืออย่างไร ตรงนี้อยากจะย้ำว่าเป็นเรื่องของตัวบุคคล เพราะยังมีพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกเป็นจำนวนมาก หากเปรียบเทียบกับพระทำเลวเพียงรูปหรือสองรูป เมื่อได้เข้ามาทำหน้าที่ประธาน พ.ส.ล.เราก็ต้องดูแลพระพุทธศาสนาที่เชื่อมโยงกันทุกมุมโลกให้โลกเกิดสันติสุข

 

นายแผนกล่าวถึงความเป็นมาขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกว่า มีสมาชิกรวม ๓๗ ประเทศ โดยก่อตั้งมาแล้วกว่า ๕๐ ปี เริ่มขึ้นครั้งแรกที่ประเทศศรีลังกาเป็นประธาน จากนั้นมาก็เป็นชาวพม่า หลังจากนั้นสถานการณ์การเมืองในพม่ามีความวุ่นวาย จึงได้มีการย้ายสำนักงานมาอยู่ในกรุงเทพฯ โดยมี ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล เป็นประธาน พ.ส.ล. คนไทยคนแรก ต่อมาก็เป็นท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ มารับหน้าที่เป็นประธาน พ.ส.ล.ระยะหลังท่านสัญญา สุขภาพไม่แข็งแรง จึงได้ชวนให้มาช่วยงาน

 

เมื่อมีการประชุมกันที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ก็มีเหล่าสมาชิกของ พ.ส.ล.ทั่วโลกมาลงคะแนนเพื่อหาประธาน พ.ส.ล.คนใหม่แทนท่านสัญญา ในคราวนั้นก็มีการเสนอชื่อ นายแผน วรรณเมธี เพียงคนเดียว ทำให้ได้รับหน้าที่เป็นประธาน พ.ส.ล.มาตั้งแต่บัดนั้นจนมาถึงปัจจุบันซึ่งเป็นวาระสมัยที่ ๓ แล้ว

 

สำหรับความสนใจในพระพุทธศาสนานั้น นายแผนบอกว่าสนใจมาตั้งแต่เรียนอยู่ต่างประเทศ ได้มีโอกาสเรียนศาสนาเปรียบเทียบ จนมีความรู้สึกว่าเราเองเป็นชาวพุทธ กลับไม่รู้ว่าศาสนาพุทธคืออะไร กระทั่งได้เรียนศาสนาเปรียบเทียบถึงได้รู้ว่าศาสนาพุทธมีที่มาที่ไปอย่างไร สิ่งที่ได้ในครั้งแรกในความหมายของศาสนาพุทธคือ เมตตา ที่ใครมีแล้วจิตใจก็จะเป็นทุกข์ แต่จะรู้จักการให้ผู้อื่น

 

ต่อมาได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย อายุประมาณ ๒๗-๒๘ ปี จึงมีปัญหาถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร เรียกว่าในยุคนั้นความเหลื่อมล้ำทางสังคมมันมีมาก ระหว่างยืนคอยรถเมล์ได้เห็นเด็กหิ้วปิ่นโตขึ้นรถเมล์ จังหวะที่ขึ้นนั้นรถเมล์ก็วิ่งออกจากป้ายอย่างกะทันหัน ทำให้เด็กตกลงมาพร้อมกับปิ่นโตปลิวกระจายไปทั่วบริเวณ ตรงนั้นมีความรู้สึกว่าการกระทำแบบนี้ไม่เป็นธรรมทางสังคม เหตุการณ์นี้เองจึงตัดสินใจบวชเพื่อให้ลืมภาพเหตุการณ์

 

เมื่อได้บวชเรียนที่วัดราชประดิษฐ์ใกล้กับกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ทางพระอาจารย์ก็ให้เลือกว่าจะเรียนทางปริยัติหรือทางปฏิบัติ จึงตัดสินใจเลือกการปฏิบัติ โดยไม่ได้เรียนนักธรรมตรีโท การปฏิบัติธรรมครั้งนั้นถือเป็นการเรียนรู้ถึงสัจธรรมที่ว่า ชีวิตให้เรายอมรับความเป็นจริงว่า เราเกิดมาเป็นเวรเป็นกรรม บางคนมีรถเก๋งขี่หรือเกิดมาเป็นคนยากจน สิ่งเหล่านี้ก็เกิดจากบุญและกรรม หลังจากศึกออกมาแล้วก็ได้ไปเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้กับพระสงฆ์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

"ผมบวชเรียนมาแล้ว ก็รู้สึกว่ามองโลกในแง่ดีขึ้น จำได้ว่าตอนที่ไปรอรถเมล์ ป่านนี้แล้วรถเมล์ทำไมถึงยังไม่มา แต่ก่อนนี้จะมีอารมณ์ไม่พอใจ รู้สึกว่ามันช้า มาวันนี้มารถเมล์ก็รู้สึกเฉยๆ ไปเลย ใจมันเย็นมากขึ้น จิตใจมันยอมรับสภาพความเป็นจริงในโลกได้เยอะ สิ่งที่ได้มากหลังจากนั้นคือ เมตตา ใจที่เคยคิดว่าทำไมโลกนี้ไม่ยุติธรรมในสังคม วันนี้เรายอมรับได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง แต่เราจะทำอย่างไรที่จะได้ช่วยสังคมได้" สัจธรรมชีวิตที่ได้จากการบวชของนายแผน

 

นอกจากนี้แล้วประธาน พ.ส.ล.ยังเชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรมว่า ใครได้ปฏิบัติธรรมก็จะช่วยทางด้านจิตใจของผู้นั้นสูงขึ้น จะว่าไปแล้วพระพุทธศาสนาไม่จำเป็นต้องศึกษากันอย่างดีหรือลึกซึ้งอะไร เพียงให้รู้แค่ ๓ คำ ก็น่าจะพอแล้ว คือ ทำความดี ละเว้นความชั่วให้มีศีลมีธรรม และชีวิตมีสุขการทำใจบริสุทธิ์ผ่องใส หากทุกคนสามารถทำได้แบบนี้ก็ถือว่าผู้นั้นมีบุญ

 

บุญที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากสิ่งอื่นใดนอกจากความดีของตัวเราว่า ต้องมีศีลมีธรรม กรรมดีที่ได้ทำแล้วยังได้ไปสร้างพระประธาน ถวายวัดต่างๆ คนเราจะเกิดมาเช่นไรก็เป็นเพราะบุญและกรรมของเรา แม้ชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้แขวนพระเครื่องก็ตาม แต่อยากบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ใครมีไว้ก็เพื่อให้สบายใจ บางคนลืมแขวนพระเครื่องออกจากบ้าน พอรู้สึกตัวว่าลืมยังต้องกลับไปเอา จะว่าไปแล้วมีองค์พระแล้วสบายใจ ทำให้มีความมั่นใจในตัวเอง โดยไม่ต้องไปพิสูจน์ว่าองค์ท่านศักดิ์สิทธิ์จริงไหม

 

"บางครั้งคนเราเชื่อกันว่ามีพระเครื่องแล้วจะมีเรื่องปาฏิหาริย์ เรื่องเวทมนตร์คาถาต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง จะว่าไปแล้วสิ่งเหล่านี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ความจริงตรงนี้อาจจะมี ความเป็นวิทยาศาสตร์อาจยังตามไม่ถึง สิ่งพวกนี้เป็นของที่ลี้ลับ ใครไม่เชื่อก็อย่าไปดูหมิ่นหรือลบหลู่ ตัวอย่างเมื่อร้อยปีที่แล้วใครจะรู้ว่าจะมีโทรทัศน์ให้เราได้ดูหรือโทรศัพท์วันนี้ไม่มีสายเขาก็ทำกันได้แล้ว" ประธาน พ.ส.ล.กล่าวทิ้งท้าย

 

"การปฏิบัติธรรมครั้งนั้นถือเป็นการเรียนรู้ถึงสัจธรรมชีวิตให้เรายอมรับความเป็นจริงที่ว่า เราเกิดมาเป็นเวรเป็นกรรม บางคนมีรถเก๋งขี่หรือเกิดมาเป็นคนยากจน สิ่งเหล่านี้ก็เกิดจากบุญและกรรม"