Strict Standards: Only variables should be assigned by reference in /home/admin/web/changeintomag.com/public_html/plugins/content/fcomment/fcomment.php on line 103
ชีวิตพลิกผัน “ไฮแจ๊ค” เหมังกร มานะสาคร “เปลี่ยนมุมคิดก็สุขใจ”
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : ชวกรณ์ สะอาดเอี่ยม สถานที่ : ร.ร.เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ เสื้อผ้า : ห้องเสื้อ Preppy Me
ชีวิตที่ไม่ธรรมดาของ “ไฮแจ๊ค” เหมังกร มานะสาคร ที่ปัจจุบันเป็นพิธีกรรายการ เรื่องบนเตียง พร้อมรับผลิตโปรดักชันส์ รับทำดิสเพลย์ให้กับห้างต่างๆ พร้อมช่วยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของครอบครัว แต่วันนี้ยังเดินหน้าเดินทำตามฝันด้วยความสุข
//“นักบริหาร” บทเรียนสอนใจ
ย้อนกลับไปหนุ่มไฮแจ๊ค เป็นคนกรุงเทพฯ มีพี่น้องสองคน บุตร(พีรเดช-ชลิดา มานะสาคร) โดยพ่อเป็นคนสุราษฏร์ธานี ส่วนแม่เป็นคนกรุงเทพฯ ทั้งสองคนเป็นนายธนาคาร เริ่มเรียนที่โรงเรียนเสสะเวชวิทยา มัธยมศึกษาเรียนที่โรงเรียนวัดราชบพิธ วิทยาลัยพณิชยการเชตุพน และปริญญาตรี คณะบริหารการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
“ผมถูกเลี้ยงดูให้เป็นผู้นำ และพ่อแม่ค่อนข้างจะตามใจ เพราะชีวิตในกรุงเทพฯมีการแข่งขันค่อนข้างสูงไม่ว่าจะเรื่องเรียนอะไรก็ตาม จึงเลี้ยงลูกให้ไปในทิศทางที่คุณพ่อคุณแม่คิดเอาไว้ด้วย ความฝันตอนนั้นเห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานธนาคารดูสนุกดี ก็คิดว่าอยากเป็นนายธนาคารเหมือนกัน แต่ผมเป็นคนชอบค้าขายมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ไปได้มาจากใคร(หัวเราะ) พอปิดเทอมก็ไปซื้อลูกชิ้นในตลาดมาทอดขายหน้าบ้านตัวเอง แล้วให้พี่เลี้ยงช่วยทำน้ำจิ้มให้ ลูกค้าก็จะเป็นเด็กๆ และคนในหมู่บ้านเดียวกัน ทำให้ตั้งแต่นั้นมาทำให้ผมเป็นคนชอบค้าขาย พอโตขึ้นมาเดินเจออะไรก็จะเอาไปขายเพื่อนๆและครูที่โรงเรียน
“ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ผมทำธุรกิจ เลยให้ออกมาบริหารงานตอนจบ ปวส. ตอนนั้นพ่อก็สร้างธุรกิจให้เลยเป็น เรียลเอสเตท สร้างเป็นหมู่บ้านใช้ชื่อว่า ทรัพย์สินสาคร แห่งแรกที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะคุณพ่อเป็นผู้จัดการสาขาธนาคารกสิกรไทยที่นั่น จากนั้นก็ไปสร้างหมู่บ้านที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อ ผมก็เป็นคนดูแลทั้งสองแห่ง คุณพ่อให้ผมไปฝึกงานหน้างานทุกอย่าง เพราะผมไม่ได้จบมาทางนี้โดยตรง”
//เดินตามทางที่เลือกเอง
“แต่ผมมารู้ทีหลังว่า คนงานก่อสร้างไม่มีใครชอบผมเลย เพราะผมเรียนจบมาก็มาเป็นเจ้านายของพวกเขาเลย สาเหตุ จากที่เราเด็กแล้วก็ยังใช้คำพูดไม่เป็น คือสั่งก็สั่งจริงๆ ไม่มีวาทะศิลป์ ไม่มีจิตวิทยา เวลาผ่านไป 4 ปีก็เลยขอพ่อกลับไปทำงานออฟฟิศ คุณพ่อก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเหมือนเราเดินถอยหลัง เพราะสร้างให้มาเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว ผมก็บอกไปว่าอยากไปเรียนรู้ระบบงานต่างๆ ผมก็เลยไปสมัครงานเป็น AE(Account Executive) ด้วยการโฆษณาให้กับหนังสือ CHIP Magazine ทำได้ปีกว่า ชีวิตผมก็ยังวนเวียนอยู่สายงาน AE ในที่สุดเลยกลับมาทำงานร่วมกับพี่สาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องมาทำผลิตภัณฑ์กันเอง เพราะพี่สาวผมประเภทเฟอร์นิเจอร์เกี่ยวกับเหล็กดัดเป็นแนววินเทจกว่า 20 ปี ผมเลยดูทางด้านการตลาด จึงมีโอกาสได้ทำงานให้กับองค์กรใหญ่ๆ เช่น เนสท์เล่ เดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม สยามพารากอน หรือเอสแอนด์เอ็ม พอปีใหม่เราก็จะทำตะกร้าที่มีลูกนกสามหัวอะไรแบบนี้”
//ยุคแรก “เน็ตไอดอล”
หากย้อนกลับไปหลายปีก่อน กว่าจะได้เป็น “เน็ตไอดอล” สุดฮอท ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย “วันหนึ่งที่ทำให้ชีวิตค่อนข้างเปลี่ยน เพราะจริงๆผมเป็นคนชอบค้าขาย แล้วช่วงนั้นก็เล่นอินเตอร์เน็ต ถ้าพูดสมัยนี้ก็เหมือนว่าผมเป็นเน็ตไอดอลรุ่นแรกๆ รุ่นเดียวกับ เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ แต่อายุผมอาจมากกว่า เริ่มจากที่ผมอกหัก เป็นเด็กตัวเล็กหัวโตคนหนึ่ง ผมเลยกลับมาดูแลตัวเองด้วยการเข้าฟิตเนส ก็มีการถ่ายรูปโชว์หุ่นลงครั้งแรกใน hi5 มีคนเข้ามากดดูเป็นหลักแสนในสมัยนั้นถือว่าโก้มากแล้ว จนมีเพื่อนแนะนำให้มาเล่นเฟซบุ๊ก
“จนวันหนึ่งมีคนเข้ามาฝากข้อความไว้ว่าอยากทำรายการ "G At Town" ทางทีวีดาวเทียม เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ การดูแลสุขภาพของเกย์ มีพิธีกรสามคน แรกๆ พูดไม่ทันเขาเลย ที่สุดก็เริ่มฝึกฝนจนชำนาญ กระทั่งมีน้องคนหนึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สาขาภาพยนตร์ มาบอกว่าเขาซื้อเส้นๆหนึ่งเป็นทีวีออนไลน์ทั้งเส้นเลย อยากให้มาร่วมทำรายการ จนออกมาเป็นรายการ เรื่องบนเตียง ทางช่อง Me Channel ของทีวีดาวเทียม และรายการ ‘ไดอารี่ ซีเคร็ต’ ทางช่อง JJ Channel”
//มีสติ เพราะ...“เข้าใจโลก”
“ไฮแจ๊ค” ยอมรับชีวิตคนเราย่อมมีขึ้นมีลง แต่วันนี้ชีวิตของเขาถือว่าประสบความสำเร็จ และมีความสุขอย่างมาก เพราะเป็นช่วงชีวิตที่ดีในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว “แต่ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จคือเรื่อง ความรัก(หัวเราะ) เมื่อก่อนผมเป็นคนค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง ชอบตะคอก พูดเสียงดัง คือ รวมๆแล้วเป็นคนไม่ดี ผมขับรถออกจากบ้าน 365 วันไม่เคยทะเลาะกับใครเลย ใครมาปาดหน้าผมก็หยุดรถไปทุบรถเขาทันที หรือใครมาขวางอะไรแบบนี้ผมก็ลงไปกรีดรถเขาเลย และข้อเสียก็คือไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง ตอนนั้นยังไม่ดังอะไร แค่คนเขียนว่าไม่ดีในอินเตอร์เน็ต ก็จะรู้สึกไม่ดี คิดอย่างเดียวว่าทำไมเขาไม่รู้จักเรา ถึงว่าเราแบบนี้
“4 ปีที่แล้วทำให้ชีวิตเปลี่ยนเพราะไปปฏิบัติธรรม ถือศีล 8 กับหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ที่นี่ถือว่าปฏิบัติธรรมที่เข้มมากๆ หลังจากนั้นผมได้มาบวชเฉลิมพระเกียรติในหลวงที่กองทัพบกร่วมกับวัด เป็นเวลา 15 วันด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน เดิน นั่ง ยืน นอน ตลอด 9 ชั่วโมงต่อวัน ผมกลับมาครั้งนี้ทำให้มีสติ และเข้าใจโลกมากขึ้น ผมรู้สึกว่าความสุข ความสบายใจของแต่ละคนต่างกัน คนที่เขียนถึงเรา เขาว่าเราเขามีความสุข สบายใจ แต่เราอย่าเอาความทุกข์ตรงนั้นมาใส่ใจเรา วันนี้อะไรที่ทำให้ผมมีความสุขก็จะเก็บเอาไว้ แต่อะไรที่เป็นความทุกข์ผมก็จะใส่กุญแจปิดล็อคเลย เพื่อไม่ให้เข้ามาในตัวเราเด็ดขาด ตลอดสี่ปีที่ผ่านมาทำให้ผมรักตัวเองมากขึ้น เลิกกับแฟนผมก็จะไม่บอกว่าเขาไม่ดี แค่เรามีทัศนคติไม่ตรงกัน แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนจะพูดเลยว่าคนนี้ไม่ดีคนนั้นมันเลว ตอนนี้ผมเปลี่ยนวิธีคิดตรงนั้นทั้งหมดเลย อย่าบอกว่าเรามองโลกในแง่ดี แต่อยากบอกว่า เป็นเพราะเรามองโลกให้เข้าใจมากขึ้น เข้าใจในคน สัตว์ สิ่งของ วิธีคิดแบบนี้ทำให้ผมมีความสุขมากๆ ดังนั้น ทุกคนต้องการต่างกัน วันนี้ผมคิดเพียงว่าเราทำอะไรแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ทำไป
“ความสุขวันนี้ผมในฐานะผู้บริหารมีหลักอยู่ว่า เราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะผมเริ่มต้นทำงานมาก็ทำงานออฟฟิซมาก่อน เราก็เรียนรู้การเป็นลูกน้อง ทำให้รู้ว่าการใช้คนเขาต้องการอะไรจากเราบ้าง ไม่ใช่เงินเดือนอย่างเดียว แต่ต้องใช้ใจด้วย เหมือนผมย้อนกลับไปสมัยที่ผมทำงานเป็นลูกน้องว่า สิ่งที่เราอยากได้ตอนนั้นคืออะไร ผมก็เอามาปรับใช้กับน้องๆที่ทำงานกับผม วันนี้รู้สึกว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไขได้ทั้งหมด วันนี้ผมจะไม่หนีปัญหาเมื่อสมัยก่อนแล้ว ทุกวันนี้ผมใช้สติมาวิ่งชนกับปัญหาอย่างมีเหตุและผล”
ก่อนจบสนทนาครั้งนี้ “ไฮแจ๊ค” เหมังกร มานะสาคร กล่าวปิดท้ายเป็นข้อคิด “ผมคิดว่าวันนี้ชีวิตผมประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต แล้วการประสบความสำเร็จในชีวิตอาจไม่ใช่ชื่อเสียงทั้งหมด แต่อาจเป็นส่วนหนึ่ง แล้วสิ่งที่ผมจะทำต่อไปคือการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยการดูแล ตรงนี้อยากจะบอกน้องๆที่ผมไปไหนแล้วมีน้องๆมาบอกว่าผมเป็นไอดอล อยากให้เปลี่ยนแนวคิดเลย อันดับแรก ความสุข ความสำเร็จทุกอย่างมาจากความคิด สติของเราทั้งนั้นเลยเป็นที่ตั้ง หากเราเริ่มเปลี่ยนความคิดปุ๊บ ชีวิตเราก็จะเปลี่ยน จริงๆมุมมีหลายมุม เรามองในมุมไหนก็ได้ให้เราสบายใจ และพยายามตักตวงความสุขเข้าตัวเอง ตราบใจที่เราตักตวงความทุกข์เข้าตัวเองแสดงว่าเราไม่รักตัวเองแล้ว ถ้าเรารักตัวเอง อยากจะบอกน้องๆว่าเราเป็นลูกน้องก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ความสำเร็จของคือ ความสุข แค่เราเปลี่ยนวิธีคิดใหม่”