พระเอกที่แสดงหนังมากที่สุดในโลก ดร.สมบัติ เมทะนี สติเตือนใจ “อย่าหลงตัวเอง”
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์ แต่งหน้า : ธีระวัฒน์ บูชาบุญ
พระเอกที่แสดงหนังมากที่สุดในโลก
ดร.สมบัติ เมทะนี สติเตือนใจ “อย่าหลงตัวเอง”
จากความบังเอิญที่ได้เล่นเป็นพระเอกละครทีวีครั้งแรก เป็นจุดที่ทำให้ก้าวสู่พระเอกจอเงินแบบเต็มตัว กระทั่งพบว่าเป็นพระเอกที่เล่นหนังมากที่สุดในโลก ที่สุดผันชีวิตสู่สนามการเมือง พร้อมมุ่งศึกษาจนจบปริญญาเอก กลายเป็นพ่อพิมพ์ของชาติ และให้ข้อคิดกับนักแสดงที่ดี ต้องไม่หลงชื่อเสียงเงินทอง
สมบัติ เมทะนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์แะละครโทรทัศน์) ประจำปี 2559 โดยยังได้รับการขนานนามจากสื่อมวลชนไทยว่า “พระเอกตลอดกาล” และได้รับการบันทึกในกินเนสส์ เวิลด์ เรกคอร์ด (Guinness World Record) ว่าเป็นนักแสดงที่แสดงภาพยนตร์มากที่สุดถึง 617 เรื่อง และมีทั้งงานแสดงภาพยนตร์ รายการทีวี และโฆษณา รวมแล้วกว่า 2,000 เรื่อง ในปี 2548 สมบัติยังได้รับรางวัลเกียรติยศจากงานเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ ซึ่งยินดีมาถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตที่เคยโด่งดัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับนักแสดงรุ่นใหม่ๆ
/// พระเอก-นักการเมือง-พ่อพิมพ์ของชาติ
ในปี 2549 ลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เขตกรุงเทพมหานคร ได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 6 จากที่ต้องการ 18 คน ด้วยคะแนน 53,526 เสียง แต่ก่อนที่จะได้เข้ารับตำแหน่งก็มีการทำรัฐประหารก่อน ต่อมาคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ.2549 โดยเป็นตัวแทนฝ่ายสื่อสารมวลชน นักเขียน ศิลปิน ต่อมาเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาราช โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรค และลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ในปี 2550 แบบสัดส่วน กลุ่มที่ 6 สังกัดพรรคประชาราช ลำดับที่ 1 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง จากนั้นสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2554 แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 102 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีแห่งอโยธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
“ทุกวันนี้ผมทำหน้าที่คอยดูแลนักศึกษาในทุกวิทยาเขต เช่น ลพบุรี ปราจีนบุรี ร้อยเอ็ด พะเยา นนทบุรี และนครนายก เขาบอกว่าอายุมากแล้วไม่ต้องสอนหรอก เพราะถ้าสอนจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เช้า 9 โมงถึงเที่ยง มันเหนื่อยมาก ผมก็บอกว่าอย่าให้ผมสอนเลย เสียงแหบเสียงแห้งเปล่าๆ เพราะว่าผมแอ็กชั่นเยอะด้วย (หัวเราะ) พวกนักศึกษาเขาก็สนุกกัน แล้วถามผมว่าทำไมไม่เล่นการเมือง อย่างว่าผมก็พูดอะไรไม่ออก” เขาบอกเหตุผลทางด้านการเมืองลึกๆ ที่ทำให้อดีตพระเอกชื่อดังหันหลังให้กับถนนการเมืองลงอย่างสิ้นเชิง
/// ชิมลางละครทีวีครั้งแรก
แอ๊ด-สมบัติ เมทะนี เกิดวันที่ 26 มิถุนายน 2480 เป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี เริ่มเรียนระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ แล้วไปเรียนต่อที่โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย จบอนุปริญญาด้านก่อสร้าง เทคนิคกรุงเทพ ปริญญาตรีโปรแกรมวิชาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ และระดับปริญญาโท-เอก สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
“สมัยปี 2501 เรียนจบเทคนิคกรุงเทพ ทุ่งมหาเมฆ ก็โชคดีได้งานทำที่บริษัทฝรั่ง ได้เงินเดือน 1,000 บาท ขณะที่สมัยนั้นข้าราชการชั้นตรีจะได้เงินเดือน 750 บาท พอฝรั่งให้ 1,000 ผมดีใจมาก ก็แต่งงานเลย ผมทำงานอยู่เกือบปี คิดขึ้นมาได้ว่าลาออกดีกว่า เพื่อไปเป็นข้าราชการแบบเพื่อน” ระหว่างเดินไปหางานบังเอิญได้ไปเจอ ดำดี วิทย์ตระ ชวนให้ไปเล่นละครโทรทัศน ์สมัยนั้นเขาเรียกโทรทัศน์ช่อง 7 “ผมลองไปเล่น เป็นละครทีวีเกี่ยวกับบทรักๆ หัวใจปรารถนา เป็นเรื่องแรกเมื่อปี 2503 คู่กับ วิไลวรรณ วัฒนพานิช ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นนางเอกดัง ม.จ.ไกรสิงห์ วุฒิชัย นักออกแบบเสื้อผ้าระดับชาติ เป็นผู้กำกับการแสดง สมัยนั้นได้ค่าตัวตอนละ 300 บาท ปัจจุบันตอนละ 50,000-70,000 สำหรับคนดัง ผมได้แค่นี้ก็ดีใจแล้ว เพราะทองคำบาทละ 400 พระเอกละครที่โด่งดังอยู่แล้วในตอนนั้นก็จะมี กำธร สุวรรณปิยะศิริ” ย้อนที่มากว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกละคร ก้าวสู่พระเอกจอเงินที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
/// เป็นพระเอกหนัง...เพราะนก
หลังจากแสดงละครทีวี 4 เรื่องจึงลองไปชิมลางเป็นนักร้อง “ไม่รู้ว่า พี่น้อย-กมลวาทิน ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์ เจ้าของบริษัทกมลศิลป์ภาพยนตร์ กับภรรยา พี่แดง-รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง ไปเห็นที่ไหนไม่รู้ บอกให้คุณดำดีพามาดูตัวหน่อย เพราะกำลังหาพระเอกใหม่สักคนหน่ึง "ตอนนั้นผมร้องเพลง กำลังจะไปร้องที่ใหม่แถวไปรษณีย์กลางเขาให้วันละ 200 บาท พอดีถูกดึงตัวมาเล่นหนัง แต่การมาเล่นหนังก็แปลกเหมือนกัน เพราะมีสาเหตุมาจากนกแก้วสาริกาตัวหนึ่ง จังหวะที่พี่แดงยกนกแก้วสาริกามาแล้วเอาอาหารป้อนให้กิน ผมก็ดูว่ามันน่ารักดี พอดีพี่แดงเอาวางลงให้กินน้ำ ผมเลยถามทันทีว่านกพันธุ์อะไร ชื่ออะไร พอพี่แดงบอกว่าเป็นนกแก้วสาริกา ชื่อเจี๊ยบ ผมก็เคาะที่กรงแล้วเรียกเจี๊ยบเอ้ยๆ มันก็ค่อยๆ เดินมาเกาะแล้วทำขนฟูน่ารักมากเลย เรียกว่านกตัวนี้สร้างผมขึ้นมา เพราะไม่มีใครจับได้นอกจากพี่แดงคนเดียว ขนาดพี่น้อยซึ่งเป็นสามีไปจับมันยังจิกเลย พี่แดงคุยกับสามีว่า เด็กคนนี้น่าจะมีเมตตาจิตสูง ขนาดนกยังรัก
“พี่แดงถามว่า เอาอย่างนี้ พี่ดูดวงให้ไหม ผมก็บอกไปว่าไม่ได้ผูกดวงเลย พี่แดงก็ให้จดวันเดือนปีเกิด แล้วให้ฟังข่าวว่าจะได้เล่นหนังหรือเปล่า ไม่ถึง 7 วันพี่แดงโทรมาบอกให้มาเทสต์หน้ากล้อง ตอนที่ตัดสินใจว่าจะเป็นนักร้องหรือพระเอกหนังดี ผมก็ถาม คุณตุ๊ ว่าพี่เป็นอะไรดี คุณตุ๊บอกว่าเป็นพระเอกดีกว่า โก้และเท่กว่า” ที่สุดในปี 2504 ตัดสินใจเป็นพระเอกภาพยนตร์เรื่องแรก รุ้งเพชร คู่กับ รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง ซึ่งคุณสมบัติสามารถผ่านประตูความสำเร็จมาได้ เพราะสมัยนั้นใครที่แสดงหนังแล้วรายได้เกิน 700,000 บาทถือว่าสอบผ่านที่จะแสดงเป็นพระเอกต่อไปได้
“ตอนนั้นผมก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน หนังเรื่องแรกแทนที่จะได้ฉายในกรุงเทพฯ ก่อน กลับไปฉายที่เชียงใหม่ แล้วไม่เคยมีหนังเรื่องไหนฉายต่างจังหวัดก่อนกรุงเทพฯ เลย พอดีว่าตอนนั้นมีงานประจำปียี่เป็ง ลอยกระทง ผมก็ไปโปรโมตหนังแล้วร้องเพลงด้วยทุกรอบ 10 วันรายได้แสนกว่าบาท แล้วลงมาฉายที่เอ็มไพร์ก็ได้มาอีกเกือบ 800,000 บาท ก็ถือว่าสอบผ่าน จนได้เล่นหนังเรื่องสกาวเดือนเป็นเรื่องที่ 2 รายได้เกือบล้าน”
นับเป็นความโชคดีของพระเอกที่ชื่อสมบัติ เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเขายังได้ร้องเพลงต่อหน้าพระที่นั่งถึง 3 เพลง คือ สกาวเดือน สุกี้ยากี้ และ Come Back to Sorrento กลายเป็นความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต
สำหรับผลงานการแสดงที่โดดเด่นส่วนหนึ่ง ได้แก่ เกียรติศักดิ์ทหารเสือ, ศึกบางระจัน, จุฬาตรีคูณ, เล็บครุฑ ตอน ประกาศิตจางซูเหลียง และฟ้าทะลายโจร นอกจากนี้ยังเคยกำกับภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น ลูกสาวกำนัน, แม่แตงร่มใบ และ น.ส.ลูกหว้า อีกทั้งในปี 2508 ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี หรือตุ๊กตาทอง นักแสดงนำชาย จากเรื่องศึกบางระจัน ต่อมาปี 2534 ได้รับตุ๊กตาทอง นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม จากเรื่องมือขวาอาถรรพ์ และปี 2543 ได้รับรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง นักแสดงสมทบชาย จากเรื่องฟ้าทะลายโจร และเป็นนักร้องมีผลงานอัดแผ่นเสียงอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์จุฬาตรีคูณ, เกาะสวาทหาดสวรรค์ และวิวาห์พาฝัน เป็นต้น
“ในชีวิตที่เป็นพระเอกจะได้รับการยกย่องเป็นตัวอย่างของนักแสดง แต่มาเจอเรื่องใหญ่ๆ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกไปปรากฏตัวที่หาดใหญ่ ไปกับ พี่แดง-รัตนาภรณ์ แล้วร้องเพลงในหนังเรื่องแรก รุ้งเพชร โฆษก (สมพงษ์ พงษ์สุวรรณ) ก็ประกาศว่าใครอยากฟังพระเอกร้องเพลงสากลบ้างไหม ก็มีคนตะโกนขึ้นมาเลย ไม่เอา จะดูหนัง ตอนนั้นเรามึนไปเลย แต่โฆษกเขาเก่ง ประกาศว่า เอาอย่างนี้ ใครอยากฟังเพลงโปรดปรบมือ แล้วก็มีคนปรบมือกันใหญ่ คนไหนไม่อยากฟังโปรดปรบมือ คราวนี้เงียบกันหมด สรุปว่าคนที่ตะโกนเมา เป็นครั้งแรกเลยที่มีปัญหากับคนดู “ผมเป็นพระเอกนักบู๊ก็จะมีคนมาชอบเรา ผู้ชายก็ชอบเรา เพราะผมบู๊แบบไม่กลัวเจ็บ กระโดดลงหน้าผา เสี่ยงตายเยอะมากเลย สมัยนั้นไม่มีสแตนด์อิน ขนาดคนที่สร้างหนังยังใจหายใจคว่ำกันเลย ผมเสี่ยงตายจากหนังมากมายมหาศาล” เขายืนยันว่าพระเอกสมัยนั้นหากเล่นบู๊ไม่เป็นก็จะไม่เกิดในวงการบันเทิง พระเอกที่เกิดไล่เลี่ยกัน ได้แก่ ลือชัย นฤนาท, มิตร ชัยบัญชา, แมน ธีระพล, แสน สุรศักดิ์, ไชยา สุริยัน ฯลฯ
/// เล่นหนังมากที่สุดในโลก
คงไม่เป็นการกล่าวเกินไปที่ สมบัติ เมทะนี นับเป็นนักแสดงชาวไทยมากความสามารถ ซึ่งกินเนสส์บุ๊กบันทึกว่าแสดงภาพยนตร์มากที่สุดในโลกถึง 617 เรื่อง โดยในสมัยนั้นสมบัติมักจะรับบทคู่กับ อรัญญา นามวงศ์ เสมอ ในฐานะดาราคู่ขวัญ “ผมก็มีความรู้สึกภูมิใจในเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครเล่นหนังได้มากเท่านี้แล้วครับ เพราะถ้ารวบรวมหนังทั้งหมดที่เล่นก็เกิน 650 เรื่อง มีบางเรื่องเล่นตัวรองด้วย ตอนนี้หลานกำลังทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการแสดงหนังของผม เห็นว่ารวบรวมหนังของผมได้ประมาณ 650 เรื่องแล้ว ซึ่งตรงนี้ก็เชื่อว่าจะเป็นตำราทางวิชาการให้กับคนรุ่นหลังได้ศึกษา” ถามว่าสมัยก่อนนักแสดงที่มีชื่อเสียงมีการวางตัวยุ่งยากแบบไหน “ในยุคนั้น มิตร ชัยบัญชา เป็นพระเอกตัวอย่าง หนึ่ง ไม่เรื่องมาก กินข้าวกินปลาง่ายๆ ส่วนผมก็โอเคอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรให้วุ่นวาย ผมกินง่ายอยู่ง่ายเหมือนเขา อันที่สองสำคัญมาก คือไม่ทวงเงินผู้สร้าง อันนี้สำคัญมาก (หัวเราะ)
“เพราะถ้าเกิดไปทวงแล้วไปฟ้องร้องเดี๋ยวผู้สร้างจะหาว่าคนคนนี้เรื่องมาก จะไม่จ้างเล่นหนัง ผมจึงบอกกับตัวเองไม่ทวงก็ไม่ทวง ทำตามเขา สมัยนั้นมิตรกับ เพชรา ไม่เคยทวงเงินผู้สร้างหนังเลย ทำให้สองคนมีงานแสดงมาก” สมัยนั้นนักแสดงที่มีเงื่อนไขเรื่องค่าตัวก็จะมี อมรา อัศวนนท์ และ พิศมัย วิไลศักดิ์ ที่ต้องขอดูบทและรับค่าตัวก่อนแสดง /// ปิดตายเรื่องชีวิตคู่ 13 ปี ในปี 2502 สมรสกับ ตุ๊ก-กาญจนา เมทะนี มีบุตรด้วยกัน 5 คน คือ อั๋น-สิรคุปต์, อั้ม-เกียรติศักดิ์, เอ้-ศตวรรษ, อุ้ม-พรรษวุฒิ และ เอ๋ย-สุดหทัย เมทะนี หลังจากปิดบังเรื่องครอบครัวมายาวนานถึง 13 ปี จนต่อมามีหนังสือดาราฉบับหนึ่งลงเรื่องคุณแอ๊ดมีครอบครัวแล้ว ทุกคนก็ฮือฮากันมาก จนคุณแอ๊ดคิดว่าคงต้องจบบทบาทในวงการแสดงไว้เพียงเท่านี้ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นกำลังโด่งดังอย่างมาก แต่ผลกลับตรงกันข้าม
“สมัยนั้นเล่นหนังก็ไม่ได้บอกอะไรมาก นักข่าวถามก็จะบอกไปว่าโสด บางคนถามว่าทำไมไม่แต่งงาน เราก็ตอบไปว่ายังไม่พร้อม แต่ตอนหลังมีนักข่าวมาสัมภาษณ์ที่บ้านแล้วไม่มีใครอยู่ เขาไปเห็นรูปภรรยาและลูกๆ ติดอยู่ผนังบ้าน เป็นข่าวใหญ่ เรียกว่าระเบิดลงเลย ผมคิดว่าเราคงจบชีวิตพระเอกแน่ๆ ชีวิตนักแสดงอับเฉาแน่ๆ แล้ว แต่ตรงข้ามกัน กลับดี เพราะผมไม่เคยไปยุ่งกับใครที่ไหนเลย มีเพียงแค่เราบอกว่าเราเป็นคนโสดเท่านั้นเอง นักข่าวถามผมก็บอกไปว่าอย่าไปคิดเรื่องนั้นเลยครับ ผมขอทำงานก่อน คือเราก็โกหกไปเรื่อยแบบนี้ เป็นการโกหกที่ไม่ได้ทำให้ใครเสื่อมเสีย จริงๆ ตอนที่โกหกอยู่ก็นึกรำคาญตัวเองอยู่มากๆ เพราะผมไม่ชอบโกหก พอโกหกเราก็ไม่มีความสบายใจ พอเปิดซะได้ผมโล่งเลย” พร้อมบอกถึงระยะเวลาที่ครองชีวิตคู่ร่วมกันมาอย่างราบรื่นยาวนาน 53 ปี เพราะต่างฝ่ายต่างดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ทุกวันนี้ภรรยาบอกว่ารักคุณแอ๊ดเพิ่มขึ้นทุกวันๆ โดยทั้งคู่มีวิธีถนอมรักให้ทวีคูณด้วยความซื่อสัตย์และให้เกียรติซึ่งกันและกัน นับเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคู่รักและทุกครอบครัว
/// นักแสดงที่ดีต้องไม่หลงชื่อเสียงเงินทอง
ในสังคมไทยมีจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตเริ่มต้นมาจากศูนย์ พอร่ำรวยเงินทองทำให้บางคนนิสัยใจคอเปลี่ยนไปจากเดิมมากทีเดียว บางคนหยิ่ง ลืมตัวเอง ไม่เห็นหัวเพื่อน ถ้าเป็นเช่นนี้เชื่อว่าอนาคตในหน้าที่การงานหรือการดำรงชีวิตต้องพบจุดจบแน่นอน แต่สำหรับอดีตพระเอกตลอดกาลคนนี้ชีวิตโด่งดังขนาดไหนก็ไม่เคยลืมตัว “ไม่ลืมตัวสำคัญมาก ทำยังไงไม่ให้ตัวเราลอย หรืออย่าเหลิง ถ้าตัวเราจะลอยก็ให้เราเหยียบเท้าตัวเองไว้ แต่ถ้ามันจะลอยก็ให้กระทืบเลย ให้สติเรากลับคืนมา ตรงนี้ใครทำได้จะเยี่ยมที่สุดเลย ผมขอบอกเพื่อนๆ พี่ๆ น้องนักแสดงด้วยกันว่า คนเรามันลืมตัวง่าย หลงตัว และมันสามารถหลงตัวเองได้ทุกอาชีพด้วย ไม่ว่าอาชีพไหนก็หลงตัวเองได้หมด ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถก็หลงตัวเองได้ ซึ่งจริงๆ เราเคยมองว่าคนนี้ไม่น่าหลงตัวเองได้ขนาดนี้ มันก็หลง ฉะนั้นอย่าหลงตัวเอง สำคัญมากคือสติ มันช่วยควบคุม เรารู้ว่าเราจะทำอะไร สติจะควบคุมหมดเลย ถ้าสติเอาไม่อยู่ก็ต้องใช้ขันติอีกอันคือความอดกลั้นอดทน ผมอยู่ได้เพราะสองตัวนี้ที่ทำให้เราไม่หลงไม่ลืมตัว เพราะผมมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา
“ถ้าเราไม่มีความอดกลั้นอดทน พอเห็นผู้หญิงสวยปานนางฟ้า ขืนฝืนไปหลงเข้า พูดง่ายๆ ฉิบหายแน่ (หัวเราะ) ผมทำผิดไม่ได้ด้วยนะ เพราะถ้าทำผิดมันอายตัวเอง ไม่หยิ่งผยองพองตัวว่าข้าดังแล้ว ด้วยความไม่ลืมตัวผมถึงอยู่มาได้ ไม่หลงตัวลืมตัวเป็นสิ่งสำคัญมาก ส่วนใครจะมายกยอปอปั้นยังไงก็ขอให้รู้สึกตัวไว้เถอะว่าเราเป็นคนธรรมดา แฟนหนังของเราก็ต้องให้ความเคารพเขาด้วย เราอยู่ได้เพราะเขา เราจะไปทะนงตัวได้ยังไง” กว่า 50 ปีบนถนนบันเทิง ทุกวันนี้ยังมีแฟนคลับส่งของขวัญมาให้กำลังใจทุกปี ด้วยเพราะยังรักษาความเป็นพระเอกตลอดกาลเอาไว้ได้ จนเป็นต้นแบบให้นักแสดงรุ่นลูกนำไปเป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดี