เงาพระเอก มิตร ชัยบัญชา ครรชิต ขวัญประชา “วงการบันเทิงสร้างผมจากดิน”

เงาพระเอก มิตร ชัยบัญชา ครรชิต ขวัญประชา “วงการบันเทิงสร้างผมจากดิน”

 

 

 



เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง  ภาพ :  ชวกรณ์ สะอาดเอี่ยม
แต่งหน้า : ธีระวัฒน์ บูชาบุญ    


เงาพระเอก มิตร ชัยบัญชา ครรชิต ขวัญประชา  
“วงการบันเทิงสร้างผมจากดิน”  


จากชีวิตทหารเรือก้าวสู่บทบาทพระเอกชื่อดังที่เข้ามาแทน มิตร ชัยบัญชา ผู้ล่วงลับ กระทั่งชีวิตพลิกผันไปเป็นเจ้าของวงดนตรีลูกทุ่ง แนะนักแสดงรุ่นใหม่ช่วยประคับประคองวงการบันเทิงให้อยู่อย่างสง่างาม อย่าให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะวงการนี้ได้สร้างเด็กหนุ่มจากดินให้กลายมาเป็นดาว  


อดีตพระเอกชื่อดัง ครรชิต ขวัญประชา มีชื่อเสียงขึ้นมาจากการรับบทอินทรีแดง (ตัวปลอม) จากภาพยนตร์เรื่องอินทรีทอง อดีตเคยรับใช้ชาติในรั้วราชนาวี 3 ปี และทำงานที่กระทรวงการพัฒนาแห่งชาติ 4 ปี ปัจจุบันครรชิตในวัย 73 ปีมีเรื่องราวดีๆ มาแบ่งปัน ณ บ้านพักย่านราชพฤกษ์    


/// 47 ปีบนถนนบันเทิง  

“ตอนนี้ก็มีละคร มีหนังบ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่งจบไปก็เป็นหนังเรื่องพระนเรศวรภาค 5 ซึ่งเล่นมาตั้งแต่ภาค 3 ของท่านมุ้ย (ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล) เล่นเป็นพระยาพะสิม แม่ทัพพม่า เป็นญาติกับบุเรงนอง ส่วนละครก็มีเรื่องเจ้าหญิงแตงอ่อน จะว่าไปแล้วชีวิตผมวันนี้อยู่แบบพอเพียง มีละครเรื่องไหนเหมาะสมเราก็เล่น ถ้าเรื่องไหนไม่ใช่บุคลิกเราก็ไม่รับ จะว่าไปแล้ววงการบันเทิงวันนี้ยังเหมือนวงการหนังเก่าๆ ที่ยังมีปัญหากับค่าตัวนักแสดงอาวุโส หากเป็นนักสร้างละครตามช่องจริงๆ เขาจะไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ผมเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่ปี 2509 เราไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ได้ทำให้วงการเสื่อมเสีย” อดีตพระเอกชื่อดังกล่าวถึงอุดมการณ์ที่ยึดมั่นมาตลอดชีวิตนักแสดง    


/// ข้าราชการสู่บทบาทพระเอก  

 

ครรชิตเป็นชาวสมุทรสงคราม เป็นบุตรของ มนต์-หนู ขวัญประชา มีพี่น้อง 7 คน โดยเขาเป็นคนที่ 3 ครรชิตมีบุตร 2 คน คือ นพ.ชิตพงศ์ กับ อาจารย์ศศิพัชร์ ขวัญประชา จบการศึกษาจากโรงเรียนวัดเทพประสิทธิ์คณาวาส จากนั้นย้ายมาอยู่กับน้าชายซึ่งทำงานรถไฟสายปากน้ำ-กรุงเทพฯ ที่สมุทรปราการ ทว่ารถไฟสายนี้เกิดถูกยุบ เขาจึงหันเหชีวิตไปเป็นนายตรวจรถสายปากน้ำ กระทั่งเกณฑ์ทหาร ได้เป็นทหารเรือ ประจำกรมการขนส่ง หลังออกจากชีวิตทหารเรือก็ได้เข้าทำงานอยู่ที่กรมการพัฒนาการแห่งชาติ   “ผมเป็นทหารเรืออยู่กับท่านนายพล แล้วท่านนายพลมีลูกชายเป็นนักวิชาการพิเศษอยู่ที่สำนักงานวิชาการและวางแผน กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ โดยผู้อำนวยการสำนักวิชาการและวางแผนคือ ดร.อำนวย วีรวรรณ ซึ่งตอนนั้น คุณพจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ผมทำงานอยู่ที่นี่ประมาณปีกว่าๆ พอดี พี่ศักดา ธงชัย มาหาเพื่อนที่สำนักงานวิชาการฯ แล้วเจอผมก็บอกว่า น้องๆ ไปเล่นหนังกันไหม จริงๆ ใจเราก็ชอบ เลยตกลงที่จะเล่น  

"พี่ศักดาเป็นผู้ที่พาเข้ามาสู่วงการบันเทิง ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ เพราะทำหนังเรื่องแรก นักเลงพันเหลี่ยม ให้ผมเป็นพระเอกเล่นคู่กับ คุณกรุณา ยุวากร เธอเป็นนางงามนครราชสีมา แต่พอหนังออกฉายไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร บริษัทต่างๆ จะเอาผมไปเล่นเป็นตัวรอง แต่พี่ศักดาบอกอย่าไปเล่นเลย ไหนๆ เป็นพระเอกก็เล่นเป็นพระเอกไปเรื่อยๆ พอตอนหลังพี่ศักดาทำหนังเรื่องชาติอาชาไนย มี พี่ไชยา สุริยัน เป็นพระเอก จะให้ผมไปเล่น แต่ผมมีข้อแม้ ขอไม่เล่นได้ไหม เพราะก่อนหน้านี้มีคนติดต่อให้เล่นเป็นพระรองเยอะแยะ ทำไมไม่ให้ผมเล่น พี่ศักดาก็ไม่ว่าอะไร” จากนั้นเขาก็รับงานแสดงทั่วไป กระทั่งได้แสดงภาพยนตร์เรื่องอกธรณี ของ เชิด ทรงศรี คู่กับ พิศมัย วิไลศักดิ์  



/// ตัวแทน มิตร ชัยบัญชา  

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2511 ชื่อของ ครรชิต ขวัญประชา กลับมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการรับบทอินทรีแดง (ตัวปลอม) จากภาพยนตร์เรื่องอินทรีทอง ในปี 2513 โดยแสดงเป็นตัวร้ายในเรื่องที่ทำให้ โรม ฤทธิไกร ซึ่งเป็นอินทรีแดงตัวจริง แสดงโดย มิตร ชัยบัญชา ต้องเปลี่ยนไปใส่ชุดสีทอง เป็นอินทรีทองเพื่อที่จะจัดการกับอินทรีแดงตัวปลอมนี้ ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในชีวิตการแสดงของ มิตร ชัยบัญชา อีกด้วย  


“หลังจากที่พี่มิตรเสียชีวิตผมยังมีบทที่จะต้องเชื่อมต่อจาก ระหว่างตัวจริงกับตัวปลอม ผมเลยได้เล่นเป็น 2 ตัว (หัวเราะ) เป็นทั้งอินทรีทองและอินทรีแดง พอหนังออกฉายก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะแฟนคลับจริงๆ ของพี่มิตรไม่กล้าดูพี่มิตรตอนโหนเฮลิคอปเตอร์แล้วตกลงมา ทำให้แฟนๆ สงสาร ต่อมาผมก็มาแสดงแทนพี่มิตรอีกครั้งในเรื่องบ้านสาวโสด ของ วิเชียร สงวนไทย ที่เล่นค้างไว้ พอดีพี่มิตรเปิดเรื่องไว้ 1 ฉาก ผมเลยไปเล่นต่อ ตอนนั้นเริ่มมีแฟนคลับ ไปถ่ายที่ไหนก็จะมีแฟนๆ ตามไปดูตลอด

 

ยิ่งตามต่างจังหวัดแฟนๆ จะมาเยอะมาก แค่นั่งกินข้าวก็ยังกินไม่ค่อยได้ เพราะจะมีแฟนยืนเต็มไปหมด   “ต่อมาเล่นเรื่องทุ่งเศรษฐี รายได้ดีมาก ผู้ชมอยากจะเห็นว่าใครมาแสดงแทน มิตร ชัยบัญชา ผมเล่นให้กับสมนึกภาพยนตร์อีก 2-3 เรื่อง แล้วก็เล่นให้กับค่ายอื่นอีก แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนง่ายๆ เรื่องค่าตัวได้เท่าไหร่ก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่นัก ทำให้เล่นบางเรื่องได้เงินแค่หมื่นเดียว อีกสามสี่หมื่นก็ไม่ได้ บางเรื่องไม่ได้เงินเลยก็มี (หัวเราะ) ผมถึงได้บอกว่าการเป็นนักแสดงยุคนี้กับยุคก่อนจะแตกต่างกันมาก เมื่อก่อนผมเล่น 10 เรื่องถึงได้เงินล้าน แต่พระเอก-นางเอกเดี๋ยวนี้เล่นเรื่องสองเรื่องก็รวยแล้ว” ย้อนภาพอดีตพระเอกที่โด่งดังด้วยน้ำเสียงแห่งความภาคภูมิใจ    


                                                                                                
/// เจอเสือใบตัวจริง  

หลังจากนั้นคุณครรชิตได้รับบทพระเอกกว่า 10 เรื่อง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่มีพระเอกเกิดใหม่อีกหลายคน อาทิ กรุง ศรีวิไล, ไพโรจน์ ใจสิงห์, ยอดชาย เมฆสุวรรณ ฯลฯ เมื่อมีพระเอกเพิ่มขึ้นทำให้เขาผันตัวเองไปเล่นบทร้ายประกบคู่กับพระเอกนางเอกดังอยู่นานหลายปี โดยภาพยนตร์ที่ร่วมแสดงแล้วมีความโดดเด่นที่รับบท "เสือใบ" ใน "สุภาพบุรุษเสือใบ" ปี 2514   “ตอนที่ถ่ายทำเรื่อง สุภาพบุรุษเสือใบ เสือใบตัวจริงยังมาเลย ตัวเขาเล็กนิดเดียว ผิดกับภาพที่ผมจินตนการจากการอ่านในหนังสือจนคิดว่าเสือใบตัวจริงน่าจะเป็นรูปร่างใหญ่ กล้ามโต รู้สึกว่าตอนนั้นได้รับอิสรภาพแล้ว เลยมาเยี่ยมกองถ่าย ผมก็ได้คุยเสือใบตามปกติธรรมดา แต่ไม่ได้ถามอะไรมากนัก”   ต่อมาจึงหันมาสร้างภาพยนตร์ถึง 2 เรื่อง

 

“ผมทำหนังเรื่องแรก หนักแผ่นดิน มี สมบัติ เมทะนี เป็นพระเอก และ ชุมพล เทพพิทักษ์ ช่วย มากำกับ ดูการตัดต่อให้ด้วย ผมก็หาตังค์ สุดท้ายเรื่องนี้ขาดทุนไป 800,000 บาท ตอนที่เราขายหนังให้กับสายหนัง แผ่นดินไทยยังมีปัญหา แต่พอหนังฉาย แผ่นดินไทยก็สงบแล้ว สาเหตุที่ทำให้หนังถ่ายทำได้ช้า เพราะสมบัติให้คิวเดือนละวัน ผมยังบอกกับคุณตุ๊ (กาญจนา เมทะนี) เลยว่าตอนนี้หนี้ท่วมหัวแล้ว (หัวเราะ) อันนี้ผมพูดเรื่องจริง เพราะตอนนั้นสมบัติงานเขาเยอะ เราก็โทษใครไม่ได้ บุคคลที่ให้การสนับสนุนในการสร้างภาพยนตร์ของผมคือ พล.อ.เสริม ณ นคร เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งช่วยสนับสนุนเรื่องฉากต่างๆ ในเรื่อง แต่ก็ขาดทุน” ส่วนภาพยนตร์เรื่องที่ 2 นักสู้ภูธร ไม่ประสบความสำเร็จ และขาดทุนเพิ่มอีกกว่า 300,000 บาท    


/// เจ้าของวงดนตรีลูกทุ่ง  

ในช่วงที่แสดงเป็นพระเอกและพระรองต้องเดินสายโชว์ตัวตามงานต่างจังหวัด และตามไปกับวงดนตรีลูกทุ่งด้วย จึงเป็นที่มาในการตั้งวงดนตรีลูกทุ่ง   “สายัณห์ จันทรวิบูลย์ ตอนนั้นเสียงเขาดี แล้ว คุณประจวบ จำปาทอง ก็ควบคุมวงการลูกทุ่งอยู่ ผมเลยคุยกับพี่ ส.เมืองสมุทร อยู่ที่ซอยบุปผาสวรรค์ โดยให้ อาจารย์จิ๋ว พิจิตร แต่งเพลง และเพลงแรกที่บันทึกเสียงคือเพลงสายัณห์คนใหม่ แล้วมี หมอเอื้อ ทำรายการวิทยุอยู่ในหลายๆ คลื่น พอปล่อยเพลงออกไปก็ดังใหญ่เลย งานเข้าให้ไปแสดง เป็นที่มาให้ตั้งวง ผมเลยไปจ้างทีมงานของ ศรีสมเพชร เชียงใหม่ พร้อมหางเครื่องมาเต้นสวยมาก ผมให้สายัณห์คืนละ 5,000 พอออกงานได้สัก 5-6 งาน สายัณห์ขอขึ้นค่าตัวเป็น 10,000 แต่ก็สรุปอยู่กันที่ 7,000 ทำต่อได้อีก 3 เดือนงานเต็มไปหมด ไปไหนคนต้อนรับดีมาก  


“พอเข้าปีที่ 2 ก็ลงทุนเสื้อผ้า เครื่องดนตรีใหม่ทั้งหมด เพราะได้งานฤดูหนาวที่ลพบุรี พอสายัณห์ไปถึงก็บอกว่า ผมเหนื่อยเหลือเกินผมขอหยุด  ความรู้สึกที่เราลงทุนไปแล้วในฐานะหัวหน้าวง ผมโอเคในเมืองเขาไม่อยากทำ ผมก็หยุด ส่วนงานที่รับไว้แล้ว เราจะไปพระเอก-นางเอกคนไหนไปงานแทน เจ้าของงานหักเงินหมด เพราะไม่ได้เป็นไปตามสัญญา ผมทนอยู่จนหมดหน้าฝน ก็บอกกับลูกวงว่าหมดหน้างานแล้ว และหัวหน้าก็จะเลิกวงแล้ว เนื่องจากแบกภาระไม่ไหว ลูกทุ่งสมัยนั้นจะมีซูเปอร์ลูกทุ่ง กรุง ศรีวิไล, สุริยา ชินพันธ์ ซึ่งซูเปอร์ลูกทุ่งของกรุง เขาจะมี พิศมัย วิไลศักดิ์ เป็นดารารับเชิญตลอด” สุดท้ายทำวงดนตรีปีกว่าขาดทุนเกือบล้าน จึงหันกลับไปรับงานแสดงอีกครั้ง    


 /// วงการบันเทิง...บุญคุณที่ยิ่งใหญ่  

“วงการบันเทิงถือว่าเป็นบุญคุณกับผมที่มาจากดิน จากฝุ่นละออง ขึ้นมาในวงการทำให้คนรู้จัก ให้เรามีอาชีพนี้ขึ้นมา ทำให้เรามีหน้าตา มีชื่อเสียง ความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวของเรา ผมจะไม่ทำให้วงการเสื่อมเสียเพราะเรา ยิ่งเกี่ยวกับผู้หญิงยิงเรือ เรื่องแบบนี้ไม่เคยมี ผมประคองตัวเองมาตลอด ยิ่งในช่วงที่ลูกๆ โตขึ้นมา ถ้าเรามีข่าวคราวเกี่ยวกับชู้สาวอะไรก็แล้วแต่ผลจะสะท้อนไปถึงลูก ลูกจะอับอายเพื่อนฝูง ยิ่งลูกสาวเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนวัดสุทธิฯ ถ้าเจอเรื่องแบบนี้จะสอนลูกศิษย์ยังไง ถ้าเด็กเถียงขึ้นว่าพ่ออาจารย์เป็นแบบนี้ๆ แล้วมาสอนผมทำไม (หัวเราะ) คือจะทำอะไรต้องมองไปให้ไกลๆ ลูกชายตอนนี้ก็ไปเป็นหมออยู่ที่อุดรฯ”


 เมื่อถามว่าชีวิตในวัยหนุ่มที่เป็นพระเอกมีชื่อเสียงและเงินทองมากมายมีวิธีคิดอย่างไรเพื่อไม่ให้หลงไปกับสิ่งเหล่านั้น “ตอนนั้นผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ได้มาก็ไม่ยั่งยืน ช่วงนั้นเงินทุกบาททุกสตางค์เข้ามาเต็มที่ เราก็รวย อย่าง สมบัติ เมทะนี ภรรยาเขาเก็บให้หมด (หัวเราะ) ดังนั้นถึงต้องมีผู้จัดการคอยดูคิวและจัดการเรื่องเงินให้ แต่ของผมไม่มีผู้จัดการ เราจะพูดกันตรงๆ ต่อรองเรื่องค่าตัวเอง บางครั้งตกลงค่าตัวกันแล้ว พอเล่นเสร็จก็ไม่ได้ อย่างเรื่องสุดสายป่านที่เล่นกับ คุณเพชรา เชาวราษฎร์ พอเข้าฉายที่ศาลาเฉลิมไทย หนังคว่ำไม่เป็นท่าเลย หนังขาดทุน เช็คอยู่ในมือผม 40,000 ก็เลยเอาไปคืน พี่วิเชียร สงวนไทย เพราะผมเล่นหนังกับพี่เขาหลายเรื่อง ถือว่าเขามีบุญคุณ ตั้งแต่ พี่มิตร ชัยบัญชา เสียชีวิต เขาก็ให้โอกาสปั้นให้เราดัง ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตแบบสบายๆ หิวตรงไหนกินตรงนั้น เจออาหารข้างทางผมก็กิน” เขาเล่าชีวิตที่ผ่านมาแล้วทุกรูปแบบอย่างเปิดเผย   พร้อมกันนี้อดีตพระเอกชื่อดังยังฝากถึงนักแสดงรุ่นใหม่อย่างน่าสนใจ


“ขอให้ช่วยประคับประคองวงการบันเทิงให้อยู่อย่างสง่างาม อย่าให้เสื่อมเสีย และพยายามรักษาเวลาให้กับเจ้าของหนัง เจ้าของละคร เพราะเจอมากับตัวเอง เคยรอแสดงตั้งแต่ 8 โมง แต่ต้องรอนักแสดงรุ่นลูกมาถึงเกือบ 3 ทุ่ม บางคนไม่รู้ว่าไม่พอใจอะไร เขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้านไปเลย ทำให้นักแสดงอาวุโสที่มารอแสดงตั้งแต่เช้าเสียความรู้สึกกับนักแสดงคนนี้แบบลืมไม่ลงจริงๆ นักแสดงถ้าทำดีก็จะมีแต่ชื่อเสียง แต่ถ้าปฏิบัติตัวไม่ดีทำให้เสียชื่อเสียง ดังนั้นต้องเอาชื่อเสียง อย่าเอาชื่อเสีย” เป็นสัจธรรมในวงการบันเทิงที่หวังฝากให้สำหรับดาราทุกคน  ////////////