รู้ทันสัญญาณอันตราย “ โนโรไวรัส (Norovirus)”
รู้ทันสัญญาณอันตราย “ โนโรไวรัส (Norovirus)”
หน้าหนาวแบบนี้ มีโรคใหม่กำลังระบาดอีกแล้ว!! นั่นก็คือ ”โนโรไวรัส” มักเกิดขึ้นในเด็ก ซึ่งตอนนี้มีเด็ก ๆ ติดเชื้อมากกว่า 1,000 คนแล้ว โนโรไวรัสคือโรคระบบทางเดินอาหารในคนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ ไวรัสชนิดนี้มักทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน และปวดท้องอย่างเฉียบพลัน และแพร่ระบาดได้ง่ายในชุมชนหรือสถานที่ที่คนอยู่ร่วมกันจำนวนมาก เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และบ้านพักคนชรา
สาเหตุของการติดเชื้อโนโรไวรัส
l การรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสนี้
l การสัมผัสพื้นผิวหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนของเชื้อไวรัสนี้
l การสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย เช่น การดูแลผู้ป่วย
ไวรัสชนิดนี้สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี แม้จะอยู่ในอุณหภูมิต่ำหรือสูง ทำให้สามารถแพร่เชื้อได้ง่าย
อาการของการติดเชื้อโนโรไวรัส มักปรากฏภายใน 12-48 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อ และอาจคงอยู่ประมาณ 1-3 วัน
l ท้องเสีย (ถ่ายเหลวหรือถ่ายน้ำ) อาเจียน (พบบ่อยในเด็ก)
l ปวดท้อง หรือท้องอืด
l มีไข้ต่ำ ๆ
l ปวดศีรษะ
** ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ อาจเสี่ยงต่อการขาดน้ำ หากมีอาการดังนี้ควรพบแพทย์ทันที
l กระหายน้ำมาก
l ริมฝีปากแห้ง
l ปัสสาวะน้อยหรือสีเข้ม
l อ่อนเพลียรุนแรง
การรักษาปัจจุบันไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับการติดเชื้อโนโรไวรัส การรักษาเน้นการประคับประคองอาการ เช่น:
l พักผ่อนให้เพียงพอ
l ป้องกันภาวะขาดน้ำ
l ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) หรือเครื่องดื่มที่ช่วยคืนสมดุลน้ำ
l หลีกเลี่ยงน้ำผลไม้หรือน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูง
l ยารักษาตามอาการ ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล
l หลีกเลี่ยงยาแก้ท้องเสียในเด็กเล็ก เว้นแต่แพทย์สั่ง
การป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัส
l ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
l หลีกเลี่ยงการสัมผัสอาหารหรือสิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
l ทำความสะอาดพื้นผิว ที่อาจปนเปื้อนเชื้อไวรัสด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
l ปรุงอาหารให้สุก โดยเฉพาะอาหารทะเล
l หากมีอาการ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่นอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังจากอาการหาย
การติดเชื้อโนโรไวรัส มักเกิดขึ้นในเด็ก หากผู้ปกครองท่านใดกังวลว่าลูกบุตรหลาน จะได้รับเชื้อไวรัสตัวนี้ ควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและมีประโยชน์ ป้องกันตัวเองในเรื่องของความสะอาดและดูแลหมั่นสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากเกิดอาการตามข้อมูลข้างต้น ควรรีบพาบุตรหลานเข้าพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดโรค
บทความโดย แพทย์หญิง ศิริพร แจ่มจำรัส แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการพัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC)