เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2562

เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2562

 

 

 

 

 

เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2562

เผยเดินหน้า HVA เศรษฐกิจหมุนเวียน โซลูชั่นครบวงจร พร้อมเร่งโครงการลงทุนตามแผน

สร้างธุรกิจโตระยะยาวและคงเสถียรภาพทางการเงิน รับเศรษฐกิจโลกท้าทาย

 

 

กรุงเทพฯ : 26 กรกฎาคม 2562 – เอสซีจีแถลงผลประกอบการเอสซีจีไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2562 กำไรลดลงหลักจากผลกระทบสงครามการค้า เผยเดินหน้านวัตกรรมสินค้า-บริการที่มีมูลค่าเพิ่ม และตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมส่งมอบโซลูชั่นครบวงจรให้ลูกค้า รวมทั้งเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญที่สร้างมูลค่าให้เป็นไปตามแผน เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวและรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้ธุรกิจ

 

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2562 มีรายได้จากการขาย 109,094 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง และลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากรายได้ของธุรกิจหลักลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 9,079 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ และการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 1,150 ล้านบาท ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานดังกล่าวมูลค่า 2,035 ล้านบาท จะทำให้เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 7,044 ล้านบาท

 

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2562 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 221,473 ล้านบาท   ลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 20,741 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงจากผลกระทบของสงครามการค้า แต่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยังมีรายได้สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของการก่อสร้างในภูมิภาค ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จะทำให้เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 18,706 ล้านบาท

 

โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) 47,164 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 2562 เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 92,628 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในครึ่งปีแรกของปี 2562 ทั้งสิ้น 88,825 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2562 มีมูลค่า 618,591 ล้านบาท โดยร้อยละ 33 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกปี 2562 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจเคมิคอลส์ ได้รับผลกระทบของสงครามการค้าและค่าเงินบาทแข็งค่าที่ส่งผลให้ส่วนต่างราคาสินค้าปรับตัวลดลง รวมทั้งการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 จึงมีรายได้จากการขาย 45,995 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 4,424 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 28 จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานดังกล่าวมูลค่า 482 ล้านบาท จะทำให้ธุรกิจเคมิคอลส์มีกำไรสำหรับงวด 3,942 ล้านบาท

 

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2562 ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขาย 92,235 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 10,530 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จะทำให้ธุรกิจเคมิคอลส์มีกำไรสำหรับงวด 10,048 ล้านบาท

 

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 มีรายได้จากการขาย 45,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการซบเซาของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในช่วงฤดูฝน โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 1,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 40 จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานดังกล่าวมูลค่า 964 ล้านบาท จะทำให้ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีกำไรสำหรับงวด 873 ล้านบาท

 

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2562 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 94,238 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดซีเมนต์ในประเทศ โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 4,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จะทำให้ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีกำไรสำหรับงวด 3,913 ล้านบาท

 

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 มีรายได้จากการขาย 20,402 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการซื้อที่ลดลงในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และกระดาษประเภทอื่น ๆ โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 1,375 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 18 จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานดังกล่าวมูลค่า 338 ล้านบาท จะทำให้ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีกำไรสำหรับงวด 1,037 ล้านบาท

 

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2562 ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย 41,529 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการซื้อที่ลดลงในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และกระดาษประเภทอื่น ๆ โดยมีกำไรสำหรับงวดก่อนรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 3,056 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากรวมรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน จะทำให้ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีกำไรสำหรับงวด 2,718 ล้านบาท

 

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “แม้ผลประกอบการของเอสซีจีในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2562 โดยเฉพาะธุรกิจเคมิคอลส์ จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ประกอบกับรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานในไตรมาสที่ 2 และการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ แต่เอสซีจียังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม หรือ HVA ควบคู่กับการตอบโจทย์แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) พร้อมส่งมอบโซลูชั่นแบบครบวงจรให้ลูกค้า รวมทั้งเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญที่ช่วยสร้างมูลค่าให้ธุรกิจให้เป็นไปตามแผน ภายใต้ 2 กลยุทธ์ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก ทั้งการบริหารจัดการการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว (Long-term Growth) และการสร้างเสถียรภาพทางการเงิน (Stability)  

                          

ด้านการบริหารจัดการการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว สำหรับธุรกิจเคมิคอลส์ จะเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยอาศัยจุดแข็งของเอสซีจีด้านการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะสินค้าเคมีภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การพัฒนาเม็ดพลาสติกพอลิเอทิลีนเกรดพิเศษด้วย SMX Technology™ สำหรับผู้แปรรูปพลาสติกและเจ้าของแบรนด์สินค้าที่ต้องการเม็ดพลาสติกคุณภาพสูง สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกในผลิตภัณฑ์ แต่ยังคงความแข็งแรงทนทานได้ดี ตลอดจนการพัฒนาสินค้าเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด ซึ่งล่าสุดได้เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา SCG Advanced Materials Laboratory ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เพื่อพัฒนาต้นแบบสินค้าในกลุ่ม Functional Materials 

 

 

 

ส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ซึ่งยังคงมีการเติบโตที่ดีจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องของโครงการก่อสร้างของภาครัฐในไทย เช่นเดียวกับการเติบโตในภูมิภาคอาเซียนทุกประเทศ ยกเว้นอินโดนีเซียซึ่งมีความต้องการภายในประเทศชะลอตัว เอสซีจีจึงเน้นรุกตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพและมูลค่าของตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างธุรกิจค้าปลีก เช่น การเปิดศูนย์ “SCG Home บุญถาวร” จำหน่ายสินค้าวัสดุตกแต่งที่เน้นครัวและห้องน้ำ ที่จังหวัดนครราชสีมา กระบี่ และนครศรีธรรมราช รวมถึงการขยายคลังสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิของธุรกิจโลจิสติกส์ หรือการพัฒนาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบวงจรยิ่งขึ้น เช่น โซลูชั่นระบบหลังคาที่ช่วยประหยัดพลังงาน ไม่รั่วซึมหรือสีซีดจาง และอยู่สบาย เป็นต้น

 

ขณะที่ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ซึ่งมีการเติบโตที่โดดเด่นและมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาคอาเซียน รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ทั้งการเติบโตของธุรกิจ e-commerce และพฤติกรรมการบริโภคอาหารบริการด่วน เอสซีจีจึงเน้นการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจมากยิ่งขึ้น ด้วยการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมทั้งโรงงาน UPPC ในฟิลิปปินส์ และโรงงาน BATICO ในเวียดนาม รวมทั้งการซื้อหุ้น Fajar ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ของอินโดนีเซีย

 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ คือ การสร้างเสถียรภาพทางการเงิน เอสซีจีคำนึงถึงการบริหารสภาพคล่องของธุรกิจด้วยการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2562 เอสซีจีมีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร (cash & cash under management) 42,573 ล้านบาท สอดคล้องกับแผนการลงทุนและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังไม่แน่นอน รวมทั้งการทบทวนโครงการลงทุน โดยเน้นโครงการที่สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้รวดเร็ว เช่น การซื้อหุ้น Fajar ซึ่งจะสามารถรวมผลการดำเนินงานเข้ามาในธุรกิจแพคเกจจิ้งของเอสซีจีได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 นี้ ส่วนโครงการลงทุนสำคัญที่ช่วยสร้างมูลค่าให้ธุรกิจที่ได้ลงทุนไปแล้ว อย่างโครงการปิโตรเคมีครบวงจรในเวียดนามหรือ LSP ก็ได้เร่งดำเนินการให้สำเร็จตามแผน

 

นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ด้วยการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงาน อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในโรงงาน โดยสามารถจ่ายไฟฟ้าได้แล้ว 77 เมกะวัตต์ ทำให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากภายนอก ช่วยให้ประหยัดได้ 350 ล้านบาทต่อปี และการเปลี่ยนของเสียให้เป็นพลังงาน (Waste to energy) เช่น การผลิตไฟฟ้าจากของเสียในการผลิตกระดาษ โดยมีกำลังการผลิต 9.6 เมกะวัตต์ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยี ทั้งการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และการสร้างสตาร์ทอัพในองค์กร รวมทั้งการสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น

 

เอสซีจียังเน้นการขยายโอกาสส่งออกตามทิศทางของตลาดโลก เช่น ธุรกิจแพคเกจจิ้งที่ส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังจีนและกลุ่มประเทศในอาเซียนเพิ่มขึ้น หรือธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ส่งออกสินค้ากลุ่มฝ้าและผนังไปจำหน่ายในเกาหลีใต้ ก่อนมีแผนจะขยายตลาดไปยังโซนยุโรปเพิ่มเติมอีกด้วย” นายรุ่งโรจน์ กล่าวปิดท้าย

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2562 ในอัตรา 7.00 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 8,400 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 23สิงหาคม 2562 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2562 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 9 สิงหาคม 2562

 

SCG Announces Operating Results for Q2/2019 and H1/2019,

Promotes HVA, Circular Economy and Total Solutions While Speeding up Investment Projects to Meet Planned Target, Building Long-Term Growth and Stability Amidst Challenging Economy

 

BANGKOK: 26 July 2019 – SCG announced its operating results for Q2/2019 and H1/2019 with shrinking profits spawned by trade war tensions, pledging to push forward development of innovative and high value added products and services and achieving a circular economy complemented with delivering total solutions for customers and accelerating major investment projects to meet the planned target. A series of measures taken to ensure long-term growth and maintain stability.

Mr. Roongrote Rangsiyopash, President and CEO of SCG, disclosed the Company’s unreviewed Operating Results for Q2/2019 with registering Revenue from Sales of 109,094 MB, a decrease of 9% y-o-y, mainly from lower chemicals product prices and a 3% drop q-o-q with decreases from all core businesses. Profit for the Period, without the severance pay adjustment, fell to 9,079 MB or down 27% y-o-y and 22% q-o-q in light of the trade war concerns which affected the chemicals margin and inventory loss of 1,150 MB. Factoring in the severance pay adjustment of 2,035 MB, SCG’s Profit for the Period will stand at 7,044 MB.

SCG’s Revenue from Sales for the first half of 2019 lessened by 7% y-o-y to 221,473 MB, predominantly due to lower chemicals prices. Profit for the Period, without the severance pay adjustment, dipped 16% y-o-y to 20,741 MB, owing to the drop in chemicals margins on global trade war concerns. However, Cement-Building Materials Business recorded higher revenues thanks to regional construction sector recovery. Factoring in the severance pay adjustment, SCG’s Profit for the Period will stand at 18,706 MB.

SCG’s Revenue from Sales of High Value Added Products & Services (HVA) for Q2/2019 reached 47,164 MB or 43% of total Revenue from Sales, representing an increase of 4% y-o-y and 4% q-o-q. As a result, the Revenue from Sales of HVA products for the first half of 2019 amounted to 92,628 MB or 42% of total Revenue from Sales, increasing 2% y-o-y.

Besides, SCG’s Revenue from performance businesses outside of Thailand including with export sales from Thailand for H1/2019 registered 88,825 MB or 40% of total Revenue from Sales, a dip of 11% y-o-y.

The total assets of SCG, as of June 30, 2019, amounted to 618,591 MB, while 33% represented assets in ASEAN.

The Q2 and first half of 2019 operating results by business units are as follows:

Chemicals Business was affected by lower product margins caused by the trade war concerns and Thai Baht appreciation combined with inventory loss. Q2/2019 Revenue from Sales amounted to 45,995 MB, a decrease of 19% y-o-y and 1% q-o-q. Profit for the Period, without the severance pay adjustment, dropped by 46% y-o-y and 28% q-o-q to 4,424 MB. Factoring in the severance pay adjustment of 482 MB, Chemicals Business’ Profit for the Period will stand at 3,942 MB.

As a result, H1/2019’s Revenue from Sales fell to 92,235 MB or dropped 16% y-o-y, primarily because of lower product prices. Profit for the Period, without the severance pay adjustment, dropped by 35% y-o-y to 10,530 MB. Factoring in the severance pay adjustment, Chemicals Business’ Profit for the Period will stand at 10,048 MB.

Cement-Building Materials Business recorded Q2/2019 Revenue from Sales of 45,928 MB, a rise of 3% y-o-y but declined 5% q-o-q from the stagnation of cement-building products on the market during the rainy season. Profit for the Period, without the severance pay adjustment, amounted to 1,837 MB with a rise of 10% y-o-y but declined 40% q-o-q. Factoring in the severance pay adjustment of 964 MB, Cement-Building Materials Business’ Profit for the Period will stand at 873 MB.

As a result, Revenue from Sales for H1/2019 would increase by 3% y-o-y to 94,238 MB, attributed to the continued growth contribution of the Thai grey cement sales. Profit for the Period, without the severance pay adjustment, rise of 17% y-o-y to 4,877 MB. Factoring in the severance pay adjustment, Cement-Building Materials Business’ Profit for the Period will stand at 3,913 MB.

Packaging Business recorded Q2/2019 Revenue from Sales of 20,402 MB, a decrease of 6% y-o-y and 3% q-o-q, mainly due to demand softness in both Packaging and others paper (Fibrous). Profit for the Period, without the severance pay adjustment, amounted to 1,375 MB, down 14% y-o-y and 18% q-o-q. Factoring in the severance pay adjustment of 338 MB, Packaging Business’ Profit for the Period will stand at 1,037 MB.

As a result, Revenue from Sales for H1/2019 would dip by 5% y-o-y to 41,529 MB, attributed to demand softness in both Packaging and others paper (Fibrous). Profit for the Period, without the severance pay adjustment, decrease of 2% y-o-y to 3,056 MB. Factoring in the severance pay adjustment, Packaging Business’ Profit for the Period will stand at 2,718 MB.

Mr. Roongrote said, “Despite a series of hurdles ranging from trade war, global economic slowdown, severance pay adjustment in Q2/2019 and inventory loss affecting SCG’s operating performance for the second quarter and the first half of 2019 -- especially in the chemicals business, SCG continues to broaden innovative and HVA product and service range along with striving to integrating the circular economy concept into its operations while delivering holistic solutions for customers. The Company is also steering major investment projects with the aim to help generate business values to meet the planned goals. With implementing two key strategies, SCG is competent to strengthen resilience against global economic fluctuations with a management approach that focuses on long-term growth and stability.                      

To pursue the strategy of Long-term Growth ManagementChemicals Business put a spotlight on increasing its competitive advantage by leveraging SCG's strength on HVA product and service development especially Sustainable Chemicals products and services that achieving a circular economy. Examples include the development of special-grade polyethylene compounds with SMX Technology™ for converters and brand owners who look for higher quality plastic resins with reduced material consumption while maintaining mechanical properties, and the development of Specialty Additives for fully recyclable packaging. Besides, SCG has recently launched SCG Advanced Materials Laboratory, an R&D center in Oxford, the United Kingdom with a mission to develop prototypes of Functional Materials.

Cement-Building Materials Business demonstrated robust growth, particularly in continuous investment in Thailand’s government construction projects along with the positive economic output of all countries in the region except Indonesia that faces domestic demand weakening. Hence, SCG actively focuses on tapping potential and fast-growing markets like retail Business. For example, launching “SCG Home Boonthavorn” to serve as a center offering kitchen and bathroom decorative materials in Nakhon Ratchasima, Krabi and Nakhon Si Thammarat. Furthermore, Logistics Business has expanded temperature-controlled warehouse capacity. What’s more, SCG has delivered total solutions for customers such as roofing solution that saving energy, prevents leaks with improved color durability and provides comfort living.

 

 

Packaging Business showed outstanding growth with good scalability potential in line with the domestic and regional economic growth, particularly in ASEAN. This also includes other factors stemming from the e-commerce boom and growth in the fast food industry. SCG focuses on accelerating business growth by expanding production capacity in the Philippines’s UPPC factory and Vietnam’s BATICO factory on top of acquiring shares of Fajar, a major Indonesian packaging paper manufacturer.

To ensure Stability, SCG lays stress on business's proper liquidity management by maintaining working capital at an appropriate level. By the end of the second quarter of 2019, SCG has cash & cash under management totaled 42,573 MB, in line with the investment plans and uncertain business environment. This includes the reviewing the investment projects where SCG focusing on projects that can rapidly generate values. Examples include the acquisition of Fajar shares in which its operating performance will be combined with SCG's Packaging Business in the third quarter of 2019. The ongoing investment projects such as Vietnam Long Son Petrochemical (LSP) are pulled ahead to meet the planned schedule.

Besides, the Company has increased energy efficiency by promoting a series of renewable energy usage in the plants. Initiatives include onsite solar panel installation, which can generate 77 megawatts of electricity, reducing the use of external sources, and saving approximately 350 MB per year. Another scheme is the waste-to-energy approach, such as power generation from waste in paper manufacturing. The measure can produce 9.6 megawatts of electricity. Also, SCG has sought enhancements of manufacturing effectiveness and cost reduction initiatives with the help of technology. On top of that, SCG has embraced collaborations to develop digital technologies. Alongside startup venture, SCG has encouraged in-house startups and forged more collaborations to develop deep technologies to streamline operations of all SCG core business units.

SCG also underlines increasing export opportunities following the global market. Examples include Packaging Business exporting to China and ASEAN countries, Cement-Building Materials Business exporting ceiling and walls to South Korea with an expansion plan to Europe in sight,”  Mr. Roongrote concluded.

In addition, The Board of Directors of SCG has approved a H1/2019 interim dividend payment of 7.00 Baht per share (8,400 MB), which is payable on August 23, 2019, XD-date on August 8, 2019 and record date on August 9, 2019.