เมืองไทยประกันชีวิต ขยายการลงทุนด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เปิดตัว “66 Tower”
เมืองไทยประกันชีวิต ขยายการลงทุนด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เปิดตัว “66 Tower” อาคารออฟฟิศเกรดเอ ย่านสุขุมวิท
ภายใต้แนวคิด “Human Centric Living Workplace”
เมืองไทยประกันชีวิต บุกธุรกิจอสังหาฯ เปิดตัว “66 Tower” อาคารออฟฟิศเกรดเอ สูง 28 ชั้น ย่านสุขุมวิท ภายใต้แนวคิด “Human Centric Living Workplace” มุ่งออกแบบพื้นที่โดยเน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง พร้อมเดินทางเชื่อมต่อย่านเศรษฐกิจได้อย่างสะดวกและครบครัน
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตเดินหน้าขยายการลงทุนด้วยการบุกตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ พร้อมเปิดตัวอาคาร “66 Tower” (ซิคตี้ซิกส์ ทาวเวอร์) The Living Workplace Solution โครงการอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอ แห่งใหม่ บนถนนสุขุมวิท ใกล้ซอยสุขุมวิท 66 ซึ่งออกแบบภายใต้คอนเซปต์ Human Centric Living Workplace มุ่งออกแบบพื้นที่โดยเน้นผู้ใช้งานอาคารเป็นศูนย์กลาง เริ่มต้นก่อสร้างแล้ว โดยบริษัท ฤทธา จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักของโครงการ คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ประมาณไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 และมีบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE เป็นตัวแทนในการปล่อยเช่าพื้นที่สำนักงานแต่เพียงผู้เดียว
โครงการตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ ง่ายต่อการเชื่อมต่อเศรษฐกิจชั้นใน และโซนธุรกิจอุตสาหกรรม รวมถึงพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC: Eastern Economic Corridor) นอกจากนี้อาคารตั้งอยู่ใกล้ BTS สถานีอุดมสุข เพียง 150 เมตร สะดวกต่อการเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง อีกทั้งยังใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนทั้ง 3 สาย (ทางด่วนเฉลิมมหานคร ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนบูรพาวิถี) รวมถึงสามารถเดินทางไปยังท่าอากาศยานสุวรรณ-ภูมิได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยทีมงานผู้ออกแบบมืออาชีพ ซึ่งพัฒนาโครงการทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ ได้รับรางวัลการันตีการออกแบบจากหลากหลายสถาบันชั้นนำ โดยโครงการมีผู้ออกแบบหลัก คือ บริษัท ปาล์มเมอร์ แอนด์ เทอร์เนอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และผู้ออกแบบภูมิสถาปัตย์ คือ บริษัท พี แลนด์สเคป จำกัด ซึ่งได้ร่วมพัฒนาโครงการภายใต้การออกแบบที่เน้นผู้ใช้งานอาคารเป็นศูนย์กลาง ได้แบ่งแนวคิดการออกแบบเป็น 3-i concept ได้แก่
- Ignite Success เน้นความสำคัญของพื้นที่เช่าและพื้นที่ใช้สอยของอาคารที่สามารถรองรับทุกฟังก์ชันการใช้งานของผู้เช่าและผู้มาติดต่ออาคารให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
- Ignite Productivity เน้นความสำคัญเรื่องความรวดเร็วและความสะดวกสบายในโครงการ อาทิ การคัดเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS มากที่สุด เพื่อให้ผู้เช่าและผู้มาติดต่อลดระยะเวลาในการเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนได้ อีกทั้ง โครงการมีการลงทุนระบบ IOT (Internet of Thing) เพื่อรองรับการใช้งานด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของผู้เช่า
- Ignite Wellness เน้นความสำคัญเรื่อง Work & Life Integration ออกแบบให้โครงการไม่เป็นเพียงแต่สถานที่ที่ทำงานแต่เป็นที่ที่ผู้ใช้งานอยู่แล้วมีความสุข มีร้านค้าหลากหลาย และมีบรรยายกาศที่ร่มรื่นน่าพักผ่อนและผ่อนคลายจากการทำงาน เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
นอกจากนี้โครงการยังมีจุดเด่นอยู่ที่ โถงล็อบบี้ (Main Office Lobby) ที่ออกแบบมาให้มีความ Grand and Welcoming ด้วยความสูงโปร่งถึง 10 เมตร เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับผู้เช่าทุกรายที่มาเช่าพื้นที่ในอาคาร ส่วนภายในพื้นที่เช่าออกแบบให้มีความสูงโปร่งถึง 3 เมตร มากกว่ามาตรฐานอาคารสำนักงานทั่วไป พร้อมระยะจาก Core to Window กว้างถึง 15 เมตร โดยไม่มีเสากั้นตรงกลางพื้นที่ หรือ ที่เรียกว่า Column Free Design ช่วยให้ผู้เช่าสามารถออกแบบพื้นที่ได้หลากหลายฟังก์ชันและใช้สอยพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ขนาดพื้นที่เช่าของอาคารสามารถรองรับผู้เช่าได้ตั้งแต่ 100 ตารางเมตรขึ้นไป และยังตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าพื้นที่ขนาดใหญ่ ด้วยการรองรับการเชื่อมต่อระหว่างชั้นในพื้นที่เช่าได้ (Private Inter-Floor Access)
โครงการมีห้องประชุมส่วนกลางให้เช่าหลากหลายฟังก์ชัน รองรับการจัดประชุมหรือจัดสัมมนาของผู้เช่าได้ จุดนี้ช่วยให้ผู้เช่าประหยัดพื้นที่เช่าและลดค่าใช้จ่ายในการตกแต่งพื้นที่เพื่อทำเป็นห้องประชุมของผู้เช่าเอง และประหยัดเวลาในการจัดประชุมหรือจัดสัมมนาภายนอกอาคาร โครงการมีพื้นที่ร้านค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าและผู้มาติดต่อ อีกทั้งมีพื้นที่สีเขียวรอบโครงการ เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนให้กับผู้เช่า นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการมากมาย ได้แก่ คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านอาหารและร้านค้า โรงแรม โรงพยาบาล และไปรษณีย์
ตัวอาคารถูกออกแบบตามมาตรฐานอาคารสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน อาทิ เลือกใช้ระบบการปรับแสงไฟอัตโนมัติภายในอาคาร Daylight Dimmer และไฟระบบ LED เพื่อประหยัดพลังงานเลือก Façade ที่เป็น กระจก Insulated Low-E Glass ซึ่งมีคุณสมบัติลดความร้อนจากภายนอกอาคาร ทำให้ภายในพื้นที่เช่ามีอุณหภูมิที่ลดลง นอกจากนี้โครงการจัดเตรียมพื้นที่จอดรถเพื่อรองรับผู้คนใช้รถเข็น และสนับสนุนผู้ใช้รถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยช่องจอดพิเศษเช่น ที่จอดรถจักรยาน ที่จอดรถ Green Vehicle Parking และ ช่องจอดรถ Car Pool Parking รวมถึงมีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Charging Station
และไม่นานมานี้ “66 Tower” ได้รับรางวัลจากงาน Asia Pacific Property Awards ปี 2019-2020 รวม 2 รางวัล ได้แก่ Award Winner Office Development Thailand และ รางวัล Best Office Architecture Thailand นอกจากนี้อาคารออกแบบตามมาตรฐานอาคารสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าหมายที่จะได้ LEED Green Building Certification Gold Version 4 ภายหลังที่มีการเปิดใช้อาคารในปี 2021 (Aims to achieve LEED Green Building Certification)
“66 Tower ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสะดวกต่อการเข้าถึงในเมืองและออกนอกเมืองได้สะดวก เหมาะกับทุกขนาดธุรกิจ ตั้งแต่ Start Up ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ต้องการพื้นที่อาคารสำนักงานที่มีคุณภาพและใส่ใจในการออกแบบเพราะเราคำนึงถึงผู้ใช้งานอาคารเป็นหลัก ด้วยราคาเช่าพื้นที่ 850 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน” นายสาระ กล่าว
นายนิธิพัฒน์ ทองพันธุ์ กรรมการบริหารและหัวหน้าแผนกพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพมหานครยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราพื้นที่ว่างเพียง 7% ในส่วนของค่าเช่ายังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน แต่ขยับขึ้นในอัตราที่ลดลง อย่างไรก็ตาม โครงการใหม่ ๆ จะทยอยเพิ่มเข้าสู่ตลาดในปี 2564 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น
จากแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตลาดพื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ เองก็ได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะผู้เช่าจำนวนมากจะเปลี่ยนรูปแบบพื้นที่ทำงานเป็นพื้นที่ทำงานที่มีความคล่องตัว (Agile Workplace) โดยมีการใช้กลยุทธ์ในการจัดพื้นที่ทำงาน (Workplace Strategy) เพื่อให้ใช้พื้นที่น้อยลงแต่เพิ่มคนได้มากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์ในการจัดพื้นที่ทำงานแบบใหม่นี้ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเช่าพื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ โครงการ 66 Tower ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่กำลังเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกแบบพื้นที่สำนักงานที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานอาคารสำนักงานระดับเกรดเอ อีกทั้งยังออกแบบโดยคำนึงถึงการเตรียมความพร้อมในการรองรับผู้เช่าจำนวนมากในอนาคต เช่น ความเร็วของลิฟต์ จำนวนห้องน้ำที่เพียงพอ นอกจากนั้นผู้เช่ายังสามารถทำบันไดเชื่อมต่อระหว่างชั้นภายในพื้นที่สำนักงานของตนเอง เพื่อตอบโจทย์การทำงานรูปแบบใหม่ที่มีความคล่องตัว และอาคารยังได้รับการออกแบบตามมาตรฐานอาคารสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งที่ติดรถไฟฟ้า BTS สถานีอุดมสุข การมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งภายในและโดยรอบโครงการ รวมถึงมีห้องประชุมให้เช่า จึงเชื่อว่าโครงการ 66 Tower จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าในตลาดได้เป็นอย่างดี