อิตัลไทย โชว์ผลงานปิดปี 2561 คาดเติบโต 17% แสดงวิสัยทัศน์และพันธกิจใหม่
อิตัลไทย โชว์ผลงานปิดปี 2561 คาดเติบโต 17% แสดงวิสัยทัศน์และพันธกิจใหม่
เน้นการสร้างคนขับเคลื่อนองค์กรรับปี 2562 เดินเครื่องรุกสู่ตลาดเอเชีย
ตั้งเป้าปีหน้ากวาดรายได้ 1.5 หมื่นล้าน
กลุ่มบริษัทอิตัลไทยปรับวิสัยทัศน์เสริมความแกร่งให้ทุกกลุ่มธุรกิจ มุ่งเป้าสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้องค์กร ย้ำเดินหน้าตามโรดแมพเดิม เพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันและโอกาสการลงทุน เน้นสองกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักและธุรกิจรับเหมางานวิศวกรรมและการก่อสร้างแบบครบวงจร รวมถึงกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และไลฟ์สไตล์ พร้อมรุกขยายตลาดสู่เอเชีย มั่นใจปีหน้าโกยรายได้ 1.5 หมื่นล้านบาท ตามเป้าที่วางไว้
นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอิตัลไทย กล่าวว่า จากแนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้างโดยรวมในช่วงปี พ.ศ. 2561-2563 (ข้อมูลจากวิจัยกรุงศรี) มีการคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ย 7-9% ต่อปี จากการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจมหภาค ด้วยการอนุมัติการลงทุนในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ในขณะที่แนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในปี พ.ศ. 2561 (ข้อมูลจาก ททท.) คาดว่าจะยังเติบโตได้ถึง 9.6% โดยได้แรงสนับสนุนจากปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ซึ่งสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของภาครัฐที่วางไว้ ทำให้เชื่อมั่นว่าจากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะส่งเสริมและทำให้ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักและธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมและการก่อสร้างแบบครบวงจร รวมถึงกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และไลฟ์สไตล์ มีการเติบโตสูงขึ้น
นอกจากปัจจัยบวกภายนอกแล้ว องค์กรเองยังได้ปรับวิสัยทัศน์และพันธกิจของกลุ่มบริษัทฯ ที่มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาคน โดยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งผ่านการสร้างค่านิยมหลักในการทำงาน หรือ “ITALTHAI Core Values” ให้กับพนักงาน ซึ่งมีด้วยกัน 6 ประการ คือ Listen. Speak. Share. เปิดใจฟัง ตั้งใจพูด พร้อมแบ่งปัน Learn and Grow เรียนรู้ เพื่อเติบโต Create an Impact สร้างผลลัพธ์ที่ดี Do What is Right ทำสิ่งที่ถูกต้อง Bring Fun to Work พกพาความสนุกมาทำงาน และ Never Give Up อย่ายอมแพ้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรผ่านการจัดหลักสูตรอบรมในด้านต่างๆ เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางความคิดให้เกิดมุมมองใหม่ที่หลากหลายในการสร้างสรรค์ สินค้า บริการ และประสบการณ์ใหม่ๆ สู่ตลาด รวมถึงสอดคล้องกับความต้องการและภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นโดยตัวเลขคาดการณ์การเติบโตรวมในปีนี้อยู่ที่ 17% และคาดการณ์รายได้รวมสิ้นปีอยู่ที่ 13,435 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายการเติบโตในปี พ.ศ. 2562 กลุ่มบริษัทอิตัลไทย ยังคงวางแผนเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคเอเชียมากขึ้น โดยคาดว่ารายได้รวมทั้งปีในปี พ.ศ. 2562 ของกลุ่มบริษัทฯ ตามแผนปฏิบัติการ ปี พ.ศ. 2560-2564 (Roadmap) ที่วางไว้จะอยู่ที่ 15,030 ล้านบาท เติบโต 12% แบ่งเป็นรายได้ของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักและธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมและการก่อสร้างแบบครบวงจร 9,400 ล้านบาท คิดเป็น 63% และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ 5,630 ล้านบาท คิดเป็น 37%
นายสกล เหล่าสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด กล่าวถึงธุรกิจ ของทางบริษัทฯ ว่า ทางบริษัทฯ ได้มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบการผลิตและระบบจำหน่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่,พลังงานทดแทน, งานระบบประกอบอาคารสูง, ระบบสาธารณูปโภคในกลุ่มปิโตรเคมี ตลอดจนการสร้างคลังสินค้าและโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การให้บริการของทางบริษัทฯครอบคลุมทั้งงานออกแบบทางวิศวกรรม, การบริหารโครงการและการก่อสร้าง รวมไปถึงงานบำรุงรักษาภายใต้มาตรฐาน ISO9001: 2015, ISO14001:2015 และ OHSAS18001:2007 นอกจากการดำเนินธุรกิจในประเทศ ปัจจุบันบริษัทฯ ยังได้ขยายธุรกิจสู่ประเทศเมียนมาร์ ภายใต้ชื่อ อิตัลไทยวิศวกรรม (เมียนมาร์) ด้วย ส่วนในเรื่องผลประกอบการของทางบริษัทฯ ในปี พ.ศ. 2561 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 45% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจำนวน 45 โครงการ คิดเป็นมูลค่างาน 11,000 ล้านบาท และจะสามารถรับรู้รายได้ในปี พ.ศ. 2561 ประมาณ 5,889 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ. 2562 บริษัทฯ มีเป้าหมายสำคัญในการขยายธุรกิจไปในตลาดใหม่ที่เป็น New S-Curve ซึ่งจะเป็นส่วนเพิ่มจากธุรกิจหลักที่กำลังดำเนินอยู่ อาทิ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid), ระบบไฟฟ้าและเครื่องกลที่เกี่ยวข้องกับโครงการคมนาคมและการขนส่ง, งานก่อสร้างโรงงานและระบบสาธารณูปโภคในส่วนของนิคมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครงการ EEC, การก่อสร้างคลังสินค้าแบบอัตโนมัติ (Automated Warehouse) รวมถึงงานที่เกี่ยวข้องกับ Smart Solution ต่างๆ นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ยังมีแผนการขยายธุรกิจและการลงทุนเพิ่มเติมไปยังประเทศกัมพูชาและสปป.ลาว อีกด้วย ทางบริษัทฯคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2562 จะมียอดการรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 6,100 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลทำให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากปีปัจจุบัน
นายอดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด กล่าวถึงธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักของบริษัทฯ ในฐานะตัวแทนจัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายเครื่องจักรกลหนักจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก อาทิ แบรนด์ “วอลโว่ ซีอี” (Volvo Construction Equipment) แบรนด์ชั้นนำ Top 5 ของโลกจากประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นเครื่องจักรกลหนักสำหรับงานอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมถึงงานโรงโม่ และเหมืองแร่ ที่มีประสิทธิภาพ ทนทาน และประหยัดน้ำมันสูง โดยบริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศไทย และสปป.ลาว มากว่า 40 ปี
รวมถึงแบรนด์ “ทาดาโน่” (TADANO) ผู้นำอันดับ 1 ด้านเครนคุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในเรื่องของคุณภาพ ประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยี และความปลอดภัย โดยเป็นบริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายรถเครนของทาดาโน่อย่างเป็นทางการมากกว่า 30 ปี ในประเทศไทย และสปป.ลาว โดยทั้ง 2 แบรนด์ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการทำการตลาดของบริษัทฯ ซึ่งรองรับกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท ได้แก่ กลุ่มงานเหมืองและโรงโม่หิน ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำสำหรับงานก่อสร้างตึกอาคารและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่ต้องใช้เครื่องจักรคุณภาพสูง และกลุ่มงานถนน ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคม และกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์เพิ่มยอดขายในกลุ่มงานถนนมากขึ้น
เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่และเปิดกว้างในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และสอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยได้มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “พาวเวอร์ เคิร์บเบอร์ แอนด์ พาวเวอร์ เพฟเวอร์” รถปูคอนกรีต นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สามารถรองรับงานก่อสร้างถนนคอนกรีต ตั้งแต่ระดับทางหลวงชนบทจนถึงซุปเปอร์ไฮเวย์ เพื่อเพิ่มพอร์ตฟอลิโอเครื่องจักรกลหนักให้มีความหลากหลาย นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ รถปูยางมะตอย วอลโว่ เอบีจี (Volvo ABG) รถบด รถเกรด ที่พร้อมรองรับงานถนนอย่างครบครัน
ในปี พ.ศ. 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ามีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 22% และตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 3,300 ล้านบาท โดยยังคงให้ความสำคัญกับการเป็น “Solution Provider” โดยให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเน้น “การให้บริการที่เป็นเลิศ” (Service Excellence) เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันโดยบริษัทฯ จัดให้มีการฝึกอบรมพนักงาน เพื่อให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญสามารถให้คำปรึกษา คัดเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะแก่ลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม อาทิ กลุ่มงานเหมืองและโรงโม่ บริษัทฯ ได้นำเอาโปรแกรมประเมินและวางแผนการทำงานของหน้าเหมือง (Site Simulation) เพื่อวิเคราะห์อย่างครบวงจร โดยคัดเลือกเครื่องจักรให้เหมาะสม เพื่อช่วยลดเวลา ต้นทุนทางการเงิน และเกิดความคุ้มค่าในการลงทุนซื้อเครื่องจักรมากที่สุด นอกจากนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มศูนย์บริการ อีก 2 แห่งในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวน 14 แห่ง ครอบคลุมทั่วไทย และสปป.ลาว ส่วนการคัดสรรเครื่องจักรกลหนักเข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติมเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าหลักในปีหน้า บริษัทฯ ได้เพิ่ม วอลโว่ ลิจิด ฮอล์เลอร์ (Volvo Rigid Haulers) รถขนส่งลำเลียงวัสดุประเภท หิน ถ่านหิน หินปูน ขนาดใหญ่ ที่มีให้เลือกตั้งแต่ ขนาด 40 ตันจนถึง 100 ตัน และเอพิร็อค (EPIROC) เครื่องเจาะคุณภาพสำหรับงานเหมือง โรงโม่ และงานก่อสร้าง แบบหัวกระแทก
นางจารุวรรณ สัจจาวุธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยฮอสพิทาลิตี้ จำกัด กล่าวถึง กลุ่มธุรกิจบริการ อาหารและเครื่องดื่ม ว่า บริษัทฯ ยังคงเน้นการดำเนินธุรกิจ โดยตั้งเป้าเป็น HORECA Solution Provider ผ่านการขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจเครื่องดื่ม ทั้งไวน์ น้ำแร่ และน้ำผลไม้ เพื่อเจาะตลาดในกลุ่มธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร (HORECA) โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมช่วยวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม สามารถตอบสนองความต้องการในแต่ละกลุ่ม ซึ่งเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดตัวน้ำแร่ธรรมชาติพรีเมี่ยม “โอจู” (Ogeu) จากประเทศฝรั่งเศส เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับกลุ่มธุรกิจ HORECA ที่กำลังมองหาน้ำแร่ที่คู่ควรกับอาหารระดับกูร์เม่ต์ นอกจากนั้น เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้มีการเปิดร้าน TWG Tea สาขาใหม่ที่ ICONSIAM ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 5 สาขา
สำหรับกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ. 2562 บริษัทฯ วางแนวทางโดยแบ่งออกเป็น 4 เรื่องหลัก ประกอบด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจไวน์ โดยเน้นเพิ่มในส่วนของไวน์พรีเมี่ยมให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไวน์จากประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส และสเปน การทำธุรกิจจัดเลี้ยง โดยเน้นการให้บริการในรูปแบบ Boutique Catering Service สำหรับงานอีเว้นท์ การขยายธุรกิจเบเกอรี่ โดยมุ่งเป้าไปที่ตลาดธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร ซึ่งได้เตรียมสร้างโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต การขยายธุรกิจซักรีด เนื่องจากมองเห็นโอกาสจากธุรกิจโรงแรมที่เกิดใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีแผนกซักรีดเป็นของตัวเอง โดย IHC มีการพัฒนาด้วยการนำเทคโนโลยี Laundry Automation เข้ามาใช้ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปีหน้า ซึ่งจะเน้นให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ และพัทยา ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าในปีหน้าจะทำรายได้รวมอยู่ที่ 360 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นเพิ่มขึ้น 20%
นางสาวลินดา เชง กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ศูนย์กลางศิลปะและโบราณวัตถุหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย กล่าวว่า ริเวอร์ ซิตี้ฯ มองเห็นโอกาสจากทิศทางการตลาดในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการทำตลาดกับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ผ่านรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรม รวมถึงงานศิลปะแขนงต่างๆ ทำให้ริเวอร์ ซิตี้ฯ มีการปรับรูปแบบการทำตลาดเพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ได้มากขึ้น ด้วยการเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับกลุ่ม Creative District ซึ่งเป็นการร่วมมือกันของกลุ่มธุรกิจทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านสะพานตากสิน บางรัก เจริญกรุง และคลองสาน ผ่านงานศิลปะ ดีไซน์ และไลฟ์สไตล์ในรูปแบบต่างๆ โดยผลงานสำคัญในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ริเวอร์ ซิตี้ฯ ได้ปรับโฉมพื้นที่ชั้น 2 ให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงศิลปะร่วมสมัย ภาพถ่ายและงานคราฟต์โดยร่วมกับ แกลเลอรี่ ผู้จัดงานอีเวนต์ สถานทูต และมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อนำเสนอนิทรรศการศิลปะและวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังได้มีการจัดการประมูลผลงานศิลปะร่วมสมัยเป็นครั้งแรกเพิ่มเติมจากการจัดประมูลโบราณวัตถุที่จัดมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อขยายฐานลูกค้าให้
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ. 2562 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางศิลปะและโบราณวัตถุ และศิลปะร่วมสมัยชั้นเยี่ยมของเอเชีย จากที่ได้มีการปรับพื้นที่บริเวณชั้น 2 ของศูนย์ฯ เพื่อรองรับกับการเป็นสถานที่จัดงานแสดงและจำหน่ายผลงานศิลปะร่วมสมัยและภาพถ่าย รวมถึงนิทรรศการระดับนานาชาติ ที่จะมีขึ้นในปีหน้า อาทิ พิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งไทเป (National Palace Museum: NPM) หรือผลงานศิลปะ Monet ซึ่งเป็นนิทรรศการรูปแบบใหม่ ที่นำเสนอศิลปะระดับมาสเตอร์พีซผ่านมัลติมีเดียสุดอลังการ เป็นต้น รวมทั้งศิลปะร่วมสมัยอื่นๆ อีกมากมาย เช่น นิทรรศการภาพวาดโดย Leland Lee ศิลปินเยาวชนชาวไต้หวันมากความสามารถ นิทรรศการภาพถ่ายจากช่างภาพ Yvan Cohen ช่างถ่ายภาพข่าวเกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ และนิทรรศการศิลปะ “อัตตา” โดยการรวมตัวของศิลปินชื่อดัง อย่างคุณประทีป คชบัว คุณสุรเดช แก้วท่าไม้ คุณศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี และคุณอนุพงษ์ จันทร รวมถึงการร่วมมือทางธุรกิจกับกลุ่มศิลปะและสถาบันศิลปะชั้นนำ โดยเน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และการขยายตลาดการประมูลไปยังช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้นในรูปแบบ E-Auction ซึ่งปัจจุบันได้มีการนำแพลตฟอร์ม E-Auction จากประเทศจีนเข้ามาใช้ รวมถึงมีแผนนำแพลตฟอร์มจากที่อื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติม
นายดักลาส มาร์เทล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า ภาพรวมและแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งในไทยและต่างประเทศ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยภาครัฐของไทยมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้มวลรวมภายในประเทศ ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวในต่างประเทศ องค์การท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) ได้เปิดเผยรายงานในครึ่งปีแรกว่า มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปต่างประเทศประมาณ 641 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนั้น UNWTO ยังได้คาดการณ์ตัวเลขภาพรวมของจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 4-5% จากปีที่แล้ว
ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ยังคงตั้งเป้าเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำขนาดกลางด้านบริหารจัดการโรงแรมในเอเชีย โดยมุ่งขยายเครือข่ายโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ในปีนี้มีเครือข่ายใหม่ที่เปิดให้บริการแล้วจำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ชามา เลควิว อโศก กรุงเทพฯ อมารี วังเวียง (สปป.ลาว) ชามา ไอส์แลนด์ นอร์ธ ฮ่องกง ชามา ต้าชิ่ง เฮยหลงเจียง (จีน) ชามา หงเฉียว เซี่ยงไฮ้ (จีน) และ ชามา ฉางเฟิง เซี่ยงไฮ้ (จีน)
หนึ่งในกลยุทธ์การขยายเครือข่ายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศของออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป คือ การจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทชั้นนำ อาทิ เจอาร์ คิวชู (ญี่ปุ่น) เพื่อรับบริหารจัดการชามา เลควิว อโศก กรุงเทพฯ ซินเซีย โฮลดิงส์ กรุ๊ป (จีน) เพื่อเปิดให้บริการเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ภายใต้แบรนด์ชามาในหัวเมืองหลักหลายแห่งในประเทศจีน พานชิล เรียลตี้ จำกัด (อินเดีย) เพื่อเปิดให้บริการโอโซ่ มัลดีฟส์ เอสพี เซเทีย จำกัด (มาเลเซีย) เพื่อเปิดให้บริการสองโรงแรมใหม่ภายใต้ แบรนด์อมารี ณ เมืองกัวลาลัมเปอร์ และปีนัง และ เอเชีย อินเวสเมนท์ ดีเวลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น โซล บริษัทด้านการลงทุน และได้ร่วมทุนก่อสร้างกับกลุ่มบริษัทตั้งเจริญ เพื่อเปิดให้บริการอมารี เวียงจันทน์ (สปป.ลาว)
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ. 2562 ออนิกซ์ฯ ยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายโรงแรมในไทยและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะมีเครือข่ายเปิดให้บริการทั้งหมด 99 แห่ง ภายในปี พ.ศ. 2567 หนึ่งในโครงการพัฒนาที่ออนิกซ์ฯ มีแผนเปิดให้บริการในปีหน้า ได้แก่ โรงแรมอมารี พัทยา ซึ่งได้ผ่านการปรับโฉมและยกระดับการให้บริการ มีกำหนดเปิดให้บริการช่วงไตรมาสแรก ปี พ.ศ. 2562 นอกจากนี้ ออนิกซ์ฯ ยังมีแผนเปิดให้บริการโอโซ่ พัทยา ในพื้นที่ติดกัน ภายในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งทั้งสองโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาโรงแรมที่บริษัทฯ ถือครองเอง (the company’s equity property) โดยใช้งบลงทุนกว่าสามพันล้านบาท การปรับโฉมอมารี พัทยา นับเป็นโครงการที่สำคัญของการลงทุนเพื่อยกระดับการให้บริการโรงแรมที่บริษัทฯ ถือครองเอง ถัดจากอมารี ภูเก็ต อมารี เกาะสมุย และอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ ที่ได้เสร็จสิ้นการปรับปรุงและยกระดับการบริการในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2562 ออนิกซ์ฯ ยังมีแผนขยายเครือข่ายโรงแรมใหม่ภายใต้ แบรนด์ โอโซ่ ซึ่งรวมถึงการกำหนดเปิดให้บริการโอโซ่ ภูเก็ต และโอโซ่ ปีนัง (มาเลเซีย) ตามมาด้วยการเปิดให้บริการโอโซ่ พัทยา โอโซ่ เมดินี (มาเลเซีย) และโอโซ่ มัลดีฟส์ ในปี พ.ศ. 2563 อีกทั้งยังได้เดินหน้าสรรหาพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อเจาะกลุ่มตลาดภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ไชน่า (ได้แก่ ประเทศจีน และเขตปกครองพิเศษฮ่องกง) ซึ่งเป็น กลุ่มตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันออนิกซ์ฯ มีโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ในเครือที่เปิดให้บริการในกลุ่มตลาดดังกล่าวทั้งหมด 14 แห่ง และเพื่อรองรับการขยายเครือข่ายทางธุรกิจในตลาดดังกล่าว ออนิกซ์ฯ จึงได้จัดตั้งสำนักงานประจำกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ไชน่า ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ และเฟ้นหาบุคลากรและทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ในแวดวงอุตสาหกรรมการบริการมาร่วมงาน
ปัจจุบันออนิกซ์ฯ มีสัดส่วนจำนวนโรงแรมในเครือที่เปิดให้บริการในประเทศไทยและต่างประเทศ อยู่ที่ 50:50 ในขณะที่สัดส่วนรายได้ปัจจุบันของโรงแรมในเครือออนิกซ์ฯ ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศ คิดเป็น 60:40 โดยมีกลุ่มลูกค้าหลัก 5 อันดับแรก มาจากทั้งตลาดไทยและตลาดต่างชาติ ได้แก่ จีน อินเดีย สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย และคาดการณ์ว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของโรงแรมในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศจะเปลี่ยนเป็น 55:45 ปัจจุบัน ออนิกซ์ฯ มีโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ในเครือฯ ที่เปิดให้บริการแล้ว 50 แห่ง ประกอบด้วย ห้องพักจำนวนกว่า 7,000 ห้อง ใน 8 ประเทศ (รวมถึงเขตปกครองพิเศษ) ได้แก่ ประเทศไทย จีน มาเลเซีย ศรีลังกา มัลดีฟส์ กาตาร์ สปป.ลาว และบังกลาเทศ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างประมาณ 30 แห่ง ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
“กลุ่มอิตัลไทย มีความพร้อมในด้านบุคลากรและทีมงานที่มากไปด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ทั้งในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักและงานวิศวกรรมและก่อสร้างแบบครบวงจร รวมถึงกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ โดยยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจให้ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากล การให้บริการที่เป็นเลิศ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของพันธมิตรทางธุรกิจ และลูกค้าได้แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม โดยการพัฒนาศักยภาพของทีมงานและบุคลากรอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง พร้อมกับการร่วมสนับสนุนด้วยการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและโอกาสการลงทุน เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศสู่ภูมิภาคเอเชีย” นายยุทธชัย จรณะจิตต์ กล่าวสรุป
Italthai to close 2018 performance with 17% growth,
unveil new vision and mission to focus on people development and further forays into Asian markets in 2019 with target revenue of 15 billion BHT.
Under its new vision, Italthai Group is set to empower every business group for consistent and sustainable growth and enhance its competitiveness and readiness to capitalise on the right investment opportunities. It will also follow through with its existing roadmap, focusing on its two core businesses – Engineering Services & Construction Contractor and Construction Equipment, and Hospitality and Lifestyle – and furthering its foray into key Asian markets. The Group is confident it will achieve its target income of 15,030 million baht for 2019.
Mr. Yuthachai Charanachitta, Group CEO, Italthai Group, said that Thailand’s construction sector can expect an average growth of 7-9% per year over the period 2018-2020 (according to Krungsri Research), thanks to the infrastructure investment projects initiated partly as macroeconomic stimulus, particularly with the Eastern Economic Corridor (EEC).
Meanwhile, the domestic tourism industry is expected to grow by 9.6% in 2018 (according to the Tourism Authority of Thailand) on the back of the government’s tourism stimulating measures, which also correspond with the 20-year National Strategy. Given these favourable factors, Italthai Group believes that its core businesses, namely Engineering Services & Construction Contractor and Construction Equipment, and Hospitality and Lifestyle, will enjoy further growth.
To complement these external factors, the company has adjusted its vision and mission to focus more on developing its human capital by fostering a strong organizational culture known as the six “ITALTHAI Core Values,” comprising: 1) Listen. Speak. Share., 2) Learn and Grow, 3) Create an Impact, 4) Do What is Right, 5) Bring Fun to Work, and 6) Never Give Up. In tandem, to drive its people towards the group’s common goals, intensive training programs are offered to help realign their mindset and inspire new and diverse ideas for products, services, and experiences that will meet the needs of the shifting business landscape. As such, the company’s growth rate this year has been set at 17%, with a target total income of 13,435 million baht.
As for the year 2019, Italthai Group will further expand its businesses through Asia following its 2017-2021 Roadmap, the company expects to see a growth rate of 12% and achieve a total income of 15,030 million baht in 2019, divided into 9,400 million baht or 63% from the Engineering Services & Construction Contractor and Construction Equipment Group and 5,630 million baht or 37% from the Hospitality and Lifestyle Group.
Mr. Sakol Laosuwan, CEO of Italthai Engineering Company Limited (ITE), said the company focuses primarily on projects related to large-scale electricity generation and distribution systems, renewable energy, MEP systems for high-rise buildings, petrochemical infrastructure construction, as well as large warehouses and factories that require advanced technology. ITE’s services include engineering design, project and construction management, maintenance operations in accordance with various standards, such as ISO 9001:2015, ISO14001:2015, and OHSAS18001:2007. ITE has also expanded its business to Myanmar under the name Italthai Engineering (Myanmar). The company expects to see a 45% increase of its total income compared to the previous year. Currently, ITE has 45 domestic projects in development worth approximately 11,000 million baht, of which 5,889 million baht will be recognized in 2018.
ITE’s strategies and business directions in 2019 will primarily focus on exploring new business opportunities within the New S-Curve industries that will be an extension of its core businesses, such as smart grid systems, electrical and mechanical systems for telecommunication and transportation, factories and utilities in industrial estates related to EEC, automated warehouses, and other projects related to smart solutions. Furthermore, the company has also planned to expand its business to Cambodia and Lao PDR. ITE is expected to recognize an income of 6,100 million baht in 2019, a 5% increase from 2018.
Mr. Adis Peukpattanaruks, CEO of Italthai Industrial Company Limited (ITI), said that ITI is an authorized distributor and after sales services for multiple global heavy machinery brands, such as Volvo Construction Equipment, a leading brand from Sweden, ranked among the world’s top five which offers heavy machinery for construction, quarry and mining known for its fuel-efficiency, productivity, and durability – for which ITI has been the official distributor in Thailand and Lao PDR for over 40 years; and TADANO, the number one crane manufacturer from Japan, recognized by users all over the world for its superior quality, efficiency, technology, and safety – for which ITI has been the official distributor in Thailand and Lao PDR for over 30 years. Both brands lie at the core of the marketing strategy of ITI and accommodate two major customers groups of the company,
namely the Quarry and Mining group, upstream businesses for the construction buildings and the country’s infrastructure, which require high-quality machinery; and the Road and Highway group, a major business group that supports the government’s strategy to expand Thailand’s transportation network for better wealth distribution across the country. In the second half of 2018, ITI has adjusted its strategies to increase sales in the road and highway segment, not only to take advantage of this large market with vast and continuous investment opportunities but also to support the government’s Economic Development Plan. In addition, ITI has unveiled the latest addition to its portfolio, the “Power Curbers & Power Paver,” a multipurpose concrete slipform paving machine from the United States that can handle various construction projects from rural roads to superhighways. The company also has a lineup of products for this segment, including Volvo ABG asphalt pavers, steamrollers, and motor graders, for the whole gamut of roadwork.
For 2019, ITI is aiming to achieve a growth rate of 22% and a total income of 3,300 million baht by maintaining its position as a “solution provider,” using a customer-centric approach, and delivering “service excellence.” To this end, ITI will elevate its service standards to the same level across the organization as well as offer training to ensure that staff members are knowledgeable and capable of providing consultation and recommending products suitable for customers in different sectors. A site simulation program is introduced for customers in the quarry and mining industry to run a comprehensive analysis in order to select machinery that will not only save time and cost but also offer the best value. Furthermore, the company has planned to open two more Italthai Centers in Thailand in addition to the existing 14 service centers to increase service coverage across Thailand and Lao PDR. ITI will also be bringing in new additions to its heavy machinery portfolio to cater to all its target groups next year, including Volvo Rigid Haulers, articulated haulers designed for the transportation of large stones, coal, and limestones with a wide range of capacity from 40 to 100 tons; EPIROC, percussion drilling tools for mining, quarry, and construction.
Ms. Jaruwan Sajjavudh, CEO of Italthai Hospitality Company Limited (IHC), revealed that the company strives to become a HORECA solution provider by continually adding to its portfolio new beverage brands, including wine, mineral water, and juices. To achieve this, a team of well-trained experts at Italthai Hospitality regularly analyze customers’ demand and introduce ideal products for each segment. In mid-2018, IHC launched “Ogeu,” a premium mineral water brand from France, as an alternative for HORECA businesses that are looking for an exceptional mineral water to complement their gourmet dishes. Furthermore, earlier this month, the company launched a new TWG Tea Salon & Boutique at ICONSIAM, the fifth of its deluxe franchise location in Thailand.
IHC’s business strategies for in 2019 consist of four parts. First, the company will expand its portfolio to include fine wine brands from Italy, France, and Spain. Second, IHC will also introduce boutique catering services specifically for events and functions. Third, the company will expand its bakery business by building a new production facility to increase its production capacity. Lastly, IHC will further expand into the laundry business to serve new hotels, the majority of which do not have in-house laundry services, using laundry automation. The laundry segment is expected to be ready for service in late 2019, particularly in Bangkok and Pattaya. The total income of IHC’s businesses for 2019 is projected to reach 360 million baht, a 20% increase from the previous year.
Ms. Linda Cheng, Managing Director of River City Bangkok (RCB), Asia’s Premier Arts and Antiques Center, stated that businesses along the Chao Phraya River have seen a constant growth over the years, targeting Thai and foreign travelers and appeal to them with cultural tourism highlights and arts of all forms. Recognizing the opportunity, RCB has redirected its marketing strategy and formed a partnership with the Creative District, a collaborative community of businesses along the Chao Phraya River in Saphan Taksin, Bang Rak, Charoen Krung, and Khlong San that are brought together by art, design, and lifestyle. The most notable accomplishment of RCB earlier this year was the renovation of the second floor, which transformed it into a venue for contemporary arts, photography and handicraft exhibitions and shows in collaboration with gallery owners, event organizers, embassies and universities. In addition to a series of marketing activities that it has launched, RCB has also hosted its first-ever contemporary art auction in addition to antique auctions which are organized throughout the year.
For 2019, RCB is aiming to establish itself as Asia’s leading hub of antiques and contemporary arts. Following the re-modelling of the second floor to create a new space for contemporary arts and crafts, RCB is scheduled to host a number of international exhibitions, including exhibits by the National Palace Museum (NPM); the Monet Art Exhibition – a new exhibition concept presenting Monet’s masterpieces through multimedia; a painting exhibition by Leland Lee,
a young talented artist from Taiwan; a photography exhibition by Yvan Cohen, a photojournalist specializing in portraying cultures of different countries; and “Atta” (Ego) – an art exhibition by various celebrated artists, including Prateep Kochabua, Suradech Kaewtamai, Sakwut Wisesmanee, and Anupong Chantorn. Furthermore, RCB has also planned to form business partnerships with leading arts institutions, focusing on younger creative talent and expanding its auctioning business by opening up new channels for online auctions, with an e-auction platform from China adopted recently and many more from other sources planned for the future.
Mr. Douglas Martell, President & CEO of ONYX Hospitality Group, said the overall outlook of the tourism industry, both domestic and international, remains promising with demand continuing to grow steadily. The Thai government has also introduced policies to promote tourism in a bid to increase gross domestic income (GDI). According to the World Tourism Organization (UNWTO), in the first half of 2018, approximately 641 million international tourist arrivals were recorded worldwide, a 6% increase compared to the same period in 2017. Moreover, UNWTO has also forecasted that the number of international tourist arrivals globally in 2018 will rise by 4-5% from the previous year.
On its journey towards becoming the leading medium-sized hospitality player in Asia, ONYX Hospitality Group is focusing on expanding its network of hotels and serviced apartments both in Thailand and overseas. This year, ONYX Hospitality Group has launched six new properties across the region, namely Shama Lakeview Asoke in Bangkok; Amari Vang Vieng in Laos; Shama Island North Hong Kong; Shama Daqing in Heilongjiang, China; Shama Hongqiao Shanghai in China; and Shama Changfeng Shanghai in China.
As part of its ongoing regional expansion, ONYX Hospitality Group has formed partnerships with leading companies, including JR Kyushu (Japan) to operate Shama Lakeview Asoke, Sincere Holdings Group (China) to launch Shama serviced apartments in key Chinese cities, Panchshil Realty (India) to launch OZO Maldives, SP Setia (Malaysia) to launch two new Amari hotels in Kuala Lumpur and Penang, and Asia Investment, Development & Construction Sole (AIDC), a joint venture led by Tang Charoen Group, to launch Amari Vientiane (Laos).
For 2019, ONYX will continue to launch new hotels and serviced apartments both in Thailand and overseas as part of its effort to having 99 properties operational across the region by 2024. One of the development projects ONYX Hospitality Group has in the pipeline for next year is Amari Pattaya, which has been entirely redesigned and renovated and is expected to reopen its doors in the first quarter of 2019. The Group has also planned to open another hotel – OZO Pattaya – in a site adjoining Amari Pattaya in 2020. Both Pattaya projects are part to the company’s commitment to upgrade its equity properties with an investment of 3 billion baht, and follow the renovation of Amari Phuket, Amari Koh Samui and Amari Watergate Bangkok over the past three years. Furthermore, for 2019,
ONYX Hospitality Group has also planned to open new hotels under the OZO brand, including OZO Phuket and OZO Penang (Malaysia), followed in 2020 by OZO Pattaya, OZO Medini (Malaysia) and OZO Maldives. In addition, ONYX Hospitality Group is continuously seeking partners in order to penetrate other Asian markets, especially in fast-growing markets like the Greater China region (China and Hong Kong), where ONYX is currently operating 14 hotels and serviced apartment properties. In preparation for future expansion, ONYX Hospitality Group has also established a new regional office in Shanghai and attracted a team of experienced talented professionals in the hospitality industry.
At present, ONYX Hospitality Group’s domestic to overseas property ratio stands at 50:50, while the domestic to overseas revenue ratio is 60:40. The top five geographic sources of its guests are Thai nationals and travellers from China, India, United Kingdom, and Australia, respectively. However, the revenue ratio of domestic to overseas visitors is expected to shift to 55:45 in the next few years. Today, ONYX Hospitality Group has 50 properties in operation, with over 7,000 rooms across eight countries and territories, namely Thailand, China, Malaysia, Sri Lanka, the Maldives, Qatar, Laos, and Bangladesh, and approximately 30 new properties in development across the Asia-Pacific region.
“With experienced professionals in Construction Equipment and Engineering & Construction, as well as in the Hospitality and Lifestyle businesses, Italthai Group is committed to developing our businesses and services not only to earn international recognition but also to best cater to the specific needs of both our partners and customers in each segment. We strive to consistently develop the competence of our personnel, while also enhancing our competitive capacity and investment opportunities to contribute to the economic growth of Thailand and Asia,” concluded Mr. Yuthachai Charanachitta.