“เร่งรีบเปิดประมูลบงกช เอราวัณด้วยระบบ ‘แบ่งกันผลิต’ เพื่อกินรวบแหล่งปิโตรเลียมต่อไปอีก36 ปี ใช่หรือไม่”

“เร่งรีบเปิดประมูลบงกช เอราวัณด้วยระบบ ‘แบ่งกันผลิต’ เพื่อกินรวบแหล่งปิโตรเลียมต่อไปอีก36 ปี ใช่หรือไม่”

 

 

 

CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล


“เร่งรีบเปิดประมูลบงกช เอราวัณด้วยระบบ ‘แบ่งกันผลิต’ เพื่อกินรวบแหล่งปิโตรเลียมต่อไปอีก36 ปี ใช่หรือไม่”

 

เช้าวันนี้(25 ก.ย 2561) ได้มีโอกาสฟังทีวีรายการหนึ่งที่ผู้สนทนาในรายการหยิบยกกรณีที่ดิฉันคัดค้านการประมูลบงกช เอราวัณ ทำนองว่ารัฐบาลนายกฯตู่ใจดียอมแก้กฎหมายเปลี่ยนแปลงระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตแล้วตามที่ดิฉันและ คปพ.(เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงาน)เรียกร้อง แต่เหตุใดยังมาคัดค้านการเปิดประมูลอีก


ดิฉันขอโอกาสช่วยชี้ประเด็นตื้นลึกหนาบาง เผื่อสื่อมวลชนที่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาเจาะลึกที่จะมาวิเคราะห์นำทางความคิดของสังคมอย่างถูกต้องกรณีการประมูลเพื่อครอบครองสิทธิในทรัพยากรปิโตรเลียม จะได้รับประโยชน์บ้าง


1)ที่กล่าวอ้างว่านายกฯตู่ใจดียอมแก้ระบบจากสัมปทานมาเป็นแบ่งปันผลผลิตตามที่ประชาชนเรียกร้องนั้น แท้ที่จริง รัฐบาลจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย เพราะพรบ.ปิโตรเลียม 2514 บัญญัติว่าเมื่อได้ต่อสัมปทานให้เอกชนครบ2ครั้งแล้ว ที่กินเวลายาวนานถึง42ปี ไม่ให้ต่อสัมปทานอีก


รัฐสภาในอดีตแม้อยู่ในยุคเผด็จการเหมือนสมัยนี้ แต่ก็น่าจะมีเจตนาบัญญัติกฎหมายให้ทรัพยากรปิโตรเลียมกลับมาให้รัฐบาลบริหารเองหลังจากให้สัมปทานเอกชนไปแล้วเกือบครึ่งศตวรรษโดยเชื่อว่าระยะเวลา42ปีที่ให้สัมปทานเอกชน คนไทยจะสามารถเรียนรู้จนบริหารต่อไปได้เอง เพื่อให้ทรัพยากรปิโตรเลียมกลับมาเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เหมือนดังพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงรับสั่งในปี2470 ว่าบ่อถ่านหินที่หมดอายุสัมปทานแล้ว ไม่ให้ต่ออายุอีกเพราะต้องการสงวนไว้ให้รัฐบาลทำเอง


รัฐบาลคสช.จึงต้องแก้ไขกฎหมายโดยเพิ่มระบบจ้างผลิต และระบบแบ่งปันผลผลิตเข้ามา ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการแก้ไขกฎหมายตัวจริงไม่ใช่ประเทศและประชาชน แต่คือเอกชน2รายที่หมดสิทธิต่อสัมปทานในแหล่งเอราวัณ และบงกช หลังจากร่ำรวยจากความโชติช่วงชัชวาลด้านทรัพยากรปิโตรเลียมของไทยไปแล้วกว่า40ปี และจะได้ประโยชน์จากการแก้ไขกฎหมายเปลี่ยนป้ายชื่อจากระบบสัมปทานมาเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต ที่ทำให้เอกชนทั้ง2รายสามารถคงกรรมสิทธิการผลิตในเอราวัณและบงกชต่อไป


2)เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลคสช.และกระทรวงพลังงานตั้งธงให้ผู้รับสัมปทาน2รายเดิมให้ได้กรรมสิทธิในแหล่งเอราวัณ และบงกชต่อไป และเพื่อให้คุ้มค่าคุ้มราคาที่รัฐประหารมา ก็รวบรัดให้เสียทีเดียวอีก36ปี ด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ให้รายเก่าได้เปรียบผู้เข้าประมูลรายใหม่ และธงที่ชัดเจนคือคำพูดของรมว.พลังงานที่ว่า “หากการประมูลล้มเหลว ก็จะเรียกรายเก่ามาเจรจาตกลง และให้ผลิตต่อได้เลย” การประมูลครั้งนี้เลยเป็นแค่พิธีเสกเป่าตามพิธีให้ดูขึงขัง มีมาตรฐานเท่านั้น ใช่หรือไม่


3)แม้มีการออกกฎหมายเพิ่มระบบจ้างผลิต และระบบแบ่งปันผลผลิต แต่กระทรวงพลังงานได้เล่นกลออกหลักเกณฑ์กำหนดปริมาณสำรองก๊าซและน้ำมันจนทำให้ไม่สามารถใช้ระบบจ้างผลิตได้เลยตลอดกาล ส่วนระบบแบ่งปันผลผลิตก็ใช้ได้แค่เอราวัณและบงกชเท่านั้น พื้นที่อื่นในอ่าวไทยและบนบกต้องใช้แต่ระบบสัมปทานเท่านั้น ดังนั้นข้ออ้างว่าได้เปลี่ยนมาใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตเพียง2แหล่งนี้ ย่อมชัดเจนว่าเป็นเพียงกลอุบายเพื่อหลบข้อจำกัดของกฎหมาย เพื่อบันดาลประโยชน์ให้ผู้รับสัมปทาน2รายเดิมให้สามารถเข้าประมูลและได้สิทธิผลิตต่อไป ใช่หรือไม่


4)การให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมครั้งใหม่ ในหนังสือเชิญชวนผู้เข้าประมูลระบุให้สิทธิผู้ประมูลเป็นเวลา 36 ปี แบ่งเป็นสำรวจ 3+3 ปี +ผลิต20ปี +ต่ออายุผลิต 10ปี

การที่กระทรวงพลังงานกำหนดปริมาณก๊าซว่าผู้ประมูลต้องผลิตก๊าซให้ได้ตั้งแต่ปีแรก โดยแหล่งเอราวัณกำหนดไว้ 800ล้านลบฟ./วัน และบงกช 700ล้านลบฟ./วันต่อเนื่อง10ปี แสดงว่ามีข้อมูลอยู่แล้วว่า มีหลุมก๊าซที่ไม่ต้องสำรวจแต่พร้อมผลิตอยู่แล้ว


รัฐบาลคสช.หากทำเพื่อประโยชน์ประเทศ ควรแบ่งแยกหลุมก๊าซที่พร้อมผลิต ออกมาจากพื้นที่ที่ต้องสำรวจ ส่วนที่พร้อมผลิตรัฐบาลควรจ้างผลิต เพราะหลังหมดอายุสัมปทาน อุปกรณ์ในการผลิตต่างๆที่ยังใช้การได้ และหลุมก๊าซที่พร้อมผลิตจะตกเป็นของประเทศ หากจ้างผลิต ประเทศจะได้ก๊าซเป็นของกรรมสิทธิของประเทศอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หากขายราคาถูกให้กับกฟผ.เพื่อผลิตไฟ ค่าไฟที่ขายประชาชนย่อมลดราคาลง แต่ถ้าขายตามราคาตลาดในปัจจุบัน รายได้ทั้งหมดย่อมเข้าเป็นงบประมาณแผ่นดิน การทำเองในพื้นที่ที่ไม่เสี่ยงย่อมได้มากกว่าไปแบ่งกับคนอื่น

แต่การให้กรรมสิทธิเอกชนแบบเหมาเข่งแบบนี้ และยังเพิ่มเวลาสำรวจให้อีก 6ปี เป็นเพียงการประเคนผลประโยชน์ด้านระยะเวลาในการผลิตปิโตรเลียมให้เอกชนอย่างเต็มพิกัดเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่


5)ข้ออ้างเรื่องความมั่นคงทางพลังงานนั้น ในความเป็นจริง น่าจะเป็นความมั่นคงของเอกชนที่จะได้ก๊าซในอ่าวไทยไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแบบราคาถูกๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดช่วงมากกว่าใช่หรือไม่ ส่วนประชาชนคนไทยยังต้องใช้ก๊าซผลิตจากทรัพยากรในประเทศในราคาลอยตัวตามกลไกตลาดโลก + ค่าขนส่ง + ค่าโสหุ้ย ที่มีการผูกขาดแบบแอบแฝงใช่หรือไม่


ที่ยกเหตุผลว่าถ้าไม่รีบเปิดประมูลยกกรรมสิทธิให้เอกชน จะทำให้ประชาชนต้องใช้ไฟและก๊าซราคาแพงนั้นล้วนเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น เพราะรัฐบาลคสช.ของนายกฯตู่คนดีได้ยกเลิกเพดานควบคุมราคาก๊าซหุงต้มที่ครัวเรือนใช้ และออกหลักเกณฑ์ให้ประชาชนต้องซื้อก๊าซหุงต้มตามราคาตลาดโลกเสมือนเราไม่มีทรัพยากรก๊าซในประเทศเลย ต้องนำเข้าก๊าซหุงต้ม100% จากซาอุดิอารเบีย ทั้งที่ก๊าซหุงต้ม80%ได้จากก๊าซอ่าวไทย มีการนำเข้าก๊าซหุงต้มไม่ถึง 20 % แต่ประชาชนต้องจ่ายค่าก๊าซหุงต้มในราคาตลาดโลกทั้ง100% แสดงว่าก๊าซหุงต้มที่ผลิตได้ในประเทศจากแหล่งก๊าซในอ่าวไทยไม่ได้เป็นประโยชน์กับคนไทยเลย ใช่หรือไม่


แล้วทำไมต้องรีบ ถ้าไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงาน !!??

6)ก๊าซที่รัฐได้จากระบบแบ่งปันผลผลิต เนื่องจากไม่มีบริษัทพลังงานที่เป็นของรัฐ100% เพื่อมาบริหารจัดการก๊าซส่วนแบ่งของเราเอง ทำให้ต้องฝากให้เอกชนช่วยขายก๊าซ และยังต้องขายในราคาถูกด้วย คงคล้ายกับกรณีรัฐสภาที่มีข่าวเรื่องขายดิน(ที่ได้จากการสร้างรัสภาใหม่)ให้เอกชนตัวกลางในราคาคิวละ20กว่าบาท เมื่อเอกชนขายต่อให้ธนาคารกรุงไทยราคากลายเป็นคิวละเกือบ200บาท หากเปรียบเทียบกับกรณีฝากเอกชนขายก๊าซนี้ ย่อมเห็นชัดเจนว่าผู้ได้ประโยชน์คือเอกชน ส่วนรัฐบาลกับประชาชน ก็คงเหมือนรัฐสภากับธนาคารกรุงไทย ฝ่ายหนึ่งขายถูก แต่อีกฝ่ายต้องซื้อแพง


7)รัฐบาลกำหนดไว้ว่าราคาก๊าซที่ผู้ประมูลได้ จะต้องขายในราคาไม่ต่ำกว่าราคาปัจจุบันที่ซื้อขายกัน แต่ไม่สูงเกินไป อ้างว่าเพื่อไม่ให้ราคาก๊าซที่ขายประชาชนมีราคาแพง จึงเป็นเพียงคำลวง ใช่หรือไม่ เพราะเมื่อรัฐบาลไม่มีอำนาจจัดการบริหารก๊าซส่วนของรัฐเอง ก็ต้องขายราคาถูก แต่เวลาบริษัทพวกนี้ขายก๊าซให้ประชาชน รัฐบาลก็กำหนดให้บริษัทเหล่านี้สามารถขายประชาชนได้ในราคาตลาดโลก กลายเป็นว่าก๊าซส่วนที่เป็นกรรมสิทธิของประเทศต้องขายถูกๆให้เอกชน ส่วนประชาชนยังไงก็ต้องซื้อก๊าซหุงต้มราคาแพงตามราคาตลาดโลก ลักษณะเช่นนี้ต่างอะไรจากระบบสัมปทาน!?!


ดังที่ครั้งหนึ่งพล.อ อนันตพร กาญจนรัตน์ อดีต รมว.พลังงานเคยตอบดิฉัน เมื่อถูกถามว่าเหตุใดประชาชนคนไทยต้องใช้ก๊าซหุงต้มราคาตลาดโลก ในเมื่อก๊าซหุงต้มกว่า80% มาจากก๊าซในอ่าวไทย ท่านตอบในทำนองว่า


“จะไปอ้างว่าก๊าซในอ่าวไทยเป็นของเราได้อย่างไร ก็เราให้สัมปทานเขาไปแล้ว เอาเป็นว่าผมจะเปิดเสรีให้นำเข้าก๊าซหุงต้มเข้ามา"


ทั้งที่รัฐบาลเปลี่ยนระบบจากสัมปทานมาเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต แต่รัฐบาลก็ยังสละสิทธิที่จะบริหารก๊าซที่เป็นส่วนแบ่งของตนเองให้เอกชนบริหาร แล้ววิธีการนี้แตกต่างจากระบบสัมปทานยุคโบราณตรงไหน???


ดิฉันคิดว่า ผลประโยชน์ของทรัพยากรปิโตรเลียมของประเทศเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่สมควรจะต้องรีบร้อนประเคนให้เอกชนภายใต้รัฐบาลทหารที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จโดยไม่ฟังเสียงประชาชนที่เป็นเจ้าของทรัพยากรปิโตรเลียมเช่นนี้ ในเมื่อนายกฯตู่ประกาศสนใจเล่นการเมือง ก็ควรปล่อยให้รัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งในต้นปีหน้ามาจัดการ จะเหมาะสมกว่า มิเช่นนั้นสังคมย่อมมีคำถามว่าการประเคนผลประโยชน์ให้เอกชนกันแบบเหมาเข่งเช่นนี้ มีใครได้เงินทอนจากการใช้อำนาจประเคนผลประโยชน์เช่นนี้หรือไม่ และที่ต้องรีบร้อนทำให้เสร็จสิ้นภายในรัฐบาลเผด็จการทหารเบ็ดเสร็จแบบนี้ สังคมยิ่งมีคำถามว่า ที่ต้องรีบเพื่อหาเงินทอนสู้ศึกเลือกตั้ง ใช่หรือไม่


ประชาชนบางกลุ่มตั้งข้อสงสัยมานานแล้วว่า ขบวนการโค่นล้มรัฐบาลเก่าที่มาจากการเลือกตั้งนั้น มีตัวแทนแกนนำของกลุ่มทุนพลังงานเข้าไปมีบทบาทสำคัญทั้งบนเวทีและหลังม่านด้วย หรือนี่คือเป้าหมายหนึ่งของการรัฐประหาร ซึ่งท่านต้องตั้งคำถามกับตนเองว่า ลึกๆแล้วท่านกำลังรับใช้ใคร? ระหว่างความมั่งคั่ง มั่นคงของประชาชน หรือของกลุ่มทุนพลังงานกันแน่???

รสนา โตสิตระกูล
25 ก.ย 2561