"แฉ" ข้อมูลบริษัทพลังงานรวยแสนล้าน มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี “ไม่กลัวตาย...เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว”
"แฉ" ข้อมูลบริษัทพลังงานรวยแสนล้าน
มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี
“ไม่กลัวตาย...เกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว”
ความจริงประเทศไทยวันนี้ ไทยส่งออกน้ำมันไปหลายประเทศ แล้วไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 25 ของโลกในการผลิตก๊าซธรรมชาติ เพราะไทยขุดเจาะปิโตรเลียมได้วันละ 1 ล้านบาร์เรล หรือประมาณ 160 ล้านลิตร แต่เหตุใดคนไทยถึงยังใช้น้ำมันราคาแพง แม้ถูกขู่เอาชีวิต ย้ำชัดเจน “ไม่กลัวตาย เพราะเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว”
จากผู้บริหารระดับสูงจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ออกมา “ดับเครื่องชน”บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ บนโลกออนไลน์”แฉ" ข้อมูลแหล่งพลังงานของประเทศ เพราะเห็นว่า ข้อมูลพลังงานไทยถูกบิดเบือน และกลายเป็นการแจ้งเกิดชื่อ "หม่อมกร"มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ ศึกษาตรวจสอบกรณีทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล และอนุกรรมาธิการ เสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังาน วุฒิสภา วันนี้ได้เปิดใจกับ CHANGE into ในประเด็นร้อนๆพร้อมระบุ บริษัทขุดเจาะและค้าพลังงานไทยมีกำไรเป็นเงินกว่าแสนล้าน แต่ทำไมคนไทยยังยากจน…
//ไทยมีน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจริงหรือ ???
“น้ำมันกับก๊าซเป็นเรื่องเดียวกันรวมเรียกว่าปิโตรเลียมที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ด้วยจุลินทรีย์ในที่ที่ไม่มีอากาศ (Anaerobic Digestion) ซากสิ่งมีชีวิตก็จะแตกตัวเป็นสารปิโตรเลียมเอง ดังนั้นปิโตรเลียมก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบนบกและในทะเล ผมจะแปลกใจมากว่าถ้าเมืองไทยไม่มีปิโตรเลียม เพราะเราได้พบซากฟอสซิลของไดโนเสาร์ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ในภาคอีสาน ซึ่งความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ก็ถูกแม่น้ำพัดพาลงสู่ทะเลซึ่งกลางประเทศไทยก็เคยเป็นทะเลเมื่อหลายล้านปีก่อน สังเกตได้ว่าอ่าวทุกที่มีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติหมด ไม่ว่าจะเป็นอ่าวเม็กซิโก อ่าวเปอร์เซีย อ่าวเบงกอลหรืออ่าวเมาะตะมะ ก็มีน้ำมันทั้งนั้น แล้วจะบอกว่าเว้นแต่อ่าวไทยมันเป็นไปไม่ได้
วันนี้ข้อมูลจากองค์กรที่น่าเชื่อถือได้อย่างโอเปก ได้ระบุไว้ในรายงานประจำปี (Annual Statistical Bulletin 2010/2011) ว่าไทยมีผลผลิตก๊าซธรรมชาติในปริมาณมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มโอเปกไทยอยู่อันดับ 5 ชนะโอเปกไป 8 ประเทศได้แก่ อิรัก คูเวต โอมานไนจีเรีย เวเนซุเอลา ลิเบีย แองโกล่า และเอกวาดอร์ แล้ว
หลุมผลิตมีทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติมากถึง 2,768 หลุม “แบบนี้บอกไม่มีน้ำมันคงไม่ได้ บนบกมีทั่วประเทศ เช่น แหล่งสิริกิตต์เป็นแหล่งที่ใหญ่มากครอบคลุมจังหวัด กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก และนครสวรรค์ ขุดขึ้นมาปีละ 2,000 ล้านลิตร เพชรบูรณ์ปีละ 94 ล้านลิตร สุพรรณบุรีปีละ 90 ล้านลิตร เชียงใหม่ปีละ60 ล้านลิตร ส่วนในทะเลแหล่งใหญ่ๆเช่นแหล่งบงกชสามารถขุดขึ้นมาปีละกว่า 1 หมื่นล้านลิตร เราอาจไม่ใช่ประเทศผลิตพลังงานอันหนึ่งหรืออันดับสองของโลกก็จริง แต่จากข้อมูลของกระทรวงพลังงานเองไทยก็จัดเป็นประเทศที่มีแหล่งที่มีพลังงานมากอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้”
//ไทยผลิตน้ำมันดิบติดอันดับ 33 ของโลก
ปีที่แล้วหน่วยงานข้อมูลพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯชื่อ Energy Information Administration (EIA) ได้จัดอันดับให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลกในการผลิตก๊าซธรรมชาติ ส่วนน้ำมันไทยติดอันดับที่ 33 ของโลก จากประเทศที่ผลิตน้ำมันกว่า 200 ประเทศ โดยข้อมูลระบุว่าไทยสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบได้สูงกว่า ประเทศเพื่อนบ้านอย่างบรูไนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเศรษฐีน้ำมันได้หลายอันดับ!
ตรงนี้กระทรวงพลังงานมักอ้างว่า ถึงไทยจะผลิตพลังงานได้มากแต่ใต้ดินก็มีพลังงานน้อย ผมว่าอย่าไปเถียงกันเลยเรื่องเรื่องใต้ดินที่ตามองไม่เห็น วันนี้ผลผลิตที่ขึ้นมาจากดินเป็นข้อมูลค่าที่จับต้องได้มันติดอันดับโลกแล้ว แต่ทำไมส่วนแบ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมของไทยจึงต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซี่ยน และต่ำกว่าหลายๆประเทศที่สูบน้ำมันและก๊าซขึ้นมาได้น้อยกว่าไทย นี่คือสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก
ประเทศไทยไม่เคยเจาะสำรวจปริมาณสำรองของแหล่งพลังงานของตนเองเลย จึงทำให้ประเทศไทยไม่มีสิ่งข้อมูลโดยตรง หรือ ที่เรียกว่า First Hand Information เพียงแต่รับและเชื่อข้อมูลของผู้รับสัมปทานฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นประเด็นที่ต่างจากการบริหารจัดการของประเทศอื่น ที่ต้องเจาะสำรวจศักยภาพปิโตรเลียมเสียก่อนแล้วจึงให้สัมปทาน คิดง่ายๆเหมือนการที่เราจะขายรถของเราราคาไม่กี่แสนบาทก็ยังต้องเอาไปประเมินราคาเสียก่อน แล้วจึงค่อยเอาไปขายจะได้ไม่เสียเปรียบผู้ซื้อ แต่นี่บ่อน้ำมันของชาติกลับไม่เคยประเมินมูลค่า แม้แต่ประเทศกัมพูชายังยอมเสียสตางค์จ้างที่ปรึกษาเพื่อประเมินปริมาณปิโตรเลียมที่มี ผมคิดว่าแบ่งงบประมาณมาทำตรงนี้สักนิดจะทำให้เรามีอำนาจต่อรองผลประโยชน์ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล
“การอ้างว่าไม่มีงบประมาณฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไรนะครับ เพราะมูลค่าก๊าซและนำมันดิบที่สูบขึ้นมาจากแผ่นดินไทยกว่า 20 ปีมีมูลค่ามากถึง 3.4 ล้านล้านบาท หากแบ่งมาเพียง 1% ก็จะมีงบประมาณในการเจาะสำรวจถึง 3.4 หมื่นล้านบาททีเดียว!!”
//ว่ากันว่าในอีก 20 ปี ก๊าซและน้ำมันจะหมดประเทศไทย?
วันนี้ไทยติดอันดับในการผลิตก๊าซธรรมชาติอันดับ Top 10% และน้ำมันดิบ อันดับ Top 15% ของโลก ซึ่งถือว่าไม่ได้ขี้เหร่ แต่ส่วนแบ่งผลประโยชน์เข้าประเทศกลับอยู่ในอันดับต่ำกว่าประเทศที่ผลิตน้อยกว่าด้วยเหตุที่ทางราชการมักอ้างว่าปิโตรเลียมของเราบ่อเล็กกำลังจะหมด เมื่อ 20 ปีก่อนตอนที่ผมเป็นวิศวกรวางท่อน้ำมันก็ได้ยินเช่นนั้น ผ่านมา 20 ปีก็ไม่หมดสักที แถมปริมาณกลับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จนในเดือนพ.ค.55 มาอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาร์เรล 160ล้านลิตรต่อวันแล้ว อันดับโลกของไทยซึ่งจัดอันดับโดย Energy Information Administration (EIA) ก็ดีวันดีคืน เพียง 5 ปี ไทยไต่จากอันดับ30 กว่ามาเป็นอันดับ 24 ในการผลิตก๊าซธรรมชาติ จน Census Bureau (หน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ) จัดประเทศไทยอยู่ในกลุ่ม World Major Producer ของก๊าซธรรมชาติแล้ว
แต่ปัจจุบันคนไทยใช้น้ำเบนซิน ดีเซลเพียง 73-75 ล้านลิตรเท่านั้นซึ่งเป็นอัตราที่คงที่มา 8 ปีแล้ว แถมไทยยังส่งออกน้ำมันดิบชั้นดีที่มีมลภาวะต่ำไปขายถึงอเมริกา ดังนั้น น้ำมันในประเทศไทยจะมีพอต่อการใช้หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับระบบการจัดการ เพราะเมืองไทยเป็นประเทศที่มีความสามารถด้านการเกษตรจึงมีศักยภาพที่จะผลิตเอทานอลและไบโอดีเซลได้อีกมาก ทั้งนี้ การวางนโยบายด้านพลังงานที่ดีจึงควรยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงโดยนำข้อมูลศักยภาพปิโตรเลียมที่เรามีทั้งหมดและศักยภาพในการผลิตพลังงานจากผลผลิตทางการเกษตรมาวางแผนร่วมกัน ซึ่งหากทำได้ถูกต้องไทยอาจไม่ต้องมีการนำเข้าพลังงานอีกเลยก็เป็นได้
//สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันดิบจากไทย...ขายถูกกว่าไทยลิตรละ 10 บาท!!...
ในปี 2551 ไทยส่งออกปิโตรเลียม ทั้งน้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลวรวมทั้งหมดเกือบ 3 แสนล้านบาท หรือประมาณ 9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าข้าวและยางพารา “มีคนโต้แย้งว่า ปี 2554 ยางพาราแซงแล้ว ผมไม่ได้จะเถียงเรื่องอันดับ แต่ประเด็นคือหลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราส่งออกปิโตรเลียม แล้วใครเป็นผู้นำเข้าน้ำมันจากไทย ในเว็บของ Census Bureau (www.census.gov) ซึ่งเป็นหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ระบุชัดเจนว่า สหรัฐฯนำเข้าน้ำมันดิบ จากประเทศไทยมานานแล้ว!!!
โดยมีรายงานในเดือนมกราคม ปี2012 สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศไทยมากถึง 1.2 ล้านบาร์เรล แต่ที่น่าตกใจคือ ราคาน้ำมันเบนซินหน้าปั๊มของสหรัฐฯถูกกว่าไทยลิตรละ10 บาท ที่ผ่านมารัฐบาลมักพูดว่าเพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นซึ่งก็จริงถ้าเปรียบเทียบในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ถ้าเทียบกับปี 2551 ตอนนั้นราคาน้ำมันดิบตลาดโลกสูงไปถึง 145 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลหรือ 30บาทต่อลิตร แต่วันนี้อยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล คือประมาณ 20 บาทต่อลิตรเท่านั้นเอง แต่ขายให้เราราคาหน้าปั๊ม 42-43 บาท เท่ากัน จากประเด็นทั้งสองนี้ ผมว่าน้ำมันแพงขึ้นเป็นเรื่องทางนโยบายของกระทรวงพลังงานมากกว่านะครับ นอกจากนี้ประเทศไทยยังส่งน้ำมันดิบให้กับประเทศเกาหลีใต้และสิงคโปร์อีกด้วย
“ผมว่าเรื่องนี้รัฐบาลคงต้องคิดใหม่ทำใหม่ ตัวอย่างราคาน้ำมันแพง เทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 55 เบนซิน 95 ไทยขายอยู่ที่ 44.86 บาท มาเลเซีย 19 บาทอินโดนีเซีย 31.70 บาท พม่า 24 บาท สรุปไทยแพงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้!!! แล้วคุณจะแข่งกับเขายังไง? ที่แพงพอๆกันเห็นมีแต่ประเทศกัมพูชาเท่านั้น”
//ทำไมน้ำมันไทยแพง?...
“ผมคิดว่าประเทศไทยไม่ควรใช้น้ำมันแพงกว่าอเมริกาเพราะเราส่งน้ำมันดิบของเราไปขายให้อเมริกา แต่พอเขากลั่นแล้วขายน้ำมันเบนซินให้ประชาชนกลับถูกกว่าไทยลิตรละ 10 บาท อเมริกาเป็นประเทศการค้าเสรี แข่งเสรี ผมบอกได้ว่าบริษัทพลังงานที่สหรัฐฯมีกำไรแน่นอน ผมคิดว่าคนไทยไม่ควรใช้น้ำมันแพงกว่าอเมริกาเลย และที่ว่าราคาน้ำมันอิงสิงคโปร์นั้น แต่ความจริงราคาหน้าโรงกลั่นเราแพงกว่าที่เราส่งออกไปสิงคโปร์ถึงลิตรละ 1.50-2 บาท พิสูจน์ได้จากหนังสือชี้ชวนของโรงกลั่นเมื่อตอนขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ชัดเจนเลยว่าภาครัฐอนุญาตให้เขาทำแบบนี้ รัฐอนุญาตให้เขาขายเทียบเท่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์ทั้งที่กลั่นอยู่ศรีราชา ระยอง หรือที่บางจากใน กทม คนไทยเลยใช้น้ำมันแพงกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปส่งออก 1.50-2 บาทต่อลิตรเสมอ”
//สัมปทานไทยถูกที่สุดในอาเซียน แต่น้ำมันกลับแพงที่สุดในอาเซียน?...
ปัจจุบันไทยได้ผลประโยชน์จากปิโตรเลียมประมาณ ร้อยละ30 ของมูลค่า ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และต่ำมากเมื่อเทียบกับอันดับโลกที่ไทยมี ขณะที่โบลิเวียผลิตก๊าซธรรมชาติอยู่อันดับ33 ของโลก ได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ร้อยละ82, พม่าอยู่อันดับ36 ของโลก ได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ร้อยละ 80, คาซัคสถานอยู่อันดับ42 ของโลก ได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ร้อยละ80 เนื่องจากหลังจากปี 2547 ที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นเกือบ 4 เท่าตัวจาก 28 เหรียญต่อบาร์เรล ขึ้นเป็น 100 เหรียญต่อบาร์เรล หลายประเทศได้ทำการปฏิรูปกฎหมายปิโตรเลียมเพื่อให้รัฐได้ผลตอบแทนที่มากขึ้นกว่าเดิมเช่น ประเทศโบลิเวีย ที่ปรับจากอัตราผลประโยชน์เดิมร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 82 แต่ข้อกฎหมายของไทยเรื่องผลประโยชน์ปิโตรเลียมใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2514โดยมิได้มีการปรับปรุงให้สะท้อนราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่แท้จริงเลย
ผู้ขุดเจาะพลังงานในไทยเขาพยายามจะบอกว่าเราไม่มีพลังงานหรอก ข้อมูลด้านทรัพยากรปิโตรเลียมนี้ถ้าเป็นประเทศอื่น เช่น อเมริกา เขาจะทำให้เรื่องนี้โปร่งใสโดยให้หน่วยงานกลางมาคอยเก็บข้อมูลเพราะหน่วยงานที่ไปทำเรื่องนี้โดยตรงอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนได้ และที่สำคัญจะต้องสร้างระบบที่สามารถตรวจสอบและถ่วงดุลกันได้ (Check & Balance System)
ปัญหาของไทยส่วนหนึ่งเกิดจากในยุครัฐบาลปฏิวัติปี 2550 มีการแก้ไขกฎหมายที่ให้ข้าราชการกระทรวงพลังงานไปเป็นกรรมการในโรงกลั่นเอกชนและธุรกิจขุดเจาะปิโตรเลียมได้ ดังนั้น จึงเท่ากับว่าเอาผู้มีผลประโยชน์จากธุรกิจพลังงานไปนั่งกำกับดูแลธุรกิจพลังงานเสียเอง จึงขัดกับหลักธรรมาภิบาลสากลอย่างยิ่ง
“ความน่าเชื่อถือของข้อมูลในปริมาณทรัพยากรที่มีก็เป็นประเด็นหนึ่งที่น่ากังวลใจ เพราะคนเก็บข้อมูลพลังงานกลับมีผลประโยชน์ร่วมกับผู้รับสัมปทานเสียเอง ทุกวันนี้ไทยเรามีปิโตรเลียมมากหรือน้อยเราต้องขอตัวเลขจากผู้ขุดเจาะ หากผู้ขุดเจาะบอกว่ามีพลังงานมากมาย ประชาชนก็อาจเรียกร้องให้รัฐไปเรียกเก็บผลประโยชน์จากเขาเยอะ เขาถึงบอกว่าไม่มีหรอกขุดก็ยาก ดังนั้น วันนี้ปัญหาของคนไทยคือเราขาดข้อมูล หากคนไทยจะตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง วิธีที่ดีทีสุดต้องไปดูงบการเงินของบริษัทขุดเจาะและผู้ค้าน้ำมันก็จะพบความจริงว่ามีกำไรมหาศาลกำไรเป็นแสนๆล้าน”
//สนใจเรื่องด้วยนี้เหตุใด?
สิ่งเหล่านี้เป็นข้อสงสัยทำให้ผมต้องไปค้นความจริงแล้วมาเปิดเผยให้กับคนไทยทั้งประเทศได้รับรู้ สิ่งที่ติดใจผมอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า สมัย พ.ศ.2475 รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชหัตเลขาจากประเทศอังกฤษอันเนื่องมาจากการสละราชสมบัติอันมีพระราชประสงค์จะให้กับประชาชน ไม่ได้ให้อำนาจและสมบัติของแผ่นดินแก่ผู้ใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด
คนที่มาจัดการเรื่องทรัพยากรก๊าซและน้ำมันก็ควรฟังเสียงประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของตัวจริงแทนการฟังเสียงบริษัทพลังงาน ผมคิดว่าสมบัติตรงนี้ก็เป็นสมบัติของชาติที่บรรพบุรุษได้ให้ไว้ มันก็ควรตกถึงมือประชาชน แต่ที่ไหนได้ปี 2524 มีคนมาบอกว่าไทยเราจะโชติช่วงชัชวาลย์ แต่วันนี้ยังมีคนในประเทศที่อดมื้อกินมื้อ หาเช้ากินค่ำคน ทำงานกันหนัก ทำงานงานเสริมเพื่อให้พอต่อการยังชีพ ในหลายประเทศที่มีทรัพยากรแบบนี้เขาจะเอาเงินตรงนี้มาพัฒนาด้านการศึกษา ประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรต้องได้รับการศึกษาดีและฟรีเท่าที่คุณจะเรียนไหว การรักษาพยาบาลก็ควรดีและฟรีเช่นกัน เพราะทรัพย์ในดินมีวันหมดจึงต้องนำเงินที่ได้จากสัมปทานมาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเป็นการต่อยอดในการพัฒนาชาติต่อไป
“หม่อมกร” จบปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาอุตสาหการจุฬาฯ ต่อมาเริ่มสนใจตลาดหุ้นและตลาดการเงิน จึงบินไปเรียนต่อ ปริญญาโท Master of Business Administration(Finance),California State University, USA และปริญญาโท ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ เริ่มทำงานในตำแหน่ง ผอ. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอยุธยา เจเอฟ จำกัด,ผู้ช่วยเลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.),กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,กรรมการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนนครหลวงไทย จำกัด,ประธานกรรมการ บริษัท จีพีเอฟ พร็อพเพอร์ตี้แมเนจเม้นท์ จำกัด,ประธานกรรมการ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์(ประเทศไทย) จำกัด,ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ,กรรมการบริหารบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด(มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แฟมิลี่โนฮาว จำกัด(ดำเนินธุรกิจโทรทัศน์ช่องMoney Channel และนิตยสาร Money and Wealth)
“จบจากจุฬาฯ งานแรกได้ไปทำงานเป็นวิศวกรวางท่อน้ำมันและการเก็บตัวอย่างก๊าซธรรมชาติจากโรงแยกก๊าซส่งไปตรวจที่มาเลเซีย จึงได้เห็นกระบวนการดึงพลังงานจากอ่าวไทยมาใช้ทั้งหมด จากนั้นได้มาอยู่ในแวดวงตลาดเงินตลาดทุนได้ทำวิเคราะห์บริษัทอยู่เสมอ เราก็พบความผิดปกติว่า บริษัทที่เราลงทุนอยู่มีกติกาที่เขาทำธุรกิจไม่เหมือนต่างประเทศ แล้วกติกาที่มีอยู่ก็เอื้อให้บริษัทมีกำไรมากเกินควร ขณะที่ประเทศไทยยังยากจนอยู่ ตรงนี้ทำให้ผมเริ่มฉุกคิดแล้วว่า บริษัทมีกำไรก็ถือเป็นเรื่องดีต่อเศรษฐกิจก็จริง แต่ถ้ามีมากเกินไปจากทรัพยากรที่เรามีอยู่ ผลคือประชาชนไม่ได้อะไรเลย สุดท้ายทรัพยากรหมดเราก็เหลือแต่ความยากจน ที่สำคัญตอนนี้คนไทยไม่ได้รู้เรื่องสมบัติของชาติที่พ่อของแผ่นดินได้พระราชทานให้ไว้เลย”
//ถูกขู่เอาชีวิต!...
การออกมาให้ข้อมูลเรื่องพลังงานในประเทศไทยทำให้ “หม่อมกร” ถูกผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเตือนเรื่องความปลอดภัยในชีวิต“มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเตือนว่า มาพูดเรื่องนี้ไม่กลัวตายหรือ ผมบอกท่านไปว่าไม่มีใครในโลกนี้ไม่กลัวตายหรอก แต่ว่าสิ่งที่เราต้องทำเราก็ต้องทำ ผมเดินทางไปหลายประเทศในโลกมันสวยงามทั้งที่ประเทศเขาไม่ได้มีทรัพยากรมากเท่าเรา อย่างไปสิงคโปร์เราจะพบว่าประเทศเขาเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย แต่ประเทศเขาสวยงาม ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ขณะที่ไทยมีพร้อมทุกอย่าง พ่อของแผ่นดินให้สมบัติกับประชาชนไทยมาแล้ว แต่ทำไมคนไทยยังยากจน บางคนไม่มีข้าวกิน ทำไมคนยังเป็นหนี้ ผมเดินทางไปทั่วโลกก็พบว่าไม่มีประเทศไหนดีเท่าประเทศไทย แต่ความยากจนมันเกิดขึ้นเพราะระบบที่เป็นอยู่ทำให้เขายากจน ผมไม่ได้หมายถึงระบบของรัฐบาลนี้นะครับ แต่ระบบนี้มันเกิดขึ้นมานานแล้ว เช่น ระบบสัมปทานก๊าซและน้ำมันดิบก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า บริษัทน้ำมันรวย แต่ประชาชนเจ้าของบ่อน้ำมันตัวจริงกลับยังปากกัดตีนถีบ ชักหน้าไม่ถึงหลัง
“ผมเข้าใจดีว่าออกมาพูดแบบนี้เป็นเรื่องเสี่ยง แต่ผมคิดว่าเราเกิดมาครั้งหนึงมันก็ตายครั้งเดียว บอกตรงๆว่าผมทำเรื่องนี้มาตั้งปี 2551 ในตำแหน่งอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา แล้วมาเลิกทำเรื่องนี้ในปี 2554 เพราะยิ่งรู้ ยิ่งเห็น ยิ่งทุกข์ใจ และหนทางต่อสู้ค่อนข้างหริบหรี่ คงอาจจะไม่ได้เห็นวันที่สมบัติของชาติตกเป็นของประชาชนดังพระราชปนิธานขององค์ล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 แต่พอขึ้นปี 2555 ก็คิดว่าขอลองอีกสักครั้ง แต่คราวนี้ขอทุ่มสุดตัว สำเร็จหรือไม่จะได้รู้ไป เพราะที่ผ่านมาก็มักจะอยู่เบื้องหลังเป็นหน่วยข้อมูลเท่านั้น แต่คราวนี้คงต้องไปเป็นทัพหน้าก็เลยลาออก
จากการเป็นผู้บริหารทุกบริษัทเพราะเกรงว่าจะไปกระทบธุรกิจที่เราเป็นลูกจ้าง แล้วก็เลยมาเป็นนายของตัวเอง ก่อนออกมาก็ชั่งใจอยู่พอสมควรนะเพราะสิ่งที่ผมพูดวันนี้มันไปกระทบกับผลประโยชน์มหาศาลของกลุ่มทุนพลังงาน แต่สิ่งนี้ก็เป็นความหวังที่จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญที่ยั่งยืนและนำพาคนไทยให้พบกับความโชติช่วงชัตชวาลเสียที ต้องลองจิตนาการดูว่าถ้าเด็กๆข้างถนนได้มีโอกาสเรียนปริญญาเอกฟรี อนาคตสถานะทุกคนเปลี่ยนไปหมด เพราะก้าวแรกของการยกระดับสถานะของประเทศให้ได้นั้นต้องยกระดับสถานะการศึกษาของประชาชนเสียก่อน
อีกอย่างคือ เรื่องน้ำมันยังเกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างมาก เพราะประเทศไทยสำรวจเพื่อขุดเจาะน้ำมันครั้งแรกในช่วงปลายรัชกาลที่ฝาง จ.เชียงใหม่ แม้ผ่านมา 100 ร้อยปีน้ำมันแหล่งนี้ก็ยังไหลอยู่สม่ำเสมอ และที่สำคัญพระองค์ท่านได้แลกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงกับดินแดนจังหวัดจันทบุรีและตราด ที่ทำให้เราได้ทะเลผืนใหญ่ ก๊าซกับน้ำมันดิบมีอยู่ในทะเลเยอะมาก นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้ประเทศไทยได้สมบัติชิ้นนี้มา
ต่อมา รัชกาลที่ 7 ก็พระราชทานให้แก่ประชาชนแล้วแต่ทำไมจึงไม่ถึงมือเรา การให้สัปทานปิโตรเลียมมีมาตั้งแต่ปี 2514 ผ่านมาหลายรัฐบาลยังไม่ได้รับการแก้ไขทั้งที่เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับปากท้องของประชาชน ในขณะที่เราแก้รัฐธรรมนูญไปแล้วหลายฉบับ ผมออกมาพูดครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจหาคนผิด แต่ต้องการจะหาคนที่มาทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องเสียที!!
“กระทรวงพลังงานเคยชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบการทุจริตฯ วุฒิสภาว่า ต้องเห็นใจบริษัทผู้รับสัมปทานว่าการขุดเจาะและสำรวจพลังงานเป็นเรื่องยากและมีกำไรน้อย ผมก็ขอโทษกระทรวงพลังงานและวิงวอนท่านว่า ปัจจุบันบริษัทพลังงานมีกำไรกว่าแสนล้านบาท นี่คือกำไรที่ท่านบอกว่า เขาลำบาก แต่ผมคิดว่าคนไทยเจ้าของประเทศลำบากกว่านี้มาก ถ้าผมแบ่งกำไรตรงนี้สักครึ่งหนึ่ง สัก 6-7หมื่นล้าน เอาไปสร้างโรงเรียนดีๆ และโรงพยาบาลดีๆไม่ได้หรือ? เงินจำนวนนี้สามารถสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาลได้ตั้งหลายโรง ผมขอแค่นี้มันคงไม่มากเกินไป เพราะบริษัทก็ยังมีกำไรอีกหลายหมื่นล้านแล้ว” เมื่อคำพูดของผมจบลงไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ที่รับผิดชอบทุกอย่างอยู่ในความเงียบ
//ขอเป็นแค่...นาฬิกาปลุก
“ผมอยากจะบอกว่าทุกอย่างมันคือความจริง เป็นความจริงที่คนไทยควรรู้ ทุกวันนี้ผมขอทำหน้าที่เป็นแค่นาฬิกาปลุก ถ้าคนไทยไม่สนใจ มองว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรใส่ใจก็ปิดนาฬิกาเรือนนี้ทุกอย่างก็จบ ผมคิดว่ามันเหมือนบ้านเรากำลังไฟไหม้ ผมเป็นแค่กริ่งหรือนาฬิกาปลุกเท่านั้นเอง หากท่านไม่ตื่นขึ้นมาตอนนี้มันอาจสายเกินกว่าจะแก้ไขได้ ทุกครั้งที่ผมเดินทางไปในพื้นที่ที่มีสัมปทาน ทั้งเหนือ อีสาน และใต้ ไปจังหวัดไหนก็ตาม ผมจะถามว่า “ท่านจะลุกขึ้นมาเพื่อเรียกร้องส่วนแบ่งที่เป็นธรรมจากทรัพยากรที่ท่านควรจะได้รับหรือไม่?” ถ้าคนเหนือ อีสานและคนใต้ไม่เอา ไม่เชื่อ หรือคิดว่าไม่สำคัญ ผมก็คงต้องหยุด แต่ถ้าคนในพื้นที่เห็นด้วยและลุกขึ้นมาทำ ถ้าหันมาข้างๆก็จะเจอผมเสมอ เรื่องนี้มีคนสีเดียวเท่านั้นที่ทำได้สำเร็จคือสีธงชาติ คนไทยจึงต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำเท่านั้นจึงจะได้มา
แต่ถ้าท่านบอกว่าน้ำแพงแบบนี้ดีอยู่แล้วไม่เห็นเป็นไร ก็คงจบหน้าที่ของผม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องตัดสินใจ
//ถ้าประชาชนเห็นด้วยแล้วจะทำอย่างไรต่อไป?
หากเชื่อแล้วก็จงเป็นนาฬิกาปลุกให้กับคนอื่นต่อๆไปให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์สักที เพราะทุกคนจะได้หลุดจากความทุกข์ยาก เพราะทุกวันนี้รอบๆตัวเราของแพงขึ้นหมดต้นเหตุเพราะราคาพลังงานแพงเกินจริง ซึ่งปัจจุบันแพงกว่าพม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่สหรัฐฯ แล้วเราจะอยู่กันอย่างไงที่สำคัญสหรัฐฯมีค่าแรงสูงกว่าไทยหลายเท่าตัว แต่ที่อเมริกาบ้านหรูหลังใหญ่พร้อมที่ดินในสนามกอล์ฟราคา 9 ล้าน แต่ของเราแค่คอนโด 2 ห้องนอนก็ 9 ล้านเหมือนกัน ที่สำคัญราคาน้ำมันก็ยังถูกกว่าเรามาก
“ผมอยากบอกว่าคนไทยทุกวันนี้ทำงานหาเงินก็ถูกดูดออกไปจากกระเป๋าหมด เรากำลังเป็นฐานของปิรามิด วันที่เราแก่อายุ 60 เราจะเหลืออะไรในชีวิต ผมทำเรื่องนี้เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะต้องการให้เงินที่ได้จากทรัพยากรของประชาชนกลับมาสู่ประชาชน อย่างน้อยมาพัฒนาให้คนไทยมีการศึกษาดีขึ้นเพราะมันเปลี่ยนชีวิตคนได้ ลองคิดดูว่าถ้าลูกชาวนาหรือเด็กขายพวงมาลัยได้เรียนปริญญาเอก ครอบครัวเขาคงหลุดพ้นจากความยากจนอย่างแน่นอน ไม่แน่นะเราอาจมีนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกก็ได้ แต่ถ้าวันนี้เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้คนไทยจะเหลืออะไร ผมว่าไม่เหลือนะ
“หลายคนที่ติดตามเรื่องราวมาถึงตรงนี้อาจรู้สึกว่าระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมดีจริงรึปล่าว ทำไมจึงเอาเปรียบประชาชนนัก ผมคิดว่าระบบทุนนิยมยังดีอยู่นะแต่มันก็มีก็มีข้อที่ต้องพึงระวัง เพราะทุนนิยมมีทั้งความฉลาดและความโลภเป็นแรงผลักดัน การอยู่กับทุนนิยมให้มีความสุขต้องมีเงื่อนไขสองข้อ คือ หนึ่ง ประชาชนจึงต้องมีความรู้เท่าทันระบบทุน และ สอง ประเทศจะต้องมี ระบบตรวจสอบและกำกับดูแลที่ดี เมื่อทำได้ดังนี้ทุนนิยมก็จะสร้างความเจริญให้กับกลุ่มทุนเองและสังคมไปพร้อมๆกัน ที่ใดปราศจากสองข้อนี้ทุนนิยมก็เข้าครอบงำ ระบบราชการ ครอบงำการเมือง ครอบงำนักวิชาการ และครอบงำสื่อสารมวลชน เพื่อความสะดวกในการดูดกลืนความมั่งมีของประเทศไปจนหมดสิ้น เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในอัฟริกา และอเมริกาใต้ เราจึงควรเอาบทเรียนที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านี้มาเป็นกรณีศึกษา เราก็จะพบทางออกให้กับคนไทย”
//ขอจากไปแบบมีความหมาย
เสด็จทวดของหม่อมกรกสิวัฒน์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเกษมศรีศุภโยค กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ ซึ่งเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าเกษมศรีศุภโยคพระราชโอรสพระองค์ที่ 30 ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นต้นราชสกุล เกษมศรี เป็นราชสกุลที่รับใช้แผ่นดินมายาวนานหลายชั่วอายุคน ส่วนท่านปู่ก็เป็นทหาร และน้องของท่านก็เป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติถึงสองรัชกาล คือ รัชกาลที่ 6 และ7 หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เป็นบุตร หม่อมราชวงศ์เกษมศิริพันธ์ เกษมศรี กับ วิภาณี เกษมศรี ณ อยุธยา มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน
“เมื่อสมัยผมยังเด็ก ผมคิดว่าจะเป็นหม่อมหลวงทำไม หรือเพื่ออะไร เคยถามคุณพ่อว่าเป็นหม่อมหลวง แล้วได้อะไรเพราะผมรู้สึกว่าเป็นแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย ผมขอเปลี่ยนเป็น ดช.ได้มั้ย เพราะตอนนั้นผมเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนจีนย่านฝั่งธนบุรี ผมไม่อยากแตกต่างเพียงแต่อยากเป็นเหมือนเด็กคนอื่นทั่วไปเท่านั้น
แต่พอโตมามันเปลี่ยนมุมความคิดตรงนั้นไปเลย มารู้ว่าคำว่าหม่อมหลวงเป็นเหมือนเครื่องหมายเพื่อให้เรารักษาความดี ห้ามทำชั่ว ห้ามคิดไม่ดีต่อแผ่นดินอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเสื่อมเสียไปถึงสมาชิกราชสกุลได้ ดังนั้น การคิดทุจริตหรือที่ผมมักเรียกว่าการทรยศต่อแผ่นดินและลูกของแผ่นดินซึ่งก็คือประชาชนคนไทยด้วยกันต้องไม่มี คำว่า หม่อมหลวงจึงเป็นเหมือนเครื่องกำกับพฤติกรรมของเรา
สิ่งที่ผู้ใหญ่ทำไว้แล้วในอดีต ทำให้รู้ว่าตระกูลเราได้ยึดถือความดีมาโดยตลอด ผมจึงภูมิใจที่จะยึดมั่นในแนวทางที่บรรพบุรุษทำไว้ และขอน้อมรับภาระกิจนี้ด้วยความเต็มใจ สิ่งที่ดีผมก็ต้องทำต่อไป ผมทำแบบนี้มีคนบอกว่าจะทำให้มีศัตรูโดยไม่รู้ตัว ผมบอกว่าไม่ใช่นะ แต่มีศัตรูโดยรู้ตัวมากกว่า (หัวเราะ) ผมคิดว่าอะไรที่เป็นทรัพย์สินของชาติก็ต้องเป็นของคนไทย
“ทุกวันนี้ผมไม่มีอะไรต้องห่วง คุณพ่อคุณแม่เสียชีวิตหมดแล้ว ผมจึงเหลือแต่พ่อของแผ่นดิน กับพระแม่ธรณี ที่ผมจะต้องทดแทนคุณก็เท่านั้น มีคนถามผมว่าทำแบบนี้ไม่กลัวตายหรือ? ผมตอบไปว่าไม่มีใครไม่กลัวตายหรอกครับท่าน แต่ผมคิดว่าผมเกิดมาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ถ้าจะตายก็ขอตายแบบมีความหมายดีกว่ามั้ย แทนที่คิดจะตักตวงประโยชน์จากแผ่นดินแต่ฝ่ายเดียว อย่างน้อยเราก็ควรทิ้งสิ่งที่ดีไว้ให้คนรุ่นหลังบ้าง”
นี่เป็นเส้นทางขุมทรัพย์ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบของแผ่นดินไทยที่กลายเป็นภาระของคนในชาติ ที่กลับต้องมาซื้อหาในราคาแพง “มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี” ออกมาตีแผ่ความจริงเรื่องน้ำมันที่ถูกปกปิดมานานทำให้คนไทยตาสว่างกันสักที...
หมายเหตุ
เรื่อง: สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : ชวกรณ์ สะอาดเอี่ยม,วชิระ อติประเสริฐกุล แต่งหน้า : บัณฑิต บุญมี
สถานที่ : ร.ร.เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว /ร้านกาแฟ Espresso Gallery Cafe (ลาดพร้าว)