"ครม.นำคดีท่อก๊าซไปให้ศาล เพื่อถ่วงเวลาให้หมดอายุความในการบังคับคดี ใช่หรือไม่?"
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
"ครม.นำคดีท่อก๊าซไปให้ศาล เพื่อถ่วงเวลาให้หมดอายุความในการบังคับคดี ใช่หรือไม่?"
รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวานนี้ (15 พ.ค 2560) ว่าคณะรัฐมนตรีมีมติให้อัยการสูงสุดยื่นศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยซ้ำปมคืนท่อก๊าซ เหตุไม่ยอมกันเลยให้ศาลตัดสิน ไม่ใช่ว่าเพราะ ครม.ไม่ฟังความเห็น สตง.
ดิฉันขอตั้งคำถามว่า ครม.นำคดีท่อก๊าซไปศาลปกครองครั้งนี้เป็นเพียงการถ่วงเวลาเพื่อให้คดีหมดอายุความใช่หรือไม่?
ข้อสงสัยดังกล่าวมาจากข้อพิจารณาดังต่อไปนี้
1)คดีฟ้องเพิกถอนการแปรรูปปตท.ที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ฟ35/2550 เมื่อวันที่14 ธันวาคม 2550 นั้นแม้ไม่ได้เพิกถอนการแปรรูปปตท.แต่วินิจฉัยให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ (คณะรัฐมนตรี ที่1 นายกรัฐมนตรี ที่2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่3 บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่4) ร่วมกันกระทำการ(1)แบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (2)สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ (3)รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของผู้ถูกฟ้องคดีที่4
2)รัฐบาล พล.อ สุรยุทธ์ จุลานนท์ซึ่งในขณะนั้นเป็นรัฐบาลมีมติครม.เมื่อวันที่ 18 ธ.ค 2550 ความว่า(1)ยอมรับในคำพิพากษานั้น (2)มอบหมายให้รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและรัฐมนตรีกระทรวงการคลังเป็นผู้ทำหน้าที่แบ่งแยกสาธารณสมบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษา (3)มอบหมายให้
สตง.เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องในการแบ่งแยกทรัพย์สินตามคำพิพากษา (4)หากมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายเกี่ยวกับการตีความตามคำพิพากษาให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณาเพื่อให้มีข้อยุติ
3)การแบ่งแยกทรัพย์สินและรายงานต่อศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2551 เป็นการรายงานโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่4 โดยไม่ได้ให้สตง.เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องในการแบ่งแยกทรัพย์สินเสียก่อนตามที่มติ
ครม.ได้มอบหมาย เเละเมื่อมีคำโต้แย้งเกี่ยวกับการตีความสาธารณสมบัติที่ต้องแบ่งแยก ก็มิได้ให้กฤษฎีกาพิจารณาเพื่อให้มีข้อยุติ ตามมติครม.ซึ่งสตง.ได้ทักท้วงว่าการคืนทรัพย์สินยังไม่ครบถ้วน ยังมีท่อก๊าซในทะเลและท่อก๊าซบางส่วนบนบกมูลค่าประมาณ 3.2หมื่นล้านบาทที่ต้องแบ่งแยกคืนให้รัฐ
4)เมื่อไม่มีการดำเนินการคืนทรัพย์สินให้ครบถ้วนตามการตรวจสอบของสตง. จึงมีประชาชน 1,455คน นำเรื่องการไม่ปฏิบัติตามมติครม.ในการแบ่งแยกทรัพย์สินตามคำพิพากษาไปฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด
คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่800/2557 ได้พิพากษาว่า "กรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง1,455คนกล่าวอ้างว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษา ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันในหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของคณะรัฐมนตรี"
จากคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่800/2557แสดงว่าศาลปกครองวินิจฉัยว่าการแบ่งแยกและคืนทรัพย์สินให้ครบถ้วนตามคำพิพากษาที่ฟ35/2550 ตามมติ
ครม.เมื่อ18 ธันวาคม 2550 เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของคณะรัฐมนตรี ที่จะใช้หลักการบังคับบัญชาให้มีการส่งมอบทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาทคืนให้กระทรวงการคลังให้ครบถ้วนตามการตรวจสอบของ
สตง.ได้
5)เมื่อคณะรัฐมนตรีไม่ได้มีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่800/2557 จึงมีการนำเรื่องไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่18 ธ.ค 2560 ประกอบคำสั่งที่800/2557 ไปร้องต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งมีอำนาจตรวจสอบว่าหน่วยราชการที่เป็นผู้รับตรวจได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีหรือไม่
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีมติเมื่อ 10 พ.ค 2559 ให้มีการคืนทรัพย์สินท่อก๊าซมูลค่าประมาณ3.2หมื่นล้านบาทให้กระทรวงการคลังและมีมติแจ้งให้นายกรัฐมนตรี รมว.กระทรวงการคลัง รมว.กระทรวงพลังงานและบมจ.ปตท.ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน60วัน นับตั้งแต่ 24สิงหาคม 2559 ซึ่งครบกำหนดไปแล้วเมื่อ24ตุลาคม 2559
6)คณะกรรมการกฤษฎีกาก็มีความเห็นในทางเดียวกันว่าคำพิพากษาที่ฟ35/2550 มีความชัดเจนอยู่แล้วว่า"ศาลปกครองสูงสุดมิได้แยกระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติออกเป็นส่วนๆหรือคำนึงว่าท่อส่งก๊าซและอุปกรณ์ตั้งอยู่บนที่ดินของใคร ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าท่อส่งก๊าซธรรมชาติเป็นสิ่งที่ต้องใช้ทั้งระบบ ไม่สามารถแยกออกเป็นท่อนๆได้"
7)ผู้ตรวจการแผ่นดินก็มีคำวินิจฉัยว่าการคืนทรัพย์สินยังไม่ครบถ้วน
แต่จนบัดนี้คณะรัฐมนตรีก็ยังคงเตะถ่วงเวลา ไม่ดำเนินการให้มีการคืนท่อก๊าซให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ที่วินิจฉัยว่าคณะรัฐมนตรีสามารถใช้หลักการบริหารเพื่อรักษาผลประโยชน์อันชอบธรรมของแผ่นดิน ดำเนินการให้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยังคืนไม่ครบถ้วน ให้ครบถ้วนได้
คณะรัฐมนตรีควรดำเนินการตามหลักการบังคับบัญชาให้มีการคืนทรัพย์สินให้ครบถ้วนตามการตรวจสอบของ
สตง.หลังจากนั้นจึงควรที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง4 จะไปรายงานต่อศาลปกครองสูงสุดอีกครั้งว่าได้ดำเนินการใหม่ตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การประวิงเวลาด้วยการจะนำคดีท่อก๊าซกลับไปให้ศาลพิจารณาใหม่นั้น น่าจะไม่มีประเด็นที่ศาลจะรับคำร้องมาพิจารณาเพราะในคำพิพากษาที่ฟ35/2550นั้น มีคำสั่งที่ชัดเจนอยู่แล้วให้แบ่งแยกทรัพย์สินที่ได้มาโดยอำนาจมหาชน ตลอดจนสิทธิและอำนาจมหาชนที่ต้องแบ่งแยกออกจากสิทธิและอำนาจของเอกชน ซึ่งในมติ
ครม.เมื่อ18 ธ.ค 2550 ก็ได้กำหนดแนวทางในการปฏิบัติไว้แล้ว เมื่อการแบ่งแยกทรัพย์สินที่ผ่านมาไม่เป็นไปตามมติครม. ก็เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีปัจจุบันที่ต้องใช้หลักการบริหารแก้ปัญหาซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้รับรองไว้แล้วในคำสั่งที่800/2557
14 ธันวาคม 2560 จะครบ10ปีของคำพิพากษาในคดีนี้แล้ว ต้องถามว่าคดีนี้จะหมดอายุความในการบังคับคดีเมื่อครบกำหนด10ปีหรือไม่
ดังนั้นการประวิงเวลาเอาคดีไปขึ้นศาลปกครองอีกครั้งโดยไม่จำเป็น จึงมีคำถามว่ารัฐบาลตั้งใจจะปล่อยคดีนี้ให้หมดอายุความเป็นเทคนิคัลเฟาว์ใช่หรือไม่!?!
รสนา โตสิตระกูล
16 พ.ค 2560