"คสช.เตรียมออกกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจอำพรางแบบยกเข่งโดยผ่านสภาเสียงข้างเดียว กินรวบหนักกว่ายุคทักษิณหรือไม่?"
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
"คสช.เตรียมออกกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจอำพรางแบบยกเข่งโดยผ่านสภาเสียงข้างเดียว กินรวบหนักกว่ายุคทักษิณหรือไม่?"
เมื่อวันที่1 กันยายน 2560 สนช.รับหลักการร่างกฎหมายตั้งซูเปอร์บอร์ดและบรรษัทรัฐวิสาหกิจ โดยจะมีการนำรัฐวิสาหกิจจำนวน11 แห่งที่มีสภาพเป็นบริษัททั้งที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วเช่น ปตท., การบินไทย, อสมท.เป็นต้น และรัฐวิสาหกิจที่ก.คลังยังถือหุ้น100% (ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์) เช่น TOT,CAT,ไปรษณีย์ไทยเป็นต้น
เมื่อจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแล้ว กระทรวงการคลังจะโอนหุ้นทั้งหมดในรัฐวิสาหกิจ11แห่งให้กับบรรษัทรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ครอบครองแทน และบรรษัทฯจะออกใบหุ้นให้กระทรวงการคลัง ซึ่งกระทรวงการคลังจะมีฐานะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายหนึ่งในบรรษัทฯ
ในอนาคตเมื่อบรรษัทฯต้องการเพิ่มทุนในรัฐวิสาหกิจใด หากรัฐไม่สามารถเพิ่มทุนหรือไม่ต้องการเพิ่มทุนก็ต้องเปิดให้เอกชนมาถือหุ้นแทน ซึ่งคือกระบวนการแปรรูปอำพรางโดยที่คราวนี้ประชาชนจะคัดค้านเหมือนสมัยแปรรูปรัฐวิสาหกิจผ่านกฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจไม่ได้อีกแล้ว เพราะเป็นการแปรรูปผ่านกระบวนการเพิ่มลดทุนในตลาดหลักทรัพย์ ใช่หรือไม่
หุ้นของรัฐในรัฐวิสาหกิจก็ลดถูกลดสัดส่วนลงไปเรื่อยๆ จนรัฐวิสาหกิจอาจหมดสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจไปเลยโดยที่ประชาชนไม่มีโอกาสรับรู้
กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วกับธนาคารกรุงไทยที่บัดนี้หมดสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจไปแล้ว เพราะปัจจุบันกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นในธนาคารกรุงไทยเกิน50%ไปแล้ว
การแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย(ปตท.)ของอดีตนายกฯทักษิณโดยไม่แบ่งแยกสาธารณสมบัติ ไม่แบ่งแยกอำนาจและสิทธิมหาชน ก็สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมหาศาลแล้ว จนศาลปกครองสูงสุดต้องมีคำสั่งให้แบ่งแยกสาธารณสมบัติคืนกระทรวงการคลัง และไม่ให้บมจ.ปตท.ใช้สิทธิและอำนาจมหาชนของรัฐอีก
มาคราวนี้รัฐบาลคสช.น่าจะหนักข้อกว่ารัฐบาลอดีตนายกฯทักษิณใช่หรือไม่ ที่ถึงกับจะเอาบริษัทรัฐวิสาหกิจ11แห่งที่มีทรัพย์สินรวมกันมูลค่ามหาศาลประมาณ 6ล้านล้านบาท ซึ่งมีทั้งทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติ รวมทั้งอำนาจและสิทธิมหาชน เตรียมเปิดขายเหมาเข่ง เป็นกระบวนการผ่องถ่ายทรัพย์สินของรัฐให้เอกชนใช่หรือไม่
การจัดตั้งบรรษัทฯ และการรวบเอากรรมสิทธิ์ในหุ้นรัฐวิสาหกิจไปรวมศูนย์ไว้ในมือของบรรษัทฯ นั้น นอกจากมิได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศไทย และไม่สามารถพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจให้ดีขึ้นแต่อย่างใดแล้ว บรรษัทฯยังสามารถจะใช้ทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือในการทำธุรกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยนกับนักธุรกิจในประเทศและในต่างประเทศได้ ซึ่งการดำเนินการต่างๆ เหล่านี้ จำเป็นจะต้องมีการถกเถียงในทางการเมืองเสียก่อน และจำเป็นจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบครบถ้วนโดยรัฐสภาเสียก่อน มิใช่ปล่อยให้สนช.ซึ่งเป็นสภาเสียงข้างเดียวที่แต่งตั้งมาโดยรัฐบาลคสช.มาตัดสินใจแทนคนไทยทั้งประเทศผู้เป็นเจ้าของสมบัติชาติที่แท้จริง
รสนา โตสิตระกูล
1 กันยายน 2560
สนช.รับหลักการกม.ตั้งคนร.ซูเปอร์บอร์ดคุมรัฐวิสาหกิจ
http://m.posttoday.com/biz/gov/512390
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1422824714460754&id=236945323048705