ฝ่าฟันคลื่นมรสุมชีวิต

ฝ่าฟันคลื่นมรสุมชีวิต

 

 

 

CHANGE THE HERO

เรื่อง :สิบตรี อรรคเวทย์ ตั้งพิจารณ์

 

 

ฝ่าฟันคลื่นมรสุมชีวิต

 

 

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมสิบตรี อรรคเวทย์ ตั้งพิจารณ์ อาชีพรับราชการทหาร ผมอยากจะเล่าประสบการณ์ชีวิตของผมเพื่อเป็นข้อคิดให้เด็กวัยรุ่นที่กำลังศึกษาอยู่ และคนวัยทำงานได้รับทราบ เพื่อเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจการใช้ชีวิตและอยู่รอดให้ได้ในสังคมโลกที่มีแต่ความวุ่นวายนี้ ทำอย่างไร ที่จะทำให้เราเป็นคนที่มีคุณภาพ เป็นคนดีของสังคม ทำอย่างไรที่จะทำให้ชีวิตของเราประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ เป็นไอดอลให้คนอื่นเอาไปเป็นแบบอย่างได้ต่อไป

 

ก่อนอื่นผมก็ขอเล่าย้อนหลังไปสู่ชีวิตในวัยเด็กซักเล็กน้อย ก่อนจะเข้าสู่จุดที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคอะไรมาบ้าง กว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ และมีอะไรที่ต้องพัฒนาอีกในอนาคต

 

ชีวิตของผมเกิดมาเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ เป็นลูกคนเดียวของคุณพ่อคุณแม่ มีญาติๆ อยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ครอบครัวอบอุ่น พร้อมทั้งพื้นฐานการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดู พื้นฐานการศึกษา ถ้าจะกล่าวแบบภาษาวัยรุ่น เรียกว่า งานดีโปรไฟล์เยี่ยม   ว่าอย่างนั้น หลายๆท่านที่อ่านอาจคิดว่า โห! น่าอิจฉานะ ลูกคนเดียว คุณพ่อคุณแม่รักเอาใจตามใจเต็มที่ ไม่มีใครแย่ง ฯลฯ ครับ ท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็มีสิทธิ์จะคิดแบบนั้น ไม่ได้ผิดอะไรแต่อย่างใด

 

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเป็นจุดบกพร่องของการมีชีวิตสมบูรณ์แบบ คือ ทำให้เราชินชาอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ มีพร้อมทุกอย่าง ทำให้เฉื่อยชาไม่แสวงหาโอกาส แสวงหาสิ่งที่เป็นอนาคตของเราด้วยตนเอง เราอาศัยพื้นฐานที่ครอบครัวสร้างไว้ให้มานาน ผมสังเกตเห็นคนภายนอกที่ขาดแคลนโอกาส ชีวิตไม่สมบูรณ์ ดิ้นรนต่อสู้จนชีวิตพลิกกลับมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ฐานะความเป็นอยู่ ผมเก็บมาไตร่ตรองว่า เรายึดติดกับกรอบอะไรเดิมๆในโลกแคบๆที่เราเคยอยู่หรือไม่ หากเราไม่ออกไปเผชิญกับโลกภายนอกบ้าง เราจะไม่รู้เลยว่าสังคมโลกภายนอกอยู่กันอย่างไรเราจะไม่รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง และไม่รู้เท่าทันคนภายนอก ผมจึงคิดได้ว่า ผมจะต้องออกไปเพื่อเรียนรู้สังคม ผู้คน แสวงหาอนาคตของตนเอง อนาคตที่ดี ให้ครอบครัวได้เห็นว่า ผมพร้อมจะแข็งแกร่งด้วยตัวเอง

 

ผมศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนโยธินบูรณะ ชีวิตในตอนนั้น ผมไม่เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่เรียนไปเล่นไป ค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับการเรียน กิจกรรมจะทำในด้านสาธารณะประโยชน์ เพื่อนที่คบหาก็จะเป็นเพื่อนที่สนิทกัน คุยถูกคอกันเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยคุยอะไรกับเพื่อนกลุ่มอื่นทั่วๆไป หลังจากจบระดับชั้นมัธยมปลายแล้วก็มาศึกษาต่อใน คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผมไม่ใช่คนเรียนเก่ง เรียนปานกลางค่อนข้างดี อาศัยความขยันตั้งใจเรียนอ่านหนังสือ ศึกษาความรู้รอบตัว แล้วลงเรียนเต็มโควต้าในทุกเทอม ทั้งเทอมปกติ และเทอมภาคฤดูร้อน ลงวิชายากก่อน พอจบวิชายากแล้ว จะเหลือวิชาง่ายๆ ทำให้สำเร็จการศึกษาได้ภายในสามปี แล้วรับปริญญาบัตร ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมได้ก้าวจากโลกของวัยเด็ก และวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยความสนุกไปวันๆ เรียนบ้างเล่นบ้าง ไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีการเล่นอีกแล้ว โลกที่มีแต่การแข่งขันอย่างรุนแรง มีการเอารัดเอาเปรียบ แย่งชิง ไม่มีมิตรแท้ในโลกของผลประโยชน์ ในโลกของธุรกิจ ไม่ใช่โลกที่มีแต่ความสวยงาม ปูลาดด้วยกลีบกุหลาบ

 

หรืออยู่ในท้องทะเลราบเรียบแบบภาพวาดที่เราเคยนึกฝันในวัยเด็กอีกแล้ว โลกแห่งความจริงเป็นโลกสีเทา ที่เราจะต้องประคับประคองตัวและฝ่าฟันไปข้างหน้า ไปสู่ความสำเร็จที่เราตั้งเป้าไว้ เพื่อนที่จริงใจและคบหากับเรายาวนานที่สุด คือเพื่อนในวัยประถมและมัธยม เพื่อนในวัยมหาวิทยาลัยก็คบได้ แต่ความสนิทผูกพันจะไม่เหมือนเพื่อนวัยประถมและมัธยม ส่วนโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อนแท้หายากมาก ควรคบด้วยความระมัดระวัง อย่าไว้ใจใคร ทุกคนอยู่กันได้ด้วยผลประโยชน์ ทุกคนพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง ไม่ว่าจะใช้วิธีขาวสะอาดหรือสกปรกดำเป็นตอตะโก แทงหลังหักหลังกัน

 

ผมเองก็ใช่ว่าจะไม่เจอสิ่งเหล่านี้ หลังจากรับปริญญา ผมก็ทำในสิ่งที่วัยรุ่นในยุคนี้นิยมทำกัน คือไปแสวงหาโอกาสสมัครเป็นนักแสดงในละครช่องต่างๆ ได้ร่วมแสดงในหลายเรื่อง รับงานแสดงอยู่ 2 ปี ในระหว่างนั้นก็พบเจอเรื่องต่างๆมากมาย สังคมในวงการบันเทิงที่เป็นมายาสมชื่อวงการมายา จนผมรู้สึกอิ่มตัวและเบื่อหน่าย จึงออกมาจากวงการและคิดว่าควรหางานทำที่มีรายได้แน่นอนจะดีกว่า จึงเริ่มสมัครเข้าทำงานบริษัทเอกชน ผมผ่านการทำงานบริษัทเอกชนหลายแห่ง ผมมีจุดบกพร่องตรงที่ขาดประสบการณ์ ยังไม่เคยผ่านการอบรมฝึกงานในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ยังไม่เคยหัดทำงานอะไรเป็นจริงเป็นจัง และงานที่ทำก็ไม่ตรงกับความรู้ในสาขาวิชาที่จบมา แต่อาศัยความตั้งใจ ความขยันพยายามศึกษาเรียนรู้งาน แต่ว่าทำไปแล้วก็พบปัญหามากมาย นายจ้างใช้งานแบบคุ้มเงินเดือนของเขาจริงๆ ต้องทำยอดขายตามที่เขาตั้งไว้ ต้องบริการจนแทบจะบูชาขึ้นเหนือหัว ต้องทำเอกสารมากมาย

 

ละการแข่งขันชิงดีชิงเด่นระหว่างเพื่อนร่วมงานนั้นก็เข้มข้นรุนแรง ผมรู้สึกว่าทำงานทุ่มเทให้ยังไงก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ทำแล้วไม่มีความสุข จึงลาออกจากงานบริษัทเหล่านี้ และนำเงินที่เก็บสะสมมาลงทุนเปิดร้านถ่ายเอกสารในย่านคลองหก ปทุมธานี แต่ผิดพลาดจนต้องล้มเลิก เสียเงินไปที่เก็บออมไปจำนวนมาก เมื่อผมอายุครบเบญจเพส ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาดวงไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดีเลย แย่ลงทุกอย่าง จึงตัดสินใจบวชในปีครบรอบพุทธชยันตีปี 2556 เพื่อแสดงความกตัญญูต่อบุพการีและเพื่ออุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร หลักจากลาสิกขาแล้ว เราได้นำสิ่งที่เคยบวชเรียนมามาปรับใช้ เราใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น ทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านมาหลายอย่างว่าอะไรบ้างที่เคยทำผิดพลาด ก็ปรับปรุงแก้ไข รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

 

ผ่านมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ผมจึงเริ่มสอบงานราชการพลเรือนหลายๆที่ ในปี 2557-2558 เป็นปีที่ผมสูญเสียคนที่ผมรักไปถึง 4 คน คุณปู่ คุณพ่อ คุณอา และคุณตา ปลายปี 2557 หลังจากเสียคุณปู่ไป คุณพ่อเริ่มล้มป่วยด้วยโรคเบาหวานและโรคแทรกซ้อน คุณพ่อพูดคุยกับผมว่า ในครอบครัวทั้งคุณปู่ ตัวคุณพ่อเอง และคุณอาเป็นทหารบกมา 3 รุ่น คุณน้าเป็นทหารเรือ จึงอยากให้ผมเป็นทหารสืบต่อไปเป็นรุ่นที่ 4 ผมจึงสอบทหารอากาศ แต่คุณพ่อมีอาการป่วยหนักทรุดลงจนเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2558 เวลานั้น ผมเสียใจมากที่เห็นคุณพ่อต้องจากไปต่อหน้าต่อตา พยายามยื้อไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ก่อนที่คุณพ่อจะจากไป ผมกระซิบข้างหูคุณพ่อว่าจะสอบเข้าเป็นทหารให้ได้ ผมจะทำให้คุณพ่อภูมิใจให้ได้ หลังจากเสร็จงานคุณพ่อแล้ว ผมจึงสอบทหารอากาศ แต่ยังไม่ติด กองทัพไทยเปิดสอบ ไปสอบก็ยังไม่ติด แล้วคุณตาก็จากไปในเดือนมิถุนายน ผมจึงหยุดพักการสอบไว้ และจัดการงานคุณตาให้เรียบร้อย หลังจากนั้นผมก็ทบทวนอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบมาได้ 3 เดือน จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2558 กองทัพบกเปิดสอบบรรจุข้าราชการทหารสายงานสัสดี

 

ผมจึงสมัครสอบจากคนทั้งประเทศ 6,800 คน เอาตัวจริง 100 คน ตัวสำรอง 40 คน ผมสอบทุกขั้นตอนจบแล้ว ประกาศผลสอบออกมาปรากฏว่าผมสอบติดลำดับที่ 3 จากคนสอบทั้งประเทศ ทำให้ผมและครอบครัวภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และผมเชื่อว่าดวงวิญญาณคุณปู่ คุณพ่อ คุณอา คุณตา คงจะภูมิใจเช่นกัน จากนั้นผมก็รับคำสั่งแต่งตั้งเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่สัสดีจังหวัดนนทบุรีและเข้ารับการฝึกศึกษาอบรมที่ค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลา 3 เดือน กลับมาเข้าทำงานตามปกติที่สำนักงานสัสดีจังหวัดนนทบุรีตามปกติจนปัจจุบัน เป็นระยะเวลา 1 ปี 3 เดือนแล้ว ผมทำงานด้วยความภาคภูมิใจ ขยัน มุ่งมั่นตั้งใจที่จะรับใช้ชาติบ้านเมืองและบริการประชาชนอย่างเต็มที่ และยึดมั่นในความตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์และยุติธรรม  ในเวลาว่างก็ได้ลงทุนทำธุรกิจผลิตเสื้อยืดและเสื้อโปโลเป็นแบรนด์ของผมเอง ชื่อ Cherish และ New Gen โดยเน้นเนื้อผ้าคุณภาพสูง การออกแบบด้วยตัวเอง และผลิตที่ร้านที่มีฝีมือดีมีความน่าเชื่อถือ ทำให้มียอดสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก และเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า จนต้องกลับมาซื้อเพิ่มซื้อซ้ำอีก ทำเงินทำกำไรเป็นจำนวนมาก จนถึงปัจจุบันผลิตจำหน่ายแล้ว 4 รุ่น ทำให้ผมสามารถพลิกฟื้นกลับมาสร้างฐานะตั้งตัวได้อีกครั้ง ซึ่งกว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ ชีวิตต้องผ่านจุดพลิกผัน จุดสูญเสีย อุปสรรคน้อยใหญ่ต่างๆ เปรียบเหมือนเรือประมงที่เจอคลื่นพายุซัดถาโถม แต่ก็ฝ่าฟันจนออกมาพบกับชายฝั่ง แสงแดดยามเช้าที่สวยงาม และท้องทะเลราบเรียบ

ปัจจุบันผมอยู่กับคุณแม่ 2 คน และญาติๆที่เหลืออย่างมีความสุข กับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ประหยัด พอเพียง ผมดำเนินชีวิตด้วยคติประจำตัว คือ งานราชการคือความมั่นคง ธุรกิจส่วนตัวคือความมั่งคั่ง

 

ข้อคิดที่ได้จากการอ่านเรื่องราวของผม คือ

1.ชีวิตของคนเรามีขึ้นมีลงเสมอ ไม่มีอะไรราบเรียบเหมือนทะเลสงบ ไม่มีทางโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ต้องมีอุปสรรคเข้ามาทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา เหมือนคลื่นพายุร้ายที่ซัดถาโถม แต่ถ้าผ่านมาได้ จะทำให้เราอยู่รอดได้อย่างแข็งแกร่ง

2.จงใช้ชีวิตอย่างมีสติอยู่เสมอ อย่าเผลอหลงใหลไปกับคำชมของผู้อื่น แต่ให้รับฟังคำติเตียนหรือแนะนำ เพื่อปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ดีอยู่เสมอ

3.จงออกไปอยู่ในโลกภายนอก เพื่อเรียนรู้หาประสบการณ์ให้หลากหลาย มองโลกให้กว้างไกล รู้เท่าทันคน จงอย่าอยู่แต่ตัวเองเพียงคนเดียว หรือในโลกส่วนตัว เพราะทำให้มีความคิดหรือมองโลกแคบอยู่ในแง่มุมตนเอง และไม่รู้เท่าทันคน

4.เมื่อยังอยู่ในวัยเด็กหรือวัยเรียน จงเก็บเกี่ยวความรู้ ทักษะต่างๆ ความสุข มิตรภาพกับเพื่อนให้เต็มที่ เพราะเมื่อเรียนจบแล้วหรือเข้าสู่โลกแห่งการทำงานจริงแล้ว คุณไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้

5.จงค้นหาความสามารถของตนเองให้พบ แล้วทำอย่างเต็มที่ แล้วจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ

6.เอาความสามารถที่ตนเองมีอยู่ มาต่อยอดทำธุรกิจสร้างรายได้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ไม่ต้องพึ่งใคร แล้วจะภูมิใจในความสำเร็จด้วยมือเราเอง

7.เพื่อน ไม่จำเป็นต้องมีมาก ถึงมีน้อย แต่เป็นเพื่อนจริงใจก็เพียงพอ

8.เราทำดี ไม่จำเป็นต้องอวดใคร แต่ถ้าทำด้วยใจ เราก็ต้องได้ดี

9.จงรักและดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรักเราเท่าครอบครัวอีกแล้ว