พระโพธิสัตว์กวนอิมที่พึ่งแห่งสุดท้าย ของ โซเฟีย ลา
เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง /ภาพ นันทสิทธิ นิตย์เมธา
พระโพธิสัตว์กวนอิมที่พึ่งแห่งสุดท้าย ของ โซเฟีย ลา
สิ่งใดที่เราทำดี ไม่ได้ทำความชั่วอะไร ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน จึงไม่กลัวว่าชีวิตจะเป็นอะไร เพราะมั่นใจว่าถ้าคนเราเป็นคนดี อนาคตเราไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมจะคอยช่วยเหลือคุ้มครองปกป้องเราเสมอ ถึงจะมีเหตุร้ายก็ย่อมผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ นี่เป็นความเชื่อความศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์กวนอิม ของ โซเฟีย ลา หรือฉายาในแวดวงไฮโซ เรียกเธอว่า "ไฮโซมือใหม่"
โซเฟีย เล่าว่า ที่ให้ความเคารพศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์กวนอิมมากเป็นพิเศษก็เพราะว่า สมัยเป็นเด็กประมาณ ๕-๖ ขวบ อยู่ที่ไต้หวัน จะมีผู้หญิงชราคนหนึ่ง อยู่ข้างบ้านชอบพาไปไหว้เจ้า แล้วก็ชอบให้คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ห้ามไปไหน โดยเขาจะไปซื้อของก่อน เดี๋ยวกลับมารับ
เวลาผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหญิงชราที่จะมารับเลย จึงได้อธิษฐานต่อพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้มีคนมารับกลับบ้านด้วย และแล้วหญิงชราคนดังกล่าวก็กลับมารับจริงๆ อีกเหตุการณ์หนึ่งสมัยเรียนหนังสืออยู่มหาวิทยาลัยที่ไต้หวันถูกนักเลงจับตัวไปขังไว้ เพื่อบังคับให้ยอมแต่งงาน โดยขังเอาไว้ในบ้านของเขาที่สูงประมาณชั้นสองชั้นสามเห็นจะได้ เป็นเวลา ๓ วัน โดยไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย
ตอนนั้นคิดว่า ถ้าไม่ได้กินข้าวแบบนี้ต้องตายเป็นแน่แท้ เมื่อมองไปที่หน้าต่างลงไปเห็นเป็นสนามหญ้า พอที่จะกระโดดลงไปได้ คิดอยู่อย่างเดียวว่า ตายเป็นตาย ถ้าอยู่แต่ข้างบนแบบนี้ก็ต้องอดตายอยู่แล้ว ตัดสินใจกระโดดลงไปทันที ใจตอนนั้นมันวูบลงไปเลยกับความสูงที่ต้องกระโดดลงไป พอร่างถึงพื้นก็นึกว่าตัวเองตายแล้ว แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย นั่งอยู่เฉยๆ พอได้สติก็วิ่งขอความช่วยเหลือจากคนใกล้เคียง
เมื่อถามถึงพ่อและแม่เลี้ยงเขาทั้งสองไม่ได้สนใจเราอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้รักโซเฟีย การหายตัวไปวันสองวันจึงเป็นเรื่องธรรมดาของเขา แต่ตรงนั้นก็คิดว่า ที่ไม่เป็นอะไรเลยคงเป็นเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองให้ปลอดภัย" เธอเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ชีวิตผ่านช่วงวิกฤตด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงมีพระพุทธรูปบูชาไว้มากมาย
คือ พระแก้วมรกต พระพุทธโสธร หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ พระโพธิสัตว์กวนอิม ส่วนพระเครื่องที่นำติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ประกอบด้วย เหรียญพระโพธิสัตว์กวนอิมพิมพ์ต่าง ๆ รวมทั้ง พระสมเด็จที่ ส.ส.พิเชษฐ์ พันธุ์วิชาตกุล ให้ไว้เป็นที่ระลึกเมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่ผ่านมา เธอชื่อว่าใครที่คิดร้ายต่อเธอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็จะช่วยคุ้มครองให้เสมอ สำหรับกระแสข่าวในแวดวงสังคมไฮโซต่างโจมตีเธอว่า อยากเด่นอยากดังนั้น โซเฟีย บอกว่า
บางเรื่องฟังแล้วก็รู้สึกเสียใจ จนบางครั้งต้องเดินทางไปไหว้พระ กราบนมัสการ ภาพวาดของพระโพธิสัตว์กวนอิม ภาพที่มีพระพักตร์งดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาอยู่ที่ วัดโพธิ์แมน ซึ่งเป็นนวัดจีนอยู่แถวสาธุประดิษฐ์ และบางครั้งก็จะไปไหว้พระที่ วัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่ เยาวราช) เมื่อได้กราบไหว้พระแล้วก็ทำให้จิตใจสงบพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาที่มารุมเร้าได้อีกครั้ง
นอกจากนี้เธอยังเชื่อในเรื่องศาสตร์ฮวงจุ้ย โดยฮวงจุ้ยตามความเชื่อของชาวจีน ต่างเชื่อกันว่า มีผลต่อชีวิต มีผลต่อการทำงาน ซึ่งธุรกิจจะเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยได้ การแสดงที่ตั้งบวกกับหลักการของฮวงจุ้ยก็เป็นเรื่องสำคัญ เราจะเห็นได้ว่า มีหลายบริษัทมีการปรับสถานที่ทำเลที่ตั้งให้สมดุล กับสภาพแวดล้อมที่ดี รวมทั้ง การตั้งสิ่งของภายในบ้านพักอาศัยให้เกิดความสุข ความอบอุ่นน่าอยู่ ผู้คนในบ้านสดชื่น แจ่มใส ความคิดปลอดโปร่ง มีพลังที่ดีในการดำรงชีวิต
โซเฟียเล่าอย่างอารมณ์ดี เมื่อซินแซมาดูว่า ไม่ดี การมีประตูเข้าบ้านมีสองทาง ก็ได้แนะนำให้ปิดตายหนึ่งประตู โดยห้ามใช้อย่างเด็ดขาด เพราะไม่เช่นนั้นเจ้าของบ้านหรือสามีอาจมีเมียน้อย ครั้งแรกฟังก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่เพื่อความสบายใจก็ทำตามที่ซินแซแนะนำด้วยการปิดประตู แต่ถ้าถามความในใจจริงๆ ว่า เชื่อไหม ก็ต้องบอว่าไม่ค่อยเชื่อ ขนาดประตูอันนี้ปิดตายไปแล้ว สามีก็ยังไม่หยุดเจ้าชู้เลยบาปบุญเป็นเรื่องที่เชื่อว่าทุกคนเกิดมาแล้วก็มีติดตัวมาเหมือนๆ กัน อยู่ที่ว่าใครจะมีบุญมากหรือบุญน้อยก็ขึ้นอยู่กับการกระทำตั้งแต่ในอดีต เมื่อคนเราเลือกเกิดไม่ได้ขนาดตัวเองเกิดอยู่ในเวียดนามไปโตที่ไต้หวัน ไปมีชีวิตคู่ที่ฝรั่งเศส
แต่ทุกวันนี้มาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย แต่ทั้งนี้ อยู่ที่ว่าใครที่เกิดมาแล้วมีความเชื่อว่าทำบุญมากเท่าไรก็เป็นการเสริมดวงเสริมบารมีให้กับตัวเองด้วยการทำบุญเป็นประจำ ขณะเดียวกันตื่นนอนขึ้นมาทุกเช้าก่อนเดินทางออกไปนอกบ้าน จะต้องสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำทุกวัน เพราะเชื่อว่าจะทำให้เป็นสิริมงคลกับชีวิต ใครอยากรวย อยากสวยหาเงินได้มากๆ ไปเป็นเมียน้อย ต่อให้ร่ำรวยอย่างไรมันก็ไม่มีความสุข หรือบางคนร่ำรวยเงินทอง
ทำชีวิตอยู่ในสังคมอย่างหรูหรา แต่เงินที่ได้มานั้นไปโกงเขามา สุดท้ายชีวิตก็ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ความสุขก็ไม่เหลือ เพราะอะไรที่หามาง่าย มันก็ไปง่าย ดังนั้น อยากบอกกับทุกคนว่า ถ้าอยากรวย จงทำให้รวยจากหยาดเหงื่อแรงกายของเรา ความร่ำรวยที่ได้มานั้นจะเกิดเป็นความภูมิใจ" โซเฟียสาวไฮโซกล่าว
เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง /ภาพ นันทสิทธิ นิตย์เมธา
ประวัติ โซเฟีย ลา ฉบับสมบูรณ์ โดย สุทธิคุณ กองทอง
คำนำ
หนังสือเล่มนี้อยากบอกว่าชีวิตโซเฟียที่ผ่านมาไม่ได้มีความสุขอะไรเลย การมีชีวิตคู่ใช่ว่าจะทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขได้ชั่วนิรันดร์ เพราะทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีความรักให้กันก็รักกันแบบที่สุด มันก็ต้องมีความที่เราเกลียดที่สุดเช่นกัน แต่ชีวิตดำเนินต่อไปได้ทุกวันนี้ ยังดีที่ยังมีผู้ใหญ่หลายคนที่ไม่ค่อยได้เจอกัน คอยที่จะโทรศัพท์เข้ามาถามว่าไถ่สารทุกข์สุขดิบต่างๆ นาๆ ว่า สบายดีไหม เธอเป็นคนตรงก็จะตอบว่า ยังไม่เป็นอะไรหรอก โซเฟียยังสู้และอยู่ดูแลลูกๆ ต่อไป
วันหนึ่งใครจะรู้ว่าสามีจะไปมีผู้หญิงอื่น วันนี้เมื่อไม่มีเขาเราก็ต้องอยู่ได้ โซเฟียพูดจริงๆ ถ้าสามีกลับมาหาเราอีกครั้ง เราคงไม่เอาของเหลือๆ จากคนอื่น สมัยก่อนสามีเขารักเราจะตาย กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะคิดถึงแต่เรา ใครเลยจะคิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งเคยมาทำงานเป็นแม่บ้านให้กับทางบริษัทมาตั้งแต่อายุ 20 ปีกว่าๆ ทุกเย็นสามีขับรถแท็กซี่มารับทุกวัน ในที่สุดสามีกลับยอมรับให้เป็นเมียน้อย สิ่งสำคัญวันนี้เราต้องเป็นคนรักความเป็นจริงให้ได้ อะไรมันก็ต้องเกิด เมื่อก่อนเราไม่มีเขา เราก็อยู่ได้ วันนี้กลับมาไม่มีเขาเราก็ต้องอยู่ให้ได้
บทเรียนวันนี้อยากให้เป็นเครื่องเตือนใจวัยรุ่นทุกคนว่า เมื่อแต่งงานไปแล้วอย่าทำตัวซื่อบื่อไม่ฉลาดเหมือนโซเฟีย ดังนั้น เมื่อใครก็ตามที่แต่งงานไปแล้วต้องรักตัวเองให้มากๆ อย่าเอาความรักทั้งหมดไปให้กับสามีเพียงคนเดียว ไม่เช่นนั้นชีวิตรักก็จะเป็นเหมือนกับโซเฟีย ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกในนี้ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและไม่ดี และนั่นแหละอยู่ที่เราจะเลือกเดินกันอย่างไร
วันหนึ่งเราเคยสวยมีคนมารักมากมาย แต่วันหนึ่งเราแก่ตัวลง เราก็สวยแบบแก่ๆ ฉะนั้น เราเองก็คงไม่สวยทุกวันไม่ได้สวยตลอดชาติแน่ๆ เหมือนดอกไม้ที่สวยงามในวันนี้ เมื่อวันหนึ่งมันก็ถึงเวลาต้องเฉา เช่นเดียวกับชีวิตเราเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ หรือวันนี้อย่าคิดว่าลูกรักเราตลอด แล้วอย่าคิดว่าสามีจะรักเราตลอดเหมือนกัน ความรักเหล่านี้อย่าเอาอะไรแน่นอน ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งสามีก็ต้องเปลี่ยนใจ ลูกที่เคยรักเราวันหนึ่งเขาก็คงเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน ยังไงลองนำบทเรียนของโซเฟียไปเป็นตัวอย่างน่าจะดีไม่น้อย
ชีวิตครอบครัว 30 ปี คิดว่าชีวิตคงมั่นคงแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดว่าจะถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง คิดถึงทีไรมันทำให้น้อยใจไม่ได้ สมัยก่อนรักเราขนาดไหนเราก็ภูมิใจมากๆ ทุกวันถ้าวันไหนไม่ได้บอกรักโซเฟียเขาจะเป็นจะตาย วันนี้มันทำให้เราฉีช้ำมากๆ ท้ายที่สุดแล้วอยากจะบอกถึงวัยรุ่นทุกคน โดยเฉพาะลูกผู้หญิง ชีวิตเราอย่าเอาอะไรแน่นอน อย่าไว้ใจผู้ชายมากเกินไป เพราะทุกอย่างจะเปลี่ยนไป แต่บางคนอาจมีผู้ชายรักมากไม่เป็นเหมือนครอบครัวโซเฟีย แสดงว่า ผู้หญิงคนนั้นคงมีบุญวาสนาดีที่เขาเคยอาจได้ทำมาในอดีตชาติ มาในชาตินี้ทำให้พวกเธอได้มาเจอผู้ชายที่รักเธอจริงๆ
จะว่าไปแล้ว ผู้ชายสมัยนี้ 10 คน ไม่รู้ว่ามีถึงครึ่งหนึ่งหรือเปล่าที่จะทำตามคำพูดว่า รักเธอจริงๆ ตั้งแต่แรกพบจนถึงบั้นปลายชีวิต แต่โซเฟียก็คิดว่า คงหาได้ยากหรือแทบหาไม่เจอก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น จะอย่างไรเราต้องรักตัวเองให้มากกว่าคนที่เรารัก เราต้องรักตัวเอง 60 เปอร์เซ็นต์ อีก 40 เปอร์เซ็นต์เหลือให้สามีกับลูก ถ้าเกิดวันหนึ่งเขาไม่รักเรา เราเองก็จะไม่เสียใจมากๆ แบบโซเฟีย เราต้องเตรียมใจก่อน สักวันถ้าถูกสามีทิ้ง หรือลูกที่เราเลี้ยงเขาจนโต พวกเขาก็อาจมาทิ้งเราได้เหมือนกัน ถ้าลูกเราเป็นเด็กไม่ดีบวกกับเรามีกรรมไม่ดีที่เคยทำเอาไว้ด้วย ดังนั้น หากคนเราทุ่มเทความรักให้กับคนที่เรารักมากเกินไป แล้ววันหนึ่งเกิดความผิดหวังจะเสียใจมากแบบโซเฟีย
วันนี้อยากให้บทเรียนชีวิตของหนังสือเล่มนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้หญิงทุกคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน ต้องเลือกให้ดีๆ ก่อน หากคนที่แต่งงานแล้วตรงนี้ก็อย่าประมาทว่าผู้ชายเป็นของตายเป็นของเราคนเดียว ที่สำคัญอย่ารักเขามากเกินไป ควรจะรักตัวเองให้มากๆ และอย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวเป็นยายเพิ้งเหมือนโซเฟียที่ 30 ปีของชีวิตคู่ไม่เคยได้แต่งตัวสวยๆ เลย อย่าคิดว่าการมีลูกมีผัวแล้วไม่ต้องแต่งตัวก็ได้
ผู้หญิงทุกคนอย่าคิดแบบนี้ไม่ได้ มันจะไม่เจริญหูเจริญตาของสามี ในที่สุดเขาจะเห็นว่าเราเหี่ยว แห้ง แก่ โทรมไม่เป็นท่า แล้วเราจะดูแลเรื่องอาหารการกินอย่างเดียวไม่เพียงพอ เรื่องบนเตียงนี่ก็สำคัญเหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้หรือไม่พอ ท้ายที่สุดสามีเราก็จะไปขวนหวายหาผู้หญิงจากที่อื่นได้อีกเช่นกัน นี่แหละที่เขาเรียกว่าความพอดีไม่เคยมีกับคนที่ไม่รู้จักความพอดี เพราะความไม่รู้จักพอของคนที่อยู่ภายใต้กิเลสตัณหา และเมื่อนั้นใครมีชีวิตคู่แบบโซเฟียก็คงเข้าใจว่า เรามีชีวิตอยู่คนเดียวน่าจะสบายกว่ามีสามีเจ้าชู้ ที่ไม่รู้จักพอ
ตอน 1 หนึ่งใน..."เรฟูจี"
-------------------
โซเฟีย ลา ไฮโซโนเนมที่ไม่มีแบ็กกราวนด์ในเมืองไทยได้ปรากฏตัวขึ้น เธอใช้เวลาไม่นานนักโลดแล่นในงานสังคมด้วยความโดดเด่นของเสื้อผ้าหน้าผม และเอกลักษณ์ที่สร้างความน่ารักน่าชังก็คือ พูดไทยไม่ชัด ในนาทีนี้หลายคนคงอยากรู้จัก
โซเฟีย ลา ให้ดีมากขึ้น
โซเฟียเป็นคนจีนฮกเกี้ยนเกิดที่เวียดนาม
กำพร้าแม่ อาศัยอยู่กับพ่อและตาตั้งแต่เล็ก ๆ
“
ต่อมาประเทศเวียดนามเกิดสงคราม ครอบครัวของโซเฟียจึงย้ายไปอยู่ไต้หวัน โดยพ่อของเธอได้สมัครเป็นอาจารย์สอนบาสเก็ตบอล การเป็นอาจารย์สอนนี่เองทำให้พ่อต้องเดินทางไปสอนตามประเทศต่าง ๆ และโซเฟียได้เข้าเรียนภาษาจีนกลาง
พ่อเปิดร้านขายของชำเล็ก ๆ ให้ปู่และโซเฟียดูแลทำให้ชีวิตโซเฟียในช่วงนั้นมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายจนอายุย่างเข้า
แม่เลี้ยงมีลูกชายและลูกสาวติดตามมาอยู่ในบ้านด้วย ลูกทั้ง 2 คนของแม่เลี้ยงมีอายุมากกว่าโซเฟีย ดังนั้นจึงเป็นพี่สาวและพี่ชายต่างสายเลือดโดยอัตโนมัติ
แม่เลี้ยงต้องการให้โซเฟียเรียกหล่อนว่า แม่ แต่โซเฟียปฏิเสธ เพราะเธอสัมผัสได้ว่าแม่เลี้ยงคนนี้ไม่ได้รักเธอเหมือนลูกแท้ ๆ อีกทั้งความรู้สึกลึก ๆ ต่อต้านและบอกตัวเองว่าหล่อนไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของเธอ
ชีวิตครอบครัวที่เมื่อก่อนเคยมี ปู่ พ่อ และโซเฟีย กลับเริ่มสับสนวุ่นวาย พ่อที่เคยรักและเอ็นดูโซเฟียเริ่มห่างเหินทั้ง ๆ อยู่บ้านเดียวกัน แม่เลี้ยงได้เข้ามามีอิทธิพลเหนือพ่อของหล่อนเสียแล้ว
เมื่อแรกที่แม่เลี้ยงเข้ามาอยู่ในบ้าน แม่เลี้ยงจะเป็นต้นเหตุให้ปู่ต้องทะเลาะกับพ่อมาตลอด และด้วยเหตุที่พ่อของโซเฟียเป็นคนชอบกินเหล้า พอกินเหล้าเขาก็ไม่ค่อยอยู่ร้าน
แม่เลี้ยงได้เปลี่ยนชีวิตโซเฟียจากเจ้าหญิงของบ้านกลายเป็นนังแจ๋วไปชั่วข้ามคืน เชื่อไหมว่าชีวิตโซเฟียต้องทำงานทุกอย่างภายในบ้านไม่ว่าจะเป็น ทำความสะอาดบ้าน ซักเสื้อผ้า ทำกับข้าว ล้างถ้วยล้างจาน สารพัดแล้วแต่ว่าแม่เลี้ยงจะชี้มือชี้ไม้ อะไรก็ไม่ทำร้ายจิตใจโซเฟียเท่าการแยกสำหรับอาหารโดยให้โซเฟียและปู่ออกไปกินข้าวกัน 2 คนข้างนอก โดยที่พ่อ แม่เลี้ยง และลูกทั้ง 2 คนกินข้าวที่โต๊ะภายในบ้าน
พ่อรักและหลงแม่เลี้ยงมาก บ่อยครั้งที่เธอกับพ่อทะเลาะกันเมื่ออยู่ใกล้กันนั่นมาจากสาเหตุความน้อยใจที่พ่อเอาใจใส่ลูกเลี้ยงอย่างออกนอกหน้า และเมื่อโซเฟียทำอะไรไม่ถูกใจแม่เลี้ยงก็จะลงโทษด้วยการทุบตีเสมอ
ใช่ว่าโซเฟียจะถูกแม่เลี้ยงทุบตีคนเดียว
พี่สาวก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เมื่อไม่พอใจก็จะเอาไม้ไผ่มาตีโซเฟีย สาเหตุก็มาจากการออกไปเที่ยวกับโซเฟีย เมื่อหนุ่ม ๆ เห็นโซเฟียก็จะเข้ามาจีบทำให้พี่สาวไม่พอใจเพราะไม่ได้รับความสนใจจากเพศตรงข้ามก็จะมาระบายอารมณ์กับโซเฟียเมื่อมาถึงบ้าน โซเฟียแก้ปัญหานี้โดยเมื่อมีหนุ่ม ๆ มาจีบโซเฟียก็จะพยายามแนะนำและให้พูดคุยกับพี่สาวด้วยทุกครั้ง และการทำเช่นนี้ทำให้พี่สาวพอใจมาก
บางครั้งโซเฟียต้องปฏิเสธการไปดูหนังกับพี่สาวคนนี้เพราะหล่อนเหนื่อยจากการทำงานบ้าน และโซเฟียยังต้องไปทำงานที่สำนักงานทนายความอีกในตอนกลางวัน ตอนเย็นต้องไปเรียนหนังสือ การปฏิเสธพี่สาวนั้นจะทำให้หล่อนไม่พอใจโกรธขึ้นมาก็จะคว้าไม้ไผ่มาตีที่ขาของโซเฟียเสมอ
น่าแปลกที่โซเฟียไม่รู้สึกโกรธพี่สาวคนนี้เลย กลับใจอ่อนให้อภัยทุกครั้ง บางครั้งพ่อจะลงโทษพี่สาวโซเฟียกลับขอร้องพ่อให้ยกโทษให้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ปู่เห็นจึงตะโกนว่า
มีเรื่องที่โซเฟียคิดถึงทีไรก็อดนั่งอมยิ้มไม่ได้ก็คือ เรื่องการให้ทหารเข้ามาดื่มกินในร้านของปู่โดยไม่คิดเงิน เรื่องนี้ทำให้ปู่โกรธมากใช้ไม้ตีอย่างแรงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เรื่องนี้มีอยู่ว่า ตอนนั้นจีนและไต้หวันไม่ถูกกันทำให้มีเรื่องกระทบกระทั่งกันอยู่ประจำ การที่ทหารเดินไปมาในเมืองขณะนั้นเป็นเรื่องชินตาของคนในท้องถิ่น วันที่เกิดเรื่องปู่ไม่อยู่และเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์โซเฟียไม่ได้ไปทำงานที่สำนักทนายความจึงอยู่เฝ้าร้านแทน วันนั้นมีทหารหลายพันคนลงมาจากรถไฟโซเฟียก็ไม่รู้พวกทหารเหล่านั้นจะไปไหน ทหารเหล่านั้นเดินเข้าไปขอน้ำชาวบ้านแถวนั้นกิน และทหารส่วนหนึ่งก็เข้ามาขอน้ำกินที่ร้านของโซเฟีย ที่ร้านก็ไม่มีน้ำเปล่าให้จะมีแต่ก็น้ำอัดลมนี่แหละ โซเฟียใจดีและสงสารทหารเหล่านั้นด้วยความจริงใจจึงบอกพวกทหารว่าจะกินอะไรกินได้เลย พวกทหารเขาก็ดีเขากินเปิดกินน้ำอัดลมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทหารเหล่านั้นก็ได้เอาขนมปังที่ติดตัวให้เป็นสิ่งตอบแทน ขนมปังนั้นเป็นขนมปังฝรั่งเศสอร่อยมากเลย
เมื่อทหารไปกันหมดแล้วก็ถึงเวลาที่ปู่กลับมาถึงร้านพอดี พอเข้ามาที่ร้านของต่างๆ มันโลงไปหมด ปู่ก็ตกใจว่าโอ้โฮ! วันนี้ทำไมขายของดีจังเลยของหมดร้านเลย ปู่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ปู่ก็เดินสำรวจแล้วก็ไปเปิดกล่องใส่เงินปู่พบว่าไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียวจึงได้ถามโซเฟียกลับไปว่าทำไมกล่องสตางค์ไม่มีเงิน แล้วของต่างๆ มันหายไปไหนจนหมดร้าน เมื่อโซเฟียตอบไปตามความจริง ปู่โกรธมาก เป็นธรรมดาคนแก่ชอบเสียดายของนั่นเอง ปู่ย้ำอีกว่าให้หมดเลยใช่ไหม โอ้เก่งนะๆ โซเฟียเองก็ตอบย้ำไปอีกว่า ใช่ให้หมดเลย กินฟรีกันเลย จังหวะนั้นปู่ก็เอาไม้มาตีโซเฟียแบบสุดๆ ชีวิตโซเฟีย
ตอน 2 เมื่อ...ชีวิตก้าวสู่อาชีพนางแบบ
-------------------
สมัยก่อนที่เมืองจีนก็จะไม่นิยมให้ลูกสาวเรียนสูง ๆ ปู่ของโซเฟียก็เช่นกัน ปูมีความคิดว่า ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือสูงก็ได้
เพราะโตเป็นสาวแล้วก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว
ในช่วงนั้นมีแต่คนไม่เห็นด้วยในการเรียนต่อ และแม่เลี้ยงก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ยอมให้โซเฟียเรียนต่อ แต่เป็นเพราะโซเฟียมีความพยายาม และทะเยอทะยานที่จะศึกษาหาความรู้ใส่ตัว จึงพยายามทำงานทุก ๆ อย่างส่งเสียตัวเองให้เรียนในระดับปริญญาตรี โซเฟียเชื่อว่าความรู้คือประทีปที่เป็นบ่อเกิดของความฉลาด โซเฟียไม่ต้องการเป็นผู้หญิงโง่ประกอบกับการเป็นคนใฝ่เรียนรู้ดังนั้นจึงไม่มีอะไรขวางกั้นการเรียนของโซเฟียได้
เส้นทางการศึกษาของโซเฟียเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม คนในครอบครัวไม่สนับสนุนจึงเป็นที่มาของความไม่พร้อมความไม่มีเงินเพียงพอ ดังนั้นจึงทำให้โซเฟียต้องทำงานหนักตั้งแต่เด็กเพื่อที่จะส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือให้สูงที่สุดเท่าที่แรงกายจะสามารถส่งได้
โซเฟียได้ทำงานที่สำนักงานทนายความในขณะเรียนหนังสือ โชคดีที่โซเฟียเป็นคนลายมือสวย
จึงได้มีโอกาสเขียนเอกสารให้กับเถ้าแก่เจ้าของสำนักงานทนายความอยู่ประจำ เมื่อเขียนเอกสารเสร็จแล้ว ก็จะต้องถีบจักรยานไปส่งให้กับรัฐบาล ชีวิตทำงานอยู่กับที่แห่งนี้เป็นเวลาปีกว่าเห็นจะได้ ในช่วงนั้นต้องทำงานแล้วต้องไปเรียนภาคค่ำเป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้อดทนพอสมควร
ที่มาเรื่องลายมือที่สวยของโซเฟียนั้น เริ่มมาจากความสามารถด้านการวาดภาพ และการเรียนภาษาจีนจะมีการคัดลายมือเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวก็ว่าได้ที่โซเฟียเป็นคนเขียนภาษาจีนสวยมาก มีเรื่องขำ ๆ ที่โซเฟียอดจะอมยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงคือ สมัยนั้นใครลายมือสวยส่งจดหมายไปขอรูปดาราแล้ว
โซเฟียทำงานให้เถ้าแก่ที่สำนักงานทนายความด้วยความขยันขันแข็งตลอดมา จนวันหนึ่งโซเฟียได้ปั่นจักรยานไปส่งเอกสารให้กับรัฐบาลตามปกติ และไม่รู้ว่าหน้าตาของโซเฟียไปสะดุดตาผู้สร้างหนังได้อย่างไร
เจ้าของหนังยังไม่ละความพยายามได้มาหาโซเฟียเป็นวันรุ่งขึ้นได้มาพบปู่อีกครั้งเพื่อมาขอให้โซเฟียไปเล่นหนัง
บรรดาเหล่าดาราเหล่านั้นก็จะส่งรูปมาตามที่ขอ ดังนั้นสมัยเรียนเพื่อนๆ เห็นว่าโซเฟียเขียนหนังสือสวย จึงมาขอให้เขียนจดหมายไปถึงดาราเพื่อขอรูปดารา โซเฟียคิดว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนหนังสือสวย จึงได้รับการติดต่อให้ไปเล่นหนัง โซเฟียรู้สึกดีใจและหวั่นใจอยู่ว่าปู่คงไม่อนุญาตให้เล่นหนังอย่างแน่นอน โซเฟียจึงได้ให้เจ้าของหนังไปขออนุญาตโดยตรงกับปู่เอง และคำตอบก็เป็นไปตามที่โซเฟียคาดไว้ คือปู่ไม่ยอมให้เล่นหนัง คราวนี้คุณปู่ไม่ได้ปฏิเสธอย่างเดียวปูได้เอาไม้มาไล่ตีให้เขาออกไปจากบ้านทันที
เมื่อปู่ปฏิเสธอย่างหนักแน่นเช่นนี้
แสดงว่าปู่ไม่อยากให้โซเฟียเล่นหนังจริงๆ โซเฟียจึงได้บอกกับทางเจ้าของหนังว่า “อย่ามายุ่งกับฉันอีกเลย เดี๋ยวฉันจะต้องถูกคุณปู่ตีอีก”
เมื่อโซเฟียไม่ยอมแสดงหนัง เจ้าของหนังได้ยื่นข้อเสนอใหม่ให้โซเฟียเป็นนางแบบถ่ายโฆษณาสินค้าแทน ตอนแรกที่รับงานโซเฟียก็กลัวปู่จะเห็นแต่งานถ่ายแบบโฆษณาก็ผ่านไปได้ด้วยดี โซเฟียชักได้ใจที่ปู่จับไม่ได้ว่าแอบทำงานถ่ายแบบจึงรับปากเจ้าของหนังแสดงหนังบ้างเมื่อมีบทที่เหมาะสม
โซเฟียได้ลาออกจากงานที่สำนักทนายความมาเป็นนางแบบอย่างเดียว ตลอดเวลาที่ทำงานในอาชีพนางแบบกว่า 3 ปี โซเฟียได้ส่งตัวเองเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยทางด้านศิลปะจนจบ
อาชีพนางแบบถ่ายโฆษณาที่รับทำนั้น มีงานหนึ่งที่โซเฟียชอบมากที่สุดคือ การถ่ายโฆษณาถุงน่อง สาเหตุที่ชอบเพราะว่าไม่ต้องใช้รูปร่างหน้าตา นั่นหมายความว่าปู่ไม่รู้ว่างานนั้นเป็นงานที่โซเฟียทำนั่นเอง ตลอดที่ทำงานนางแบบโซเฟียปกปิดไม่ให้ปู่รู้มาโดยตลอด โซเฟียรู้ว่าปู่ไม่ชอบให้โซเฟียทำงานพวก ดารา นางแบบ อะไรทำนองนี้
โซเฟียไม่คิดว่าอาชีพนางแบบจะทำเงินได้มากมายขนาดนี้ มีเงินให้ปู่และยังเก็บหอมรอมรบซื้อบ้านได้หนึ่งหลัง ต่อมาปู่มีสุขภาพไม่แข็งแรงไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้ ต้องเข้า ๆ ออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ช่วงนี้เองปู่เริ่มสงสัยว่าโซเฟียเอาเงินมาจากไหนมาเป็นค่าใช้จ่าย โซเฟียก็แก้ตัวเลี่ยง ๆ ไปว่า ขยันทำงานพิเศษ และเถ้าแก่ใจดีเพิ่มเงินให้เยอะแยะ นั่นเป็นครั้งแรกที่โซเฟียโกหกปู่เพื่อให้ปู่สบายใจ
ความตายเป็นสัจธรรมชีวิตของคนเรา
ปู่ได้เสียชีวิตขณะที่อายุได้ 99 ปี การที่ปู่มีอายุยืนยาวอยู่กับโซเฟียนานทำให้มีความรักความผูกพันมาก โซเฟียรู้แต่เพียงว่าเกิดมาลืมตาดูโลก ก็มีปู่อยู่ข้าง ๆ แล้ว ความรู้สึกที่มีต่อปู่เป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบายหรือกลั่นกรองเป็นคำพูดออกมาได้
คำพูดและคำสอนทุก ๆ คำของปู่เป็นสิ่งที่สร้างให้โซเฟียเป็นโซเฟียมาจนถึงทุกวันนี้ อดทนไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากของชีวิต ในวันที่ไม่มีปู่ปลอบโยน ไม่มีปู่คอยปกป้อง มันทำให้โซเฟีย คิดถึงความรักของปู่ ความรักเปรียบเป็นน้ำทิพย์ปลอบประโลมจิตใจยามอ่อนแอ
โซเฟียสัญญาว่าจะรักตัวเองให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อปู่อันเป็นที่รักของเธอ
ตอน
-------------------
3 ความรักขำๆ เมื่อยังเอาะๆ(แฟนฉัน)
ความรักครั้งแรกของโซเฟียนั้นต้องบอกว่าเป็นเรื่องตลกปนเศร้า ที่อยู่ในใจของโซเฟียไม่รู้ลืม มาถึงวันนี้แม้ว่าจะผ่านมากว่า
โซเฟียเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นนั้นมีรูปร่างน่าตาน่ารักจัดว่าสวยติดระดับแนวหน้วจนเป็นคำร่ำลือแบบปากต่อปาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หน้าร้านขายของของปู่จะมีหนุ่ม ๆ เข้าแถวมาขายขนมจีบกันจำนวนมาก
40 ปี ทุกครั้งที่โซเฟียนึกถึงขึ้นมาครั้งใดจะรู้สึกขำๆ ตัวเองเหมือนกัน จะว่าไปแล้วนั่นเป็นความสุขเล็กๆ สมัยอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวนั่นเอง
จนวันหนึ่งผู้ชายที่อยู่เงียบ ๆ ข้างบ้านทนแรงขับดันในจิตใจของตนเองไม่ไหว เขาได้เขียนจดหมายถึงโซเฟียโดยจดหมายนั้นได้ใช้กล่องขนมปังที่ซื้อจากร้านโซเฟียนั่นเอง
ผู้ชายข้างบ้านของโซเฟียคนนี้ เป็นคนหล่อมากถึงมากที่สุด เรียกว่าเป็นพระเอกหนังได้สบาย ๆ เท่าที่โซเฟียสัมผัสได้เขาเป็นผู้ชายซื่อ ๆ ไม่มีพิษภัย เป็นคนเงียบขรึมไม่ยอมพูดกับใครง่าย ๆ หรืออีกนัยหนึ่งเขาเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว
วิธีการที่จีบของชายข้างบ้านนี้แปลกแต่ทว่าสะดุดตาโซเฟียคือการใช้กล่องขนมปังแทนกระดาษ ข้อความในจดหมายที่เขียนถึงที่โซเฟียอ่านครั้งใดต้องอมยิ้มทุกครั้ง
ผมรักคุณ
ผมอยากจะเห็นหน้าคุณ
เป็นข้อความที่แสนจะธรรมดาแต่ทว่าทำให้ใจน้อย ๆ ของโซเฟียชุ่มชื่นได้นั่นคงเป็นเพราะเราเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันและวิธีที่เขาใช้นั้นทำให้โซเฟียไม่รู้สึกว่าเขากำลังรุกมากเกินไป
แต่มันไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะฆ่าตัวตาย
มันเป็นข่าวร้ายที่สุดที่โซเฟียได้รับ เพราะไม่กี่วันนี้เขายังเขียนจดหมายบอกรักและโซเฟียยังยืนมองเมื่อเขาเดินผ่านหน้าร้าน หน้าตาของเขานั้นไม่ได้บ่งบอกว่าเศร้าหรือมีปัญหาหนักหนา จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าจะผูกคอตาย
โซเฟียน้ำตาไหลและร้องไห้ใหญ่ โซเฟียก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เป็นแฟนหรือเกี่ยวข้องอะไรกันเลย เป็นเพียงคนรู้จัก เป็นเพื่อนบ้านเท่านั้นเอง โซเฟียมารู้ตอนหลังว่าเขาป่วยเป็นโรคหัวใจต้องใช้เงินรักษามาก พ่อของเขาเป็นเพียงข้าราชการจน ๆ เขาไม่อยากอยู่เป็นภาระของพ่อจึงตัดสินใจแก้ปัญหาชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย
โซเฟียไปร่วมงานศพของเขาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นอะไรกับเขา เมื่อถึงงานโซเฟียกลับไปนั่งร้องไห้เป็นการใหญ่ ซึ่งตอนนั้นโซเฟียเสียใจกับการจากไปของเขาด้วยใจจริง ปู่เห็นโซเฟียร้องไห้จึงถามว่า
เขาเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นความทรงจำที่ดี เป็นความรักที่ยังไม่ทันจะสานต่อช่วงวัยหนุ่มวัยสาวของโซเฟียที่คิดถึงทีไรก็อมยิ้มได้ทุกที
ทุก ๆ วันชายคนนี้จะเดินผ่านหน้าบ้าน และหย่อนจดหมาย อีกใจหนึ่งโซเฟียก็คิดว่าเขาคงเหมือนหนุ่ม ๆ ที่มาจีบทั่วไปที่ชื่นชมและหลงรักเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น“เขาตายแล้วเกี่ยวอะไรกับเราด้วย ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่ได้” ตอนนั้นโซเฟียอยากจะตอบปู่เหลือเกินว่า อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เคยบอกรักเราผ่านเศษกระดาษกล่องขนมปัง
นอกจากนี้โซเฟียยังมีเรื่องตลกอีกหลายเรื่องที่อยากจะบอกเล่าให้ฟัง
เรื่องกางเกงขาสั้นนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่โซเฟียคิดถึงแล้วต้องนั่งอมยิ้มขำ ๆ เรื่องมีอยู่ว่า สมัยก่อนโซเฟียชอบใส่กางเกงขาสั้นตามแฟชั่นสมัยนิยม
โซเฟียไม่กล้าพูดอะไรกับพ่อในตอนนั้นเพราะกลัวว่าเมื่อพูดไปแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่
จำได้ว่าตอนนั้นยังไม่ได้เป็นนางแบบและยังไม่ได้ทำงานที่สำนักงานทนายความ ด้วยความที่โซเฟียเป็นผู้หญิงขาสวยโซเฟียจึงชอบใส่กางเกงขาสั้น ตอนนั้นบ้านที่โซเฟียอาศัยอยู่อยู่ติดถนนทำให้มีรถผ่านไปผ่านหน้าบ้านมาตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นใครผ่านหน้าบ้านโซเฟียสังเกตเห็นว่าคนที่ขับรถผ่านหน้าบ้านหลายคนชอบมองมาที่ขาของโซเฟียกันทั้งนั้น จนเรื่องขำ ๆ นี้ได้เกิดขึ้นในวันหนึ่ง โซเฟียได้เดินอยู่แถวหน้าบ้านตามประสาววัยรุ่น ก็ได้มีรถแท็กซี่คันหนึ่งขับผ่านหน้าบ้าน คนขับรถแท็กซี่คันนี้มัวแต่มองมาที่ขาของโซเฟียจนไม่ทันระวังและมองทางข้างหน้า ทำให้รถของเขาเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า อุบัติเหตุครั้งนั้นส่งผลทำให้ไฟฟ้าในย่านนั้นดับหมดเลย โซเฟียจำได้ว่ามันเป็นอะไรที่ตลกมาก ๆ เป็นตลกที่มาพร้อมกับความมืดของคนแถวนั้น โซเฟียจำได้ว่าพอไฟดับพ่อที่อยู่ในบ้านรีบวิ่งมาถามโซเฟียที่ยืนอยู่หน้าบ้านว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมไฟฟ้าถึงดับ โซเฟียจึงชี้ให้พ่อดูที่รถแท็กซี่ พ่อถามว่าทำไมแท็กซี่ถึงชนเสาไฟฟ้า โซเฟียได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น จะให้โซเฟียบอกพ่อได้อย่างไรว่า คนขับแท็กซี่มองขาลูกสาวพ่อจนเพลินจนขับรถชนเสาไฟฟ้า หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ยังคงไม่รู้ว่ารถแท็กซี่ชนเสาไฟฟ้าต้นเหตุมาจากขาของโซเฟีย เพราะความจริงๆ แล้วตอนนั้นโซเฟียเห็นว่าคนขับรถแท็กซี่มองมาจึงส่งยิ้มให้เป็นการทักทาย หรืออาจถูกตีได้ เพราะสมัยก่อนคนโบราณชอบลงโทษลูกด้วยการตีอย่างเดียว จะว่าไปแล้วเด็กๆ วัยรุ่นสมัยนี้สบายกว่าสมัยที่โซเฟียเป็นวัยรุ่นมากๆ
เรื่องขำ ๆ อีกเรื่องที่ประทับใจโซเฟียก็คือ เรื่องกดกริ่งที่ประตูหน้าบ้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดตอนเรียนภาคค่ำ ชีวิตช่วงนั้นปู่จะเข้มงวดมากคงเป็นเพราะปู่เห็นว่าโซเฟียโตเป็นสาวแล้วแถมสวยด้วยจึงคอยจับตาดูว่ามีหนุ่ม ๆ มาเกาะแกะหรือเปล่า หากปู่รู้ว่ามีแฟนหรือมีเพื่อนผู้ชายก็จะลงโทษด้วยการตีทำให้โซเฟียกลัวและระวังเรื่องนี้มาก
ปู่จะห่วงและหวงมากถึงขนาดเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วปู่จะต้องออกมาส่องดูที่หน้าบ้านว่ามีใครมาส่งหรือเปล่า มีหลายครั้งที่มีหนุ่ม ๆ แอบตามมาส่งเพื่อดูว่าบ้านโซเฟียอยู่ไหน โซเฟียรู้ว่ามีหนุ่มเดินตามก็จะแกล้งเดินไปหยุดที่หน้าบ้านคนรวยที่มีบ้านหลังใหญ่ ๆ แล้วแกล้งทำเป็นกดกริ่งที่ประตูหน้าบ้าน ความจริงไม่ได้กดจริงหรอกแค่หลอกหนุ่ม ๆ ที่ตามมา หนุ่มพวกนั้นพอเห็นว่าโซเฟียกดกริ่งประตูบ้านพวกเขารีบเดินกลับไปเลย
โซเฟียเข้าใจว่าพวกหนุ่มคงกลัวก็ได้ แบบว่าวาดภาพว่าพ่อแม่จะออกมาต่อว่า ดังนั้นทุกครั้งที่มีหนุ่มๆ เดินตามหลังเลิกเรียนโซเฟียก็จะนำมุกแบบนี้มาใช้ทุกครั้ง
วันนี้แม้จะผ่านมา 40 ปีแล้วนึกถึงเรื่องนี้ทีไรโซเฟียก็จะอดสงสารพวกหนุ่ม ๆ เหล่านั้นไม่ได้
เป็นเรื่องตลกมากเลยเพราะเมื่อโซเฟียเห็นหนุ่ม ๆ เดินกลับไปแล้ว โซเฟียก็ต้องรีบวิ่งกลับไปบ้านทันที
โซเฟียถือว่า 3 เรื่องน่ารักที่นึกถึงทีไรก็มีความสุขเล็ก ๆ ของวัยหนุ่มสาวของตนเอง
ตอน
4 ถูกจับขังคอนโดเพราะแรงรัก
-------------------
ชีวิตของโซเฟียช่วงนี้เป็นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
โซเฟียนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้อีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
โซเฟียตัดสินใจรับไมตรีของหนุ่มคนหนึ่ง เขาอายุ 20 ต้น ๆ รูปร่างหน้าตาดี แถมเป็นลูกอาเสี่ยร่ำรวยมหาศาล บ้านของเขาและบ้านโซเฟียห่างไกลกันพอสมควร โซเฟียและเขาเรียนที่เดียวกัน หลังเลิกเรียนเขาจะคอยรับโซเฟียไปส่งที่บ้านทุกวัน แต่โซเฟียไม่เคยให้เขาไปส่งถึงที่บ้านแม้แต่ครั้งเดียว
วันหนึ่งเขาได้บอกโซเฟียว่า แม่ของเขาแนะนำผู้หญิงฐานะดีให้แต่เขาไม่สนใจ เขาบอกว่าเขารักโซเฟียมากจนไม่อาจมีใจให้ใครได้อีก และเขาได้ขอโซเฟียแต่งงาน โซเฟียแบ่งรับแบ่งสู้เพราะในใจนั้นโซเฟียยังไม่ได้รักเขาคนนี้ เพียงแต่เห็นเขาเป็นเพื่อนที่ดีและเป็นสุภาพบุรุษที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง จึงตอบเขาไปแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นว่า ต้องการเรียนหนังสือให้จบก่อน และหากพ่อรู้เรื่องนี้คงต้องถูกตีแน่ ๆ
จนวันหนึ่งโซเฟียได้รู้ว่า คนสวยเกินไปก็เป็นภัยกับตัวเองได้เหมือนกัน
เป็นช่วงทีโซเฟียได้เรียนรู้ชีวิตอีกแง่มุมหนึ่ง โซเฟียยังคงเป็นสาวป๊อปปูล่าเช่นเดิมหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ตามจีบ จะเรียกว่าเป็นช่วงขึ้นหม้อก็ว่าได้ เขาเทียวรับเทียวส่งโซเฟียอย่างนี้อยู่ประมาณ 6 เดือน อาจเป็นเพราะความเป็นสุภาพบุรุษไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวโซเฟียทำให้โซเฟียไว้ใจเขามากขึ้น จึงให้ความสนิทสนมในระดับหนึ่ง
เขาใช้ความความไว้ใจที่โซเฟียมีให้หลอกให้โซเฟียไปดูคอนโด โดยบอกว่าเป็นคอนโดที่พ่อซื้อให้เขาอยากให้โซเฟียช่วยดูและขอคำแนะนำ โซเฟียตามเขาไปในใจไม่คิดระแวงอะไรคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ขอความช่วยเหลือก็เท่านั้นเอง แต่เมื่อไปถึงคอนโด เขาบอกโซเฟียว่า
อยากจะให้โซเฟียอยู่ที่คอนโดนี้ไปก่อน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้โซเฟียก็อมยิ้มขำ ๆ เพราะโซเฟียยังไม่ทันได้ตอบตกลงอะไรทั้งสิ้น
คิดว่าเขาคงพูดเล่นตามประสาหนุ่มสาว โซเฟียมาขนลุกและนึกกลัวก็ก็เมื่อเขาพูดว่า คุณต้องอยู่ที่นี้จนกว่าจะยอมแต่งงานกับเขา
โซเฟียปฏิเสธอัตโนมัติ
เมื่อเขาจากไปโซเฟียเริ่มเดินสำรวจห้อง เป็นห้องว่างเปล่าไม่มีอะไร นอกจากที่นอน โซเฟียพบว่าหน้าต่างห้องไม่ได้ล็อค
วันที่สองของการกักขัง มีเพื่อนของเขามาหาที่คอนโดและเพื่อนของเขาคนนี้ก็รู้จักโซเฟียด้วย ดังนั้นโซเฟียจึงขอความช่วยเหลือให้เขาไปบอกพ่อให้ไปแจ้งตำรวจให้มาช่วย เพื่อนของเขาก็ดีมากได้ไปบอกพ่อแต่บังเอิญแม่เลี้ยงอยู่ด้วยได้พูดยุยงให้พ่อเข้าใจผิด พ่อโกรธโซเฟียมาก คิดว่าโซเฟียตามเขาไปจึงฝากบอกกับเพื่อนเขามาว่า
จะบ้าหรือยังไง ก็ฉันไม่ได้รักเขาซะหน่อย เหลือแต่ชุดชั้นใน ตอนนั้นโซเฟียกลัวมากคิดว่าคงถูกข่มขืนแน่แล้ว แต่เปล่าเลยเขาเก็บเอาเสื้อผ้าของโซเฟียเดินจากไปทิ้งให้อยู่ในห้องเพียงคนเดียว แล้วเขาก็ล็อคประตูขังโซเฟียทันที ก่อนจากไปเขาได้พูดขอร้องให้ยอมแต่งงานกับเขาดี ๆ แล้วเขาจะกลับมาเอาคำตอบ โซเฟียยิ้มและคิดว่าเขาประเมินโซเฟียต่ำไป เขาคิดว่าโซเฟียคงไม่กล้าที่หนีออกทางหน้าต่าง อีกทั้งเสื้อผ้าก็ไม่มีให้ใส่ สวมแค่ยกทรงกางเกงใน เมื่อโซเฟียนึกถึงครั้งใดก็อดขำตัวเองไม่ได้“ช่างมันเหอะมันไปรักกับพวกจิ๊กโก๋ เดี๋ยวจิ๊กโก๋คงปล่อยมันกลับมาเอง”
คำพูดนั้นทำให้โซเฟียโกรธพ่อมาก น้อยใจและเสียใจจนเกิดทิฐิ เพราะชีวิตที่ผ่านมาของโซเฟียรู้สึกกดดันมากไม่ว่าเรื่องแม่เลี้ยงลูกเลี้ยง โซเฟียคิดว่าตัวเองถูกพ่อทอดทิ้งปล่อยให้ต่อสู้ชีวิตด้วยตนเองมาโดยตลอด วินาทีนั้น โซเฟียคิดจะฆ่าตัวตายอย่างเดียว จึงเดินไปที่หน้าต่างมองลงไปเห็นสนามหญ้า คิดว่ากระโดดลงไปด้านล่างให้ตายไปเลย
โซเฟียเดินไปเดินมาคิดถึงเรื่องฆ่าตัวตายอยู่ประมาณ 10 นาที เมื่อคิดมาถึงว่า คนเราเกิดมาต้องตายทุกคน จึงตัดสินใจกระโดดลงมาหน้าต่างห้องทันที ในตอนนั้นคิดว่าคงตายแน่ ๆ แต่นรกไม่เปิดรับ สวรรค์ยังมีเมตตาโซเฟียตกลงมาที่สนามแฉะ ๆ นุ่ม ๆ เหมือนพรม ไม่ใช่พื้นดินแข็งวินาทีนั้นเองโซเฟียบอกตัวเองว่าต้องมีชีวิตอยู่
โซเฟียร้องตะโกนขอความช่วยเหลือทำให้คนรับใช้ที่อยู่บ้านใกล้เคียงออกมาดู ครั้งแรกคนรับใช้คนนั้นตะโกนถามโซเฟียว่า
ยังไม่ทันกินข้าวอิ่มโซเฟียกลัวเขากลับมาจึงบอกลาคนใจดีแล้วเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ระหว่างนั่งแท็กซี่จะกลับบ้านโซเฟียหันกลับไปเห็นเขาคนนั้นยืนอยู่ที่ด้านหน้าคอนโดพอดี
โซเฟียยังคงหิวข้าวอยู่จึงแวะกินข้าวขาหมูร้านใกล้บ้าน พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจ้าของร้านฟัง เจ้าของร้านสงสารเลยให้กินข้าวขาหมูฟรีไม่คิดเงิน พอกินเสร็จโซเฟียจึงเดินกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้านโซเฟียเกิดความคับแค้นใจและกดดันมากที่พ่อไม่สนใจความเป็นอยู่ของตนเอง จึงไปถามพ่อว่า ทำไมถึงใจดำ ทำไมไม่ไปช่วย โซเฟียพูดไปก็ร้องไห้ไปอย่างคับแค้นและน้อยใจ พร้อมทั้งบอกพ่อว่าที่ รอดมาได้นี้เพราะโซเฟียช่วยตัวเอง
พ่อไม่พูดอะไร โซเฟียยิ่งเสียใจ คิดไปว่าพ่อไม่ต้องการลูกคนนี้แล้วจึงตัดสินใจออกจากบ้านในคืนนั้นเลย ขณะนั้นปู่ยังมีชีวิตอยู่ปู่ก็ได้แต่ยืนร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“เธอเป็นขโมยหรือเปล่า ทำไมใส่ชุดชั้นในแบบนี้” โซเฟียอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟัง และบอกว่าถูกขังมา 2 วันไม่ได้กินข้าว พอได้อธิบายแบบนี้คนผู้ใจดีคนนั้นก็เชื่อได้ให้ความช่วยเหลือหาอาหารมาให้กินและเอาเสื้อตัวยาวๆ มาให้ใส่ แล้วบอกให้โซเฟียรีบไปทันทีไม่เช่นนั้นผู้ชายที่ขังโซเฟียอาจกลับมาเห็นจะสายเกินไป จึงเรียกได้ว่าเป็นความโชคดีของโซเฟียจริงๆ ที่ตัดสินใจตัดสินใจกระโดดลงมาจากคอนโดไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในห้องบ้าง
ตอน
-------------------
5 สุดยอดสามี...ดำๆ เตี้ยๆ
หลังจากออกจากบ้านมาใช้ชีวิตโดยลำพัง ช่วงแรกโซเฟียได้มาอาศัยอยู่กับเพื่อนสาวคนหนึ่ง ชีวิตที่สนุกสนานในรั้วมหาวิทยาลัยทำให้โซเฟียมีความสุขลืมเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาได้บ้าง เป็นอีกครั้งหนึ่งของชีวิตที่มีความรักพัดผ่านเข้ามา
วันหนึ่งมหาวิทยาลัยมีงานปาร์ตี้เลี้ยงรุ่น โซเฟียและเพื่อนสาวได้ไปร่วมงาน ภายในงานนี้เองเพื่อนสาวคนนี้ได้แนะนำให้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง ในสายตาของโซเฟียนั้นเขาช่างเป็นคนที่มีหน้าตาที่ขี้เหร่มาก
ๆ เตี้ยก็เตี้ย ดำก็ดำ
เพื่อนสาวแนะนำว่า ผู้ชายคนนี้เป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน เป็นคนจีนแต้จิ๋ว ครอบครัวทำธุรกิจอยู่ประเทศเวียดนาม ซึ่งต่อมาก็คือสามีของโซเฟียนั่นเอง
สามีเมื่อได้พบโซเฟียแล้วเขาก็เหมือนถูกศรรักของกามเทพเข้าอย่างจัง
ความรักเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ในใจของโซเฟียที่โหยหาความอบอุ่นโหยหาคนดูแลเอาใจใส่ นั่นอาจเป็นเพราะว่าโซเฟียขาดแม่ตั้งแต่เด็กและพ่อก็ไม่ค่อยสนใจใยดี เหมือนว่าสามีคนนี้เข้ามาถูกทิศถูกทาง เติมความรักความห่วงใจที่ขาดหายไปให้เต็มมากขึ้น โซเฟียจึงรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อได้อยู่ใกล้เขา
โซเฟียตัดสินใจคบหากับสามี ในช่วงแรกที่เริ่มคบหากันโซเฟียไม่ได้สนใจว่าเขาเป็นใครมาจากไหน มีพ่อแม่พี่น้องหรือฐานะเป็นอย่างไร โซเฟียรักเพราะเป็นเขาและมีความสุขที่ได้รัก และเช่นกันช่วงแรกสามีก็ไม่รู้ว่าโซเฟียนั้นเป็นทำงานเป็นนางแบบระหว่างเรียนอยู่ เขาคิดว่าโซเฟียเป็นนักศึกษาเรียนหนังสืออย่างเดียว
จนกระทั่งวันหนึ่งความลับแตก สามีได้พาออกไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกันตามประสาหนุ่มสาว สามีเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆ
โซเฟียคบกับสามีได้ประมาณ 2-3 ปี ก็เรียนจากมหาวิทยาลัย สามีจึงได้โซเฟียไปอยู่ด้วยที่ฮ่องกง พอเดินทางไปถึงบ้านก็พบกับปัญหาทันที
พ่อและแม่ของสามีไม่ชอบโซเฟีย โดยพยายามชี้ให้ลูกชายเห็นคล้อยตามว่าโซเฟียไม่มีแม่กล่อมเกลานิสัยดูแลใกล้ชิดอาจจะมีนิสัยที่ไม่ดีซ่อนอยู่ ยิ่งพวกเขารู้ว่าโซเฟียเคยเป็นนางแบบยิ่งคิดและจินตนาการถึงโซเฟียไปต่าง ๆ นา ๆ เช่น นิสัยไม่ดี แต่งตัวโป๊ไม่เรียบร้อย ไม่มีความเป็นกุลสตรีแม่บ้านแม่เรือน ลงท้ายด้วยไม่คู่ควรกับลูกชายของพวกเขาด้วยประการทั้งปวง พ่อแม่ของสามีได้หาสาวเวียดนามที่สวยและมีฐานะร่ำรวยทัดเทียมกันไว้ให้และพยายามให้สามีแต่งงานด้วย แต่สามีก็ปฏิเสธยืนยันว่าผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วยคือโซเฟียคนเดียวเท่านั้น
แม่ของสามีไม่ล่ะความพยายามได้ส่งน้องสาวนำเช็คระบุจำนวนเงิน 1 ล้านบาทมาให้โซเฟียเพื่อเลิกกับสามี วินาทีนั้นโซเฟียโกรธมากฉีกเช็คใบนั้นทิ้งทันที โซเฟียร้องไห้เสียใจและบอกให้น้าสาวของสามีกลับไป และบอกกับทุกคนด้วยว่า
การที่โซเฟียฉีกเช็คทิ้งและพูดกับน้าสาวของสามีไปอย่างนั้นทำให้พ่อและแม่ของสามีรู้สึกแปลกใจมากแต่ก็ยังมีอคติอยู่จึงมองว่าโซเฟียดื้อด้านดังนั้นแม่ของสามีจึงเดินทางมาพบโซเฟียที่ไต้หวันด้วยตัวเอง
แม่สามีก็ต้องแปลกใจเมื่อมาพบโซเฟีย
ความคิดของแม่สามีเปลี่ยนไปหลังจากที่มาใช้ชีวิตอยู่กับโซเฟียในไต้หวัน 1 อาทิตย์ แม่สามีพบว่าโซเฟียตื่นตั้งแต่ตี 5 ทำงานบ้าน ทำอาหารเช้าให้กินทุก ๆ วัน โซเฟียทำตัวเป็นปกติแม่สามีได้เห็นแง่มุมชีวิตที่ไม่ได้แต่งแต้มหลอกใครของโซเฟีย
จึงได้เทียวมาตื้อโซเฟียเป็นประจำ ถึงขนาดลงทุนบินไปกลับระหว่างไต้หวันกับฮ่องกงเป็นว่าเล่น ในช่วงแรก ๆ โซเฟียเฉยมากเพราะในใจไม่ไม่รู้สึกนึกชอบเขา แต่ต่อมาความรู้สึกของโซเฟียเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขาเอาใจใส่ดูแลช่วยเหลือทุกอย่างอย่างสม่ำเสมอ ทำให้จิตใจที่เฉยเมยเริ่มหวั่นไหวและกลายเป็นความรู้สึกดี ๆ กับเขาบ้าง เมื่ออยู่ที่ร้านมีคนที่รู้จักมาพูดคุยทักทายโซเฟียหลายคน ความรู้สึกของสามีในเวลานั้นเหมือนไม่พอใจเราอย่างมาก เรียกว่าหึงหวงโซเฟียอะไรประมาณนั้น พอสามีเขากลับมาส่งถึงบ้านเขาจึงถามทันทีว่า ตกลงเธอทำอะไรกันแน่ถึงได้มีคนรู้จักเธอมากแบบนี้ โซเฟียจึงเล่าให้เขาฟังทั้งหมดเขาจึงเข้าใจ“พวกคุณเอาเงินมาซื้อศักดิ์ศรีของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้หรอก กลับไปเสียเถอะ เช็คใบนี้ไม่สามารถตัดความสัมพันธ์ของเราสองคนได้ ความรักจะนำทางเขากลับมาหาฉันอยู่วันยังค่ำ” คำพูดทั้งหมดนั้นพรั่งพรูออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจผู้หญิงที่มั่นในรักคนหนึ่ง ศักดิ์ศรีที่ได้รับการสั่งสอนจากปู่ว่าให้รักษาไว้ยิ่งชีพ มาถึงวันนี้โซเฟียเข้าใจแล้วว่าทำไมปู่ถึงไม่อยากให้โซเฟียแสดงหนังหรือเป็นดารา เพราะคนทั่ว ๆ ไปจะมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี เพราะโซเฟียไม่ได้การแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดเหมือนนางแบบคนอื่น ตรงกันข้ามชีวิตจริงของโซเฟียค่อนข้างจะเรียบง่าย การแต่งตัวออกจะเชยๆ ไปด้วยซ้ำ หน้าตาก็แสนจะธรรมดาไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง
ในที่สุดแม่สามีก็ใจอ่อนให้ทั้งคู่แต่งงานกัน
ตอนที่โซเฟียแต่งงานนั้น ปู่ไม่ได้ว่าอะไร ปู่บอกโซเฟียเพียงว่า
ชีวิตแต่งงานนั้นใช่จะโรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนในหนังในละคร จากที่โซเฟียเคยคิดว่าแต่งงานแล้วชีวิตจะได้มีความสุขเสียทีนั้นคิดผิดเพราะโซเฟียต้องย้ายมาอยู่รวมกับครอบครัวของสามี ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่โซเฟียต้องอยู่นั้นโซเฟียพบว่าสามียังมีพี่น้องอยู่ด้วยกันอีก 8 คน ทุกคนต่างร่วมกันกินกันอยู่กันใช้ทุกอย่างในบ้านแบบกงสี ดังนั้นเมื่อที่บ้านมีคนมาก ปัญหาก็ย่อมมีมากตามมา
ปัญหาที่โซเฟียพบที่นี่ก็คือ
อีกทั้งพ่อและแม่สามีก็ให้การยอมรับลูกสะใภ้คนนี้เพิ่มความรักความเมตตาเพิ่มมาขึ้นกว่าครั้งแรกที่พบกัน“ถ้ารักกันปู่ก็ยินดีด้วย ปู่เชื่อว่าหลานคิดดีแล้ว และผู้ชายคนนี้เป็นคนที่หลานเลือก หากวันข้างหน้ามีอะไรเกิดขึ้นก็อย่าโทษใคร” และหลังจากที่โซเฟียแต่งงานได้ไม่นานเพื่อนสาวที่โซเฟียเคยไปอาศัยอยู่ด้วยตอนออกจากบ้านได้ส่งข่าวว่าปูเสียชีวิต ข่าวการตายของปู่ทำให้โซเฟียเสียใจมากเพราะโซเฟียอยู่กับปู่ตั้งแต่เล็ก ๆ ปู่รักและห่วงใจราวกับว่าเป็นพ่อของโซเฟียอีกคนก็ว่าได้ น้องๆ สามีก็ไม่ค่อยจะยอมรับโซเฟียเป็นพี่สะใภ้ พวกเขาเห็นโซเฟียเป็นผู้หญิงจน ๆ คนหนึ่งที่มาอยู่กับพี่ชายของเขา ดังนั้นน้อง ๆ ของสามีจึงสร้างปัญหาจุก ๆ จิก ๆ มากวนใจโซเฟียมาโดยตลอด โซเฟียไม่รู้จะทำอย่างไรกับปัญหานี้จึงได้แต่นิ่งใช้ความอดทนอดกลั้นเพียงอย่างเดียว
สามีเองตอนที่แต่งงานใหม่ๆ
ชีวิตคู่โซเฟียช่วงแรก ๆ ก็เหมือนคู่หนุ่มสาวทั่วไปมีกระทบกระทั่งกันบ้างเหมือนลิ้นกับฟัน
โซเฟียขอเลิกและไล่ให้สามีไปหาผู้หญิงที่ร่ำรวยที่แม่ของเขาหาไว้ให้ แต่สามีไม่ยอมเลิก ในใจของโซเฟียขณะนั้นคิดจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคนเพื่อหนีปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ แต่เมื่อออกเอ่ยปากขอเลิกกับสามีและไล่ให้เขาไปหาผู้หญิงใหม่ทุกครั้ง สามีก็จะไม่ยอมเลิก ทุกครั้งเขาจะถึงกับนั่งคุกเข่าอ้อนวอนขอให้เห็นใจและอย่าจากเขาไป
เขาก็ดีมาก รักและดูแลโซเฟียอย่างดี แต่ขณะเดียวกันเขาก็ขี้หึงมากๆ ไม่ค่อยยอมให้โซเฟียไปไหนจะชอบให้อยู่แต่ในบ้าน และเมื่อต้องเดินทางไปทำงานที่ไต้หวัน ความที่สามีรักโซเฟียมากบินกลับไต้หวันฮ่องกงสัปดาห์ละ 6-7 ครั้งเลยทีเดียว โดยหลายครั้งที่โซเฟียบอกเลิกกับสามีเพราะความที่ยังอายุน้อยไม่สามารถทนกับความกดดันที่เกิดจากคนในครอบครัวเขาได้ รู้สึกชีวิตไม่มีความสุข อีกทั้งพ่อและแม่ของสามีไม่อนุญาตให้ออกไปใช้ชีวิตคู่ตามลำพังโซเฟียบอกเลิกประมาณ 50 ครั้งได้ สามีถึงกับยอมคุกนับเป็นร้อยครั้งพร้อมกับสาบานเพื่อง้องอน สุดท้ายโซเฟียก็ต้องใจอ่อนเพราะว่ามีความรักเป็นเครื่องพันธนาการไว้
ทุกครั้งที่สามีพูดเรื่องสาบานทำให้โซเฟียนึกถึง คำสาบานที่เขาเคยให้ไว้เมื่อครั้งก่อนแต่งงาน
โซเฟียคิดว่าการได้แต่งงานกับสามีคนนี้คงเป็นพรหมลิขิต เพราะพูดตามความจริงแล้วก่อนหน้านั้นมีผู้ชายหลายคนหน้าตาหล่อระดับพระเอกเรียงแถวเข้ามาจีบ จะมีแต่ก็สามีคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่ขี้เหร่ที่สุด ทั้งเตี้ย ทั้งดำ การมีผู้ชายเข้ามาจีบหรือพัวพันหลาย ๆ คนทำให้โซเฟียได้เรียนรู้และศึกษาอุปนิสัยของคนว่าเป็นอย่างไร โซเฟียเปรียบเรื่องนี้เหมือนการเรียนจัดดอกไม้ การแยกแยะดอกไม้ชนิดไหนเหมาะจะจัดอย่างไร จะจัดวางไว้ที่ไหนในบ้านของเรา และในที่สุดคนที่ขี้เหร่ เตี้ย ดำ อย่างสามีก็เอาชนะจิตใจของสาวสวยอย่างโซเฟียไปได้
อุปสรรคอีกบทหนึ่งที่ได้เกิดขึ้นเพื่อทดสอบชีวิตคู่ของโซเฟีย
เขาบอกว่า ถ้าเขาไม่ได้แต่งงานกับโซเฟียเขาจะยอมบวชเป็นพระตลอดไป น้ำเสียงสามีตอนนั้นดูเข้มจริงจังและจริงใจมากทำให้โซเฟียไม่เคยลืมเลย ประโยคนี้เองทำให้โซเฟียตัดสินใจใช้ชีวิตครอบครัวอยู่กับสามีคนนี้มาเป็นเวลาถึง 30 ปี...ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่โซเฟียตั้งท้องลูกสาวคนแรกสามีก็เริ่มออกเที่ยวกลางคืน ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ใช่เขากำลังเดินออกนอกเส้นทาง แต่โซเฟียก็พยายามคิดในแง่บวกเสมอว่าผู้ชายต้องมีการเจ้าชู้กันบ้างคงไม่เป็นอะไรตราบใดที่เขาไม่ได้คบหาหรือเลี้ยงดูผู้หญิงคนไหนเป็นตัวเป็นตนหรือออกหน้าออกตา
อีกอย่างหนึ่งโซเฟียคิดถึงลูกที่อยู่ในท้องดังนั้นโซเฟียจึงอดทน ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของการทำใจของโซเฟียเพราะโซเฟียรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว ทุกอย่างเหมือนประเดประดังเข้ามาในตอนนั้นปู่ได้เสียชีวิตไปแล้วทำให้โซเฟียรู้สึกขาดที่พึ่ง ส่วนพ่อก็ไม่สนใจเรื่องอะไรของโซเฟียเลย คำพูดของปู่เมื่อครั้งตอนตัดสินใจแต่งงานกับสามีดังก้องอยู่ในหู
โซเฟียได้ใช้ชีวิตคู่อยู่ที่ฮ่องกงอยู่
แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอน
”ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่หลานเลือก หากวันข้างหน้ามีอะไรเกิดขึ้นก็อย่าโทษใคร” โซเฟียเลือกผู้ชายคนนี้แล้วดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นโซเฟียจึงอดทน โซเฟียต้องทนอยู่เพื่อให้ลูกมีทั้งพ่อและแม่เหมือนลูกของคนอื่นๆ เรียนรู้ที่จะปรับตัวรับกับปัญหาต่าง ๆ นานาในชีวิต 4 ปี สามีก็พาไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส ก่อนที่จะย้ายมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวร จนวันนี้โซเฟียผ่านเรื่องเลวร้ายมามากมาย หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องละครน้ำเน่า แต่ทุกเรื่องคือชีวิตจริงของโซเฟีย เมื่อชีวิตคู่ที่โซเฟียเคยคิดว่าจะรักษาไว้เคยฝันว่าครองรักกันไปตลอดชีวิตในที่สุดก็ต้องจบลงแบบไม่เหลือเยื่อใย
ตอน
6 ชีวิตผลัดถิ่นสู่ประเทศฝรั่งเศส ไทย
-------------------
หลังจากที่โซเฟียแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ที่ฮ่องกงได้ไม่นาน
โซเฟียใช้ชีวิตแม่บ้านที่ฝรั่งเศสรวมเวลาได้ 8 ปี โซเฟียก็เหมือนแม่บ้านคนอื่น ๆ ทั่วไปที่ทำทุกอย่างภายในบ้านด้วยตัวเองหมด ที่ฝรั่งเศสไม่มีแม่บ้านดังนั้นหน้าที่ต่าง ๆ ในบ้านโซเฟียจะเป็นผู้จัดการและดูแลเอง แม้ว่าเป็นเพียงงานบ้านแต่โซเฟียก็ตั้งอกตั้งใจทำ เพราะโดยพื้นนิสัยแล้วโซเฟียจะทำอะไรแล้วก็จะทำให้ดีที่สุด
สามีต้องไปทำงานเกี่ยวกับตลาดหุ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ทำให้โซเฟียต้องย้ายตามสามีไปด้วย ต่อมาสามีโซเฟียได้มาตั้งโรงงานเคมีในประเทศไทย จึงบินมาทำธุรกิจที่เมืองไทยก่อนโดยทิ้งให้โซเฟียและลูกอยู่ฝรั่งเศส ผ่านไป 6 เดือนจึงบินกลับมาเยี่ยม
เพื่อนคนจีนที่ฝรั่งเศสเห็นสามีไปทำธุรกิจใหญ่โตที่เมืองไทยนาน ๆ กลับมาทีจึงแนะนำให้โซเฟียย้ายตามสามีไปด้วย เพราะการอยู่ห่างไกลกันหรือแยกกันอยู่คนละทีอาจทำให้มีปัญหาครอบครัวในอนาคต โซเฟียและลูก ๆ จึงตัดสินใจเดินทางตามสามีมาเมืองไทย
ชีวิตที่เมืองไทยทุกอย่างราบรื่นดี วิถีชีวิตของโซเฟียก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนอยู่ที่ฝรั่งเศสเลย ยังคงรับผิดชอบหน้าที่แม่บ้านอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ว่าที่เมืองไทยจะจ้างแม่บ้าน แต่แม่บ้านของโซเฟียนั้นไม่ต้องทำอะไรเลยมีหน้าที่แค่ถูบ้านอย่างเดียว
งานประจำของโซเฟียเริ่มจาก ไปส่งลูกไปโรงเรียน แล้วกลับมาทำงานบ้านทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกวาดบ้าน ล้างจาน ล้างห้องน้ำ ไปจ่ายตลาด ทำอาหาร โซเฟียทำงานเหล่านี้ด้วยความตั้งใจและไม่คิดว่าลำบากอะไร โซเฟียคิดว่าตนเองเคยผ่านความยากลำบากมามากกว่านี้แล้ว ความจริงแล้วความลำบากของโซเฟียก็คือ การพูดภาษาไทย นั่นเอง
วันที่โซเฟียมาถึงประเทศไทยครั้งแรกโซเฟียพูดไทยไม่ได้เลยรวมทั้งลูกทั้ง 2 คน ซึ่งตอนนั้นคนโตอายุประมาณ
5 ขวบ และคนเล็กอายุ 2 ขวบ เรียกว่าต้องเริ่มกันใหม่เพราะลูกๆและโซเฟียพูดแต่ภาษาฝรั่งเศสกับภาษาจีนกลางเท่านั้น
โซเฟียพยายามจะเรียนพูดภาษาไทย จึงได้ไปหาซื้อเทปสอนภาษาไทยมาฟังซึ่งจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือการที่คนไทยเรียนพูดภาษาอังกฤษอะไรทำนองนั้น แต่ผลที่ได้รับก็คือโซเฟียยังพูดไม่ได้ เพราะที่หัดพูดตามเทปที่ซื้อมานั้นพอโซเฟียไปพูดกับคนไทยจริง ๆ กลับไม่มีใครฟังรู้เรื่องเลยว่าโซเฟียพูดอะไร
โซเฟียอยากจะไปโรงเรียนสอนภาษาไทยที่เปิดอยู่แถว ๆ บ้านแต่ไม่สามารถทำได้เพราะต้องไปรับลูกที่โรงเรียนและงานบ้านต่าง ๆ ที่ต้องทำประจำ โซเฟียจึงเปลี่ยนแผนใหม่ คือเรียนภาษาไทยกับคนใช้ที่บ้าน
โซเฟียเริ่มหัดพูดหัดฟังจากคนรับใช้ที่บ้าน และพยายามถามและจดคำศัพท์ให้ได้วันละ 10 คำ สมุดจดบันทึกกลายเป็นอุปกรณ์การเรียนภาษาที่สำคัญสำหรับโซเฟียตอนนั้น เพราะว่าเวลาคนใช้พูดหรือสอนอะไรโซเฟียก็จะจดเอาไว้ เมื่อว่างจากการเลี้ยงลูกคนเล็กและการทำงานบ้านแล้ว โซเฟียก็จะหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นออกมาทบทวน พยายามพูดและออกเสียง บางครั้งเปิดโทรทัศน์เรียนรู้ศัพท์และฝึกการฟังควบคู่ไปด้วย โซเฟียทำอย่างนี้อยู่ประมาณ 3 เดือนก็สามารถพูดภาษาไทยได้คล่องขึ้น เรียกว่าสามารถไปจ่ายตลาดพูดแล้วพ่อค้าแม่ค้าเข้าใจไม่ต้องใช้ภาษามือเหมือนตอนแรก ๆ ที่มาเมืองไทยใหม่ ๆ
เคล็ดลับการจดศัพท์วันละ 10 คำนี้ โซเฟียบอกว่าหากใครต้องการเรียนภาษาจีนกลางให้เก่งสามารถนำเคล็ดลับนี้ไปใช้ได้ เพราะภาษจีนกลางมีคำศัพท์มากมายที่ต้องจำ การรู้ศัพท์มากสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ และโซเฟียก็พอใจกับการเรียนพูดภาษาไทยเพียง 3 เดือน แล้วสามารถพูดสื่อสารภาษาไทยได้ในระดับหนึ่ง
จากวันที่เริ่มเรียนรู้ภาษาไทยมาถึงปัจจุบันนี้รวมเวลา 10 ปี ภาษาไทยของโซเฟียนั้นเรียกได้ว่าดีขึ้นมาก สามารถนำไปใช้ได้ในระดับหนึ่ง แต่สำเนียงนี่ยังคงต้องพัฒนาอีก คือโซเฟียพูดภาษาไทยไม่ชัด
โซเฟียมีประสบการณ์เรื่องการเรียนรู้ภาษามาถ่ายทอดอีกคือ ตอนตามสามีไปอยู่ฝรั่งเศส ตอนนั้นการเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสยากกว่าตอนเรียนภาษาไทย เพราะไม่มีคนใช้ให้ศึกษา โซเฟียใช้วิธีเรียนรู้จากลูกทั้ง 2 คน
การเรียนของโซเฟียจะเริ่มที่ลูก ๆ กลับจากโรงเรียนมาอยู่บ้าน โซเฟียจะถามคำศัพท์จากลูกเป็นประจำ ลูก ๆ ของโซเฟียพูดภาษาจีนกลางได้ โซเฟียจึงถามลูกเป็นภาษาจีนกลางว่า อันนี้ ตัวนี้ สิ่งนี้ ภาษาฝรั่งเศสออกเสียงหรือพูดว่าอย่างไร
ลูก ๆ โซเฟียน่ารัก เป็นคุณครูสอนแม่ โซเฟียก็ใช้วิธีเอาสมุดบันทึกมาจดไว้ ท่องและทบทวนเมื่อว่างจากงานบ้าน บางครั้งเวลาไปจ่ายตลาดโซเฟียก็เอาสมุดที่จดภาษาฝรั่งเศสไปด้วย ในที่สุดโซเฟียก็สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้แม้ว่าไม่คล่องแต่สามารถพูดสื่อสารได้รู้เรื่อง โซเฟียพอใจกับตรงนี้เพราะภาษานี้ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิดเหมือน ภาษาจีนกลาง
เวลามีนักข่าวมาสัมภาษณ์โซเฟีย แล้วโซเฟียบอกว่าเป็นคนทำงานบ้านเองเกือบทุกอย่าง เชื่อไหมว่า...นักข่าวคิดว่าโซเฟียล้อเล่น เป็นมุกตลกประจำตัวโซเฟีย
บางคนพูดล้อเล่นว่า
โซเฟียมักจะบอกน้อง ๆ นักข่าวเสมอว่า ทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมแพ้ เหมือนการออกงานสังคมก็เหมือนกัน โซเฟียก็จะต้องแต่งตัวให้สวยไม่ยอมแพ้ใครเหมือนกัน เรียกว่า สู้ตายทุก ๆ งานเลยทีเดียว
การแต่งตัวออกงานนั้น โซเฟียถือคอนเซปที่ว่า สวย เริ่ด เรียกว่าไม่สวยจะไม่ออกจากบ้านเด็ดขาด
มีอยู่ครั้งหนึ่งเพียงแค่โซเฟียก้าวเท้าลงจากรถก็จะมีน้องนักข่าววิ่งเข้ามาสัมภาษณ์ ยังไม่ทันได้ลงทะเบียนเข้างานเลย จนโซเฟียต้องขอร้องนักข่าวว่า เดี๋ยวขอลงทะเบียนก่อน จากนั้นก็มาให้น้อง ๆ สัมภาษณ์พอถูกสัมภาษณ์ จำได้ว่าพูดจนไม่มีเสียงและเหนื่อยมาก โซเฟียเล่าแบบขำ ๆ
โซเฟียจะให้เกียรติกับงานทุกงานที่ไป ได้พบกับน้องนักข่าวบางครั้งมาขอสัมภาษณ์ถูกบ้างผิดบ้าง คือพูดไม่ตรงกับงานที่ไปหรือคอนเซปงานอะไรประมาณนั้น แต่น้อง ๆ นักข่าวก็น่ารักให้อภัยและกำลังใจโซเฟียมาตลอด โซเฟียเลยรู้สึกว่าชีวิตกับงานสังคมคือสิ่งที่สร้างความสุขให้กับตัวเองแม้ว่าจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงก็ตาม แต่การได้ไปงานทำให้โซเฟียเกิดความสบายใจ อย่างน้อยน้องนักข่าวเหล่านั้นก็เป็นเหมือนเพื่อนโซเฟียที่ได้เข้ามาพูดคุยกัน เพียงแค่นี้ก็ทำให้ชีวิตโซเฟียมีความสุขแล้ว
ตอน
-------------------
7 คำสาบานมันเหมือนตด
ชีวิตคู่
30 ปีคือบทเรียนราคาแพงเพราะว่าซื้อด้วยเวลาทั้งชีวิตของโซเฟีย การที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านที่ดีมาตลอด ไม่เคยไปยุ่งหรือก้าวก่ายการงานของสามีเลย งานบ้านในแต่ละวันต้องตื่นตั้งแต่เช้า ไปจ่ายตลาดมาทำกับข้าวให้ลูกๆและสามีกิน เมื่อสามีไปทำงานและลูกไปโรงเรียนแล้ว ก็จะยุ่งวุ่นวายกับการทำความสะอาดจัดบ้านเรือนให้สวย พอตกเย็นก็ทำกับข้าวมื้อเย็นอีกรอบเพื่อรอสามีกลับมากินข้าวเย็น ทำให้โซเฟียไม่เคยไปไหนไกลนอกจากบ้านไปตลาดเท่านั้น
มาถึงวันนี้การเป็นแม่บ้านที่ดี กุลสตรีที่เพียบพร้อม ไม่ได้ทำให้ชีวิตครอบครัวอยู่รอด โซเฟียบอกกับทุกคนว่า ชีวิตคู่จะเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ จึงยกตัวอย่างเรื่องตัวเองประกอบทุกครั้งไป สมัยที่โซเฟียรักกับสามีใหม่ ๆ ตอนนั้นอยู่ที่ไต้หวัน ตัวสามีอยู่ฮ่องกง ความรักทำให้สามีบินไปกลับระหว่างฮ่องกงไต้หวันอาทิตย์ละ 7 วัน จนวันหนึ่งโซเฟียไม่คิดว่าความรักที่เคยมีมันเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
โซเฟียจำได้สมัยที่รักกันใหม่ ๆ ทางบ้านของเขาไม่ยอมรับฐานะของโซเฟีย จำวันที่ร่วมกันฝ่าฟันจนได้อยู่ร่วมกัน จำคำสาบานที่เขาให้ไม่มีวันลืม
“ถ้าเธอไม่ยอมแต่งงานด้วยฉันจะไปบวชเป็นพระ” และจำได้ว่าทุกครั้งที่บอกเลิกเขาจะคุกเข่าอ้อนวอนสาบาน วันที่สามีบอกเลิกกับโซเฟีย ก็เลยนำคำพูดเหล่านี้มาถามเขาว่า“ทำไมเธอทิ้งฉันได้ขนาดนี้ รู้ไหมว่าใจเธอดำมาก”
รู้ไหมว่าสามีตอบกลับมาว่าอย่างไร มันเป็นคำตอบที่เหมือนเหล็กแหลมทิ่มแทงเป็นคำพูดที่โซเฟียไม่คิดว่าจะได้ยิน
“
สิ่งที่สาบานไปในวันนั้นก็เหมือนตด”
ทันใดนั้นเองเขาก็ให้โซเฟียไปส่องกระจกพร้อมกับคำพูดเสียดแทงว่า
”ส่องดูหน้าซะว่าสมัยสาวๆ หน้าตาเป็นอย่างไร วันนี้อายุ 50 หน้าเธอเป็นอย่างไง แล้วจะให้ผมรักเหมือนสมัยที่เป็นสาวๆ ได้อย่างไร”
โซเฟียเสียใจมากๆ ทำให้หล่อนรู้ว่าจริง ๆ แล้วธาตุแท้ของผู้ชายที่ตนเองรักเป็นแบบนี้ ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา โซเฟียไม่เคยนอกใจ ซื่อสัตย์ และทำหน้าที่ภรรยาที่ดีที่พึงทำต่อสามีมาโดยตลอด
โศกนาฏกรรมทางความรักครั้งนี้ทำให้โซเฟียเข็ด ไม่คิดจะเริ่มต้นความรักใหม่กับใครอีก ทั้ง ๆ ที่หลายคนมักจะบอกว่า โซเฟียยังสาวยังสวยอยู่ทำไมไม่หาใครสักคนเป็นเพื่อนเพื่อจะได้ไม่เหงา แต่โซเฟียก็ตอบกลับไปว่า ไม่กลัวความเหงา แต่กลัวความรัก ขนาดสามีที่เคยรักโซเฟียมากมายขนาดนี้ยังทิ้งโซเฟียไปได้ นับประสาอะไร ผู้ชายคนอื่นจะไม่มีคิดเหมือนกัน
โซเฟียมานั่งทบทวนชีวิตคู่
ตอนแรกที่ลูกน้องในบริษัทสามีมาบอกว่าเขากำลังติดพันผู้หญิงคนใหม่
ทุกวันนี้โซเฟียอยู่คนเดียวก็มีความสุขดี เวลาว่างก็ไปทำบุญ สนทนาธรรมกับหลวงพ่อที่เคารพนับถือ โซเฟียไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้เพราะสามีปฏิบัติตัวตามปกติคือจะกลับมาเจอโซเฟียตลอดทั้งเช้าและกลางวัน แล้วเย็นก็กลับบ้านมากินข้าวบ้าน กลางคืนก็อยู่ด้วยตลอดทั้งคืน เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปอยู่กับผู้หญิงอื่น อีกทั้งบริษัทก็อยู่ตรงข้ามกับบ้านของโซเฟียเองเรียกว่าเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง ผู้หญิงที่สามีไปติดพันก็เป็นพนักงานในบริษัทที่มีสามีแล้ว และสามีของผู้หญิงคนนั้นก็มารับมาส่งทุกวัน
ครั้งหนึ่งโซเฟียเคยทดสอบสามี โดยลองถามสามีว่า
เวลาผ่านไปมีนานนักโซเฟียก็เข้าใจถึงคำว่า
วันที่โซเฟียรู้และแน่ใจว่าสามีนอกใจแน่แล้วก็กลับมานั่งงงอยู่ที่บ้าน จนสุดท้ายก็ตัดสินใจบอกกับลูกชาย
โซเฟียฟังคำตอบแล้วทรุดลงกับพื้น ร้องไห้แทบเป็นแทบตาย อีกทั้งสามียังพูดตอกย้ำว่ารักผู้หญิงคนนี้มากและรักกันมาตั้ง 10 ปีแล้ว เขาอยู่ด้วยแต่ร่างกายส่วนหัวใจได้ไปอยู่บ้านหลังโน้นหมดแล้ว ต่อไปนี้โซเฟียจะทำอะไรก็ทำไปเขาไม่สนใจและไม่ใช่เรื่องของเขา คำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากปากสามีทำให้โซเฟียรู้ว่า มันสายไปแล้วเขานอกใจมานานแล้วและที่สำคัญเขาไม่ได้มีความรักหลงเหลืออยู่แล้ว
ตอนนั้นความรู้สึกของโซเฟีย คือ เจ็บปวด แค้นใจ น้อยใจ เสียใจ มันผสมปนเปจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ เพราะชีวิตที่ผ่านมาโซเฟียทุ่มเทให้กับเขาเพียงคนเดียว ทั้งรัก ไว้ใจ ดูแลปรนนิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด หวังจะอยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่าจนตายจากกันไป แต่มาวันนี้โซเฟียบอกตัวเองว่านั่นคือความฝัน ฝันที่ไม่มีโอกาสเป็นจริงได้เลย
ฉันไม่ดีตรงไหน...ฉันทำผิดอะไร...เป็นคำถามที่โซเฟียเฝ้าถามตัวเอง ในห้วงเวลาแห่งความทุกข์นั้น โซเฟียร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตาไหลออกมา ความซึมเศร้าความหมดหวังในชีวิตทำให้ไม่อยากมีชีวิตอยู่
ชีวิตที่ผ่านมาของโซเฟียมีแต่ครอบครัว คือ สามี และ ลูก ๆ เพื่อนหรือคนรู้จักนั้นไม่มีเลย จะมีก็เพียงคนขับรถเท่านั้น โซเฟียไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมานั่งในตำแหน่งเมียหลวง ฟังดูอาจยิ่งใหญ่ แต่สามีไม่รัก
ทำไมพนักงานคนนี้ถึงชอบแต่งตัว ทั้งๆ ที่ทำงานเป็นแค่แม่บ้านดูแลสำนักงาน ทำไมแต่งตัวและแต่งหน้าจัดอย่างนี้ คำตอบของสามีก็คือ ไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับผม เขามีลูกมีผัวแล้ว คำตอบนั้น..มันทำให้โซเฟียหายสงสัยไปเลย ใคร ๆ จะคาดคิดล่ะว่า ประธานบริษัทจะไปมีสัมพันธ์สวาทกับแม่บ้าน และแม่บ้านคนนั้นก็มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว นอกใจและสันดานของผู้ชาย เพราะมีพนักงานในบริษัททนเห็นโซเฟียโง่ไม่ไหว ได้เข้ามาบอกและพาไปดูให้เห็นกับตา สามีได้ไปซื้อบ้านให้ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านคนนั้นและแอบไปอยู่ด้วยกัน ลูกชายได้ต่อว่าพ่อของเขาว่า ทำไมพ่อใจร้ายทำกับแม่แบบนี้ ไม่ให้แม่ไปไหนเลย แล้วจู่ๆ ทำไมพ่อก็มาทิ้งแม่ ไม่ห่วงแม่ ไม่ห่วงความรู้สึกของแม่บ้าง แต่คำตอบที่ลูกชายได้รับคือ ช่วยไม่ได้ แม่ของเธออยากโง่เอง
จริง ๆ แล้วโซเฟียก็ปฏิบัติตัวเองตามธรรมเนียมจีนทุกอย่าง คือผู้หญิงจีนจะมีหน้าที่ดูแลครอบครัว ดังนั้นจะเห็นผู้หญิงจีนทั่วไปไม่ได้สนใจดูแลตัวเองเรียกว่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว โดยไม่เคยแต่งตัวสวยใส่ชุดนอนทั้งวัน และวันๆ หัวก็จะฟู หน้าก็มันเป็นยายเพิ้ง ไม่เคยเข้าร้านทำผม ทำเล็บ มีความคิดที่ว่ามีลูกมีผัวแล้วไม่ต้องไปตกไปแต่งอะไรมาก ทำให้ผู้ชายจีนส่วนมากคิดว่าเมียเป็นของตาย
โซเฟียบอกว่า “ลองดูมือของโซเฟียสิมันทั้งด้านทั้งเหี่ยว เวลาออกงาน นักข่าวจะขอถ่ายรูปเป็นประจำ โซเฟียพยายามซุกไม่ให้เห็นมือเด็ดขาด เอากระเป๋าปิดมือของตัวเองด้วย ชีวิตที่ทุ่มเทให้กับสามีตลอด 30 ปี ผลที่ได้คือความเจ็บปวดที่โซเฟียจะไม่เคยลืมเลยในชีวิตนี้”
ตอน
8 เมียเบอร์ 2 เมียสำรองของสามี
-------------------
ผู้หญิงคนนี้เป็นใครมาจากไหน
?
ความจริงแล้วหล่อนอยู่ใกล้ตัวโซเฟียมาตลอด เพราะหล่อนคือแม่บ้านของโซเฟียนั่นเอง เมื่อครั้งที่โซเฟียมาเมืองไทยใหม่ ๆ หล่อนได้มาช่วยทำความสะอาดบ้าน รับโทรศัพท์ อุปนิสัยหล่อนในสายตาโซเฟียขณะนั้นคือ เป็นผู้หญิงอายุ 20 ต้น ๆ ที่ดูซื่อ ๆ ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ดังนั้นโซเฟียจึงให้ความสนิทสนมกับเธอพอสมควร
จนวันหนึ่งที่โซเฟียได้รับรู้ความจริง จึงถามหล่อนไปว่า
“ทำไมทำอย่างนี้ ไม่เห็นใจกันบ้างหรือ”
คำตอบของหล่อนก็คือ
“หนูอยากรวย หนูอยากมีเงิน ถ้าอยู่กับสามีคนเดิม หนูคงไม่มีวันร่ำรวย มาอยู่กับท่านประธานก็ได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ”
น่าตกใจที่เงินสามารถซื้อชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งได้ และไม่คิดว่าเขาได้เข้ามาแยงสามีของเจ้านายได้ จากวันนั้นถึงวันนี้สามีก็ย้ายไปอยู่กับหล่อนอย่างถาวรและไม่เคยย้อนกลับมาเหยียบบ้านที่เคยอยู่กับโซเฟียอีกเลย
มันเป็นความโง่ของโซเฟียเองที่ไม่สังเกตเห็นสัญญาณอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตคู่เมื่อ 4-5 ปีก่อน
สามีของโซเฟียเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ว่าโซเฟียจะทำอะไรก็ไม่ถูกใจเขาเลย ขนาดว่าซื้อทุเรียนของโปรดของเขามาให้ เขายังถามว่า ซื้อมาทำไม พอโซเฟียตอบกลับว่าเป็นของชอบของคุณไม่ใช่หรือ คำตอบที่เขาตอบกลับมาก็คือ เมื่อก่อนเคยชอบทุเรียนแต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว
โซเฟียเคยซื้อชุดนอนสวย ๆ หวังมัดใจสามี พอใส่เสร็จถามเขาว่า ชุดนี้สวยไหม สามีตอบว่า
มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเขา คำตอบนั้นโซเฟียก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจหรือมาเป็นกังวลอะไร ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เรียกได้ว่าเวลานั้นไม่ว่าโซเฟียจะทำอะไรสามีจะอารมณ์เสียและหงุดหงิดใส่อยู่บ่อยๆ
วันที่สามีจะออกจากบ้าน โซเฟียถามสามีว่า
“ทำไมถึงใจดำทิ้งฉันไป เวลา 30 ปีที่อยู่ด้วยกันไม่ได้มีความหมายเลยใช่ไหม เธอก็รู้ใช่ไหมว่ามาอยู่เมืองไทย ฉันไม่เคยออกไปไหน ไม่เคยเจอใคร ฉันไม่มีเพื่อน ฉันไม่มีใครเลยจริง ๆเพราะเกิดมาก็ไม่มีแม่แล้ว เธอเคยคิดบ้างไหม ว่าผู้หญิงคนนี้จะเดินไปทางไหน”
เป็นสิ่งที่เพิ่มความปวดร้าวให้โซเฟียมากขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบของสามี
เรื่องของโซเฟียนี้อยากจะให้เป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้หญิงอีกหลาย ๆ คน ผู้ชายเมื่อสิ้นรักแล้ว เขาไม่สนใจหรอกว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอย่างไร จะอยู่อย่างไร วันข้างหน้าจะดำเนินชีวิตอย่างไร
คำพูดของสามีนั้นทำให้โซเฟียเคยคิดฆ่าตัวตาย โชคดีที่พระพุทธเจ้าได้มาช่วยเหลือโซเฟียไว้ได้ ทุกวันนี้ไม่ว่าจะทำอะไรโซเฟียจะคิดตลอดว่าพระพุทธเจ้าคุ้มครองอยู่ตลอด พระพุทธเจ้าทำให้มีชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้
ช่วงแรกของการทำใจ โซเฟียได้ข้อคิดจากหลักธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าจากหลวงพ่อหลายรูปที่ไปกราบนมัสการ เวลาไม่สบายใจจิตใจอ่อนแอโซเฟียก็จะให้คนรถขับรถไปวัด ไปขอพบหลวงพ่อซึ่งหลวงพ่อหลายรูปท่านก็ให้ความเมตตาฟังเรื่องราวทุกข์ใจของโซเฟีย พร้อมทั้งสั่งสอนชี้ทางธรรมเป็นการเตือนสติ
โซเฟียจำคำสอนของหลวงพ่อได้...โยมอย่าฆ่าตัวตาย
"ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณจะเดินทางไปทางไหน เพราะผมไม่รักคุณแล้ว แล้วผมก็ไม่สนใจด้วยว่าคุณจะเป็นอย่างไร" แทบไม่น่าเชื่อว่าประโยคนี้เป็นคำพูดของผู้ชายคนหนึ่งที่เราเคยฝากชีวิตเอาไว้กับเขา เมื่อคิดถึงคำพูดเขาครั้งใดหัวใจของโซเฟียก็เจ็บปวด ถึงโยมไม่มีญาติพี่น้องโยมก็ต้องเข้มแข็ง สุขภาพของโยมยังแข็งแรง ยังไม่แก่เท่าไหร่ ขอให้สู้ชีวิตต่อไป บางคนถูกผัวทิ้งเขาไม่มีอะไรเหลือเลย แต่โยมยังมีลูกอีกตั้ง 2 คน ถึงเราไม่มีเขาแต่เรายังมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิม ส่วนผู้หญิงที่แย่งสามีโยมไปสักวันเขาตั้งได้รับกรรมที่ทำไว้ จำไว้นะว่า คนเราเมื่อตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว มาตัวเปล่าก็กลับไปตัวเปล่า ผู้หญิงคนนี้ที่เขาแย่งสามีของเจ้านายไปก็เป็นการสร้างบาปกรรมให้กับตัวเขาเอง โยมโซเฟียก็จงปล่อยเขาไป แล้วก็ขอให้ทำบุญสะสมไปเรื่อยๆ ตายไปเราจะได้บุญตัวนี้ติดตัวไป คนเราตายไปก็มีแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่นำติดตัวไป เงินมีมากเท่าไหร่ตายไปก็เอาไปไม่ได้สักสตางค์เดียว ฉะนั้น สามีจะไปมีเมียใหม่ เมียน้อย ซื้อบ้าน ซื้อของให้ภรรยาใหม่ก็ปล่อยเขาเถอะ ตายไปผู้หญิงคนนี้ก็เอาไปไม่ได้เหมือนกัน วันนี้เขามีทุกอย่าง มีชีวิตที่สบาย แต่พอเขาตายไปเขาก็จะได้รับกรรม คนเราจะร่ำรวยแค่ไหน ยิ่งใหญ่แค่ไหน สุดท้ายก็ต้องตาย ไม่มีใครหนีความตายพ้น…
คำสอนของหลวงพ่อหลายรูปที่โซเฟียไปขอให้ท่านแสดงธรรมชี้ทางสว่างของชีวิตให้ ทำให้โซเฟียเข้มแข็ง มีสติตลอดเวลา ทุก ๆ อย่างก่อนจะทำอะไรโซเฟียจะคิดให้ดีเสียกันเพื่อกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น
...
ช่วงที่มีปัญหาครอบครัว มีคนมาทักว่า ฮวงจุ้ยประตูเข้าบ้านไม่ดี
หลังจากที่ได้ทำแล้วก็รู้สึกสบายใจ
จะทำอะไรก็ตาม ทำแล้วต้องเป็นประโยชน์กับตัวเอง แล้วถ้าสิ่งใสเราทำแล้วไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองก็อย่าไปทำ...คือคำสอนของหลวงพ่ออีกอย่างที่โซเฟียจำไว้อย่างขึ้นใจ เนื่องจากมีประตูเข้าบ้านถึงสองด้าน ตรงนี้จึงได้ไปหาซินแซก็บอกว่าประตูไม่ดี เพราะมีทางเข้าบ้านถึงสองด้าน โดยเป็นบานใหญ่กับบานเล็กทำให้สามีไปมีเมียน้อย ซินแซก็ย้ำว่าบ้านใครก็ตามห้ามมีประตูเข้าหน้าบ้านสองบาน เพราะสามีจะมีเมียน้อย ครั้งที่ซินแซทักให้รื้อทิ้งจึงเห็นว่าถ้ารื้อทิ้งต้องเป็นงานใหญ่ ท่านก็แนะนำว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ประตูปิดโดยไม่ต้องใช้ ทำให้ได้เอากาวมาปิดตายประตูทางเข้าบ้านตรงห้องรับแขก แต่ความเป็นจริงการแก้ฮวงจุ้ยไม่ได้ช่วยให้สามีเลิกกับเมียน้อยได้เลย ทำให้ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องฮวงจุ้ย เพราะทำมาประมาณสี่ปีที่ผ่านมาสามีก็ยังไม่เห็นกลับมาที่บ้านอีกเลย
ตรงนี้อยากบอกว่าสิ่งที่ซินแซทักแล้วเราแก้ไขตามเป็นเรื่องที่ทำให้เราสบายใจมากกว่า
มาถึงวันนี้โซเฟียมองย้อนกลับไปในวันที่ถือมีดกรีดตัวเอง แต่พอคิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าทำไมเราต้องมาตายแบบนี้ ทำไมเราไม่สู้ต่อไป ถึงเราตายไปสามีที่ทิ้งเราไปก็คงไม่กลับมารักเราเหมือนเดิม เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ทำให้คิดถึงคำของหลวงพ่อ...เรายังแข็งแรงทำไมไม่ลุกขึ้นมาทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ
จึงมองว่าเรื่องแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ ความเป็นจริงของชีวิตคงนำอะไรมาช่วยไม่ได้ ทำให้โซเฟียเข้าใจชีวิตมากขึ้นในวันนี้ คนเราจะทำอะไรก็ตามจะต้องช่วยเหลือแก้ปัญหาตัวเองให้ได้เสียก่อนที่จะไปให้ใครมาช่วยเหลือเรา อย่างน้อยให้คนไทยได้รู้จักเราว่าเป็นคนอย่างไร อะไรสามารถทำให้กับประเทศชาติเราก็จะทำ อย่างน้อยเมื่อเราตายไปชื่อเสียงเราก็ยังมีคนพูดถึง...
วันนี้โซเฟียได้ไปเป็นอาจารย์สอนภาษาจีน สอนมาได้เกือบ
3 ปีแล้ว ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น ได้ทำประโยชน์ให้คนไทย
ตอน
9 เมื่อชีวิตสู่งานสังคม
-------------------
ปี 2544 โซเฟีย ลา เป็นเพียงผู้หญิงต่างชาติคนหนึ่งที่สามีทิ้ง อาศัยอยู่เมืองไทยแบบไร้ญาติขาดมิตร ยามมีปัญหาไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปปรึกษาใคร
หลังจากที่สามีจากไป โซเฟียก็จมอยู่กับความเศร้า กลายเป็นคนคิดมาก นอนไม่หลับ ทำให้ชีวิตไฮโซได้เริ่มขึ้นในคืนวันหนึ่ง
ความทุกข์ความเจ็บปวดทำให้โซเฟียนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมาตอนตี 3 และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ความเครียดที่ไม่มีทางระบายออกนำทางให้โซเฟียออกไปเรียกรถตุ๊ก ๆ หน้าบ้าน แล้วบอกคนขับรถว่าให้ขับไปเรื่อย ๆ นั่งไปก็จะร้องไห้ไปจนกระทั่งใกล้เช้า คนขับรถตุ๊ก ๆ ก็พาไปส่งไว้ที่สวนลุมพีนี
โซเฟียสับสนในชีวิตทำให้เดินคิดเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดในชีวิต หวังให้ความสงบทำให้ตัวเองมีสติมีสมาธิในการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองบ้าง
แต่ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นหูของโซเฟียก็ได้ยินเสียงเรียกของใครบางคน
“
“
หนู ๆ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนพี่หน่อย พี่วิ่งไม่ไหว ใจพี่สั่น ๆ อย่างบอกไม่ถูก”พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” โซเฟียถาม
“
ไม่เป็นไร เพียงแต่พี่มีโรคหัวใจเป็นโรคประจำตัว”
เสียงนั้นเป็นเสียงของหญิงสูงอายุ น่าจะสักประมาณ 70 เห็นจะได้
ท่านได้ขอให้โซเฟียอยู่เป็นเพื่อน โซเฟียยืนคิดสักพัก ก็ตัดสินใจนั่งคุยด้วย เราคุยกันสักพัก ท่านรู้สึกถูกชะตาจึงขอโซเฟียเป็นเพื่อน และถามโซเฟียว่าพักอยู่ไหน เมื่อโซเฟียบอกว่าพักอยู่แถวสาธุประดิษฐ์ ท่านก็บอกว่าพักอยู่แถวซอยสวนพลู และก็ชวนโซเฟียไปเที่ยวบ้านเพื่อจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น
เมื่อถึงบ้านท่านที่สวนพลู บ้านท่านหลังใหญ่บ่งบอกถึงฐานะ และท่านได้เข้าไปหยิบลิปสติกมาให้ 1 แท่งเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับเพื่อนใหม่ จากนั้นท่านได้พาไปนั่งคุยกันในบ้าน
ทำไมไปเดินอยู่สวนลุมคนเดียว
ท่านจึงปลอบใจให้โซเฟียคลายเศร้า ท่านบอกโซเฟียว่า
เป็นคำถามที่ทำให้โซเฟียบ่อโซเฟียกลั้นน้ำตาไม่อยู่ โซเฟียเล่าทุกอย่างในชีวิตให้ท่านฟัง รวมทั้งเรื่องเมียน้อยด้วย“เป็นธรรมดาของผู้ชาย เมื่อเขาไม่รักเรา เขาก็ทิ้งเราไป ต่อไปนี้เธอไม่ต้องเสียใจ เดี๋ยวพี่จะพาเธอเปิดหูเปิดตาเข้าไปในงานไฮโซ”
ตอนนั้นโซเฟียยังไม่รู้จักคำว่าไฮโซ จึงถามท่านไปว่าไฮโซคืออะไร
โซเฟียจำได้ว่า งานแรกที่ไปโซเฟียแต่งตัวเชยมาก นั่นเพราะโซเฟียไม่เคยออกไปไหนมาก่อน จึงไม่มีเสื้อผ้าสวย ๆ หรู ๆ และไม่มีเครื่องประดับราคาแพง ๆ สวม ครั้งแรกที่ออกงานโซเฟียตื่นเต้นมาก ท่านพยายามแนะนำคนในสังคมไฮโซคนนั้นคนนี้ให้รู้จักแต่โซเฟียก็เฉย ๆ เหมือนว่ายังไม่อยากเปิดใจรับใครประมาณนั้น
ท่านก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ท่านก็บอกว่าท่านก็ตาม ๆ เขาไป เวลามีงานการกุศล เป็นพวกงานกาล่าดินเนอร์ จะมีมีการขายบัตรเป็นโต๊ะ ๆ ละ 12,000 บาท แล้วเราก็สามารถไปงานหรือเชิญใครไปงานนั่งที่โต๊ะเราได้ อย่างท่านก็จะเชิญโซเฟียไป
“
ท่านเองก็รักและเอ็นดูโซเฟียมากคงเป็นเพราะว่า โซเฟียเป็นคนซื่อ ๆ จริงใจ และชอบเก็บตัว จึงจะมาชวนออกงานด้วยทุกครั้งเมื่อท่านซื้อโต๊ะ
ทุกครั้งที่มีการจัดงานแสดงเพชรที่โรงแรมดุสิตธานี ท่านก็จะเชิญโซเฟียไปด้วย ครั้งแรกที่โซเฟียไปงานแสดงเพชรที่นั่น โซเฟียสวมสร้อยเพชรเม็ดเล็ก ๆ ไปงานตอนนั้นโซเฟียไม่รู้ว่าต้องสวมเพชรเม็ดใหญ่ ๆ ไปงาน
จนผ่านไปปีกว่า ๆ วันหนึ่งที่โรงแรมดุสิตธานีจัดงานแสดงเพชรอีกเช่นเคย วันนั้นโซเฟียไปแวะที่บ้านท่าน จะไปงานพร้อมกันโซเฟียไม่ได้ใส่เครื่องเพชรอะไรไปเลย
ท่านบอกว่า ท่านไม่ให้ใครยืมเครื่องเพชรใส่ง่าย ๆ แต่สำหรับโซเฟียนี้ท่านรู้ว่าโซเฟียนิสัยอย่างไรและท่านก็ได้ไปเที่ยวบ้านโซเฟียเป็นประจำ ท่านรู้สึกถูกชะตาและเชื่อใจ สุดท้ายตกลงว่าวันนั้นโซเฟียไม่ได้ใส่เครื่องเพชรไปงาน เพราะโซเฟียบอกท่านว่าหากบังคับให้ใส่จะไม่ไปงาน ถ้าโซเฟียขายหน้าก็ไม่เป็นไร
เรื่องนี้ถือว่าเป็นความทรงจำที่ดี ๆ ที่โซเฟียมีให้ท่าน และช่วงนั้นเมื่อมีงานแสดงเพชรโซเฟียจะไปงานแบบเชย ๆ โดยตลอด หากในงานใครใส่เครื่องเพชรสวยโซเฟียก็จะมองอย่างชื่นชม
จนกระทั้งวันหนึ่ง ท่านได้พูดกับโซเฟียว่า
พี่อุตส่าห์แนะนำคนนั้นคนนี้ให้รู้จักทำไมไม่สนใจเลย โซเฟียนี่ดื้อจัง เธอต้องหัดคบคนไว้นะ ไม่ใช่จะมาตามแต่พี่คนเดียว” ท่านต่อว่าโซเฟียอะไรประมาณนี้ทุกครั้งที่เจอกัน โซเฟียตอบท่านไปว่าคงเป็นเพราะอยู่แบบโดดเดี่ยวมานานกว่า 30 ปีทำให้ชีวิตเคยชิน การจะคบใครใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนทำให้โซเฟียรู้สึกกลัว ท่านก็ยังเพียรพยายามแนะนำเพื่อนใหม่ให้เป็น 10 ครั้ง ผลก็คือโซเฟียนั่งเฉย จนท่านเข้าใจธรรมชาติของโซเฟียไม่คะยั้นคะยอ และรอจนกว่าโซเฟียจะเปิดใจรับเอง ทำให้ท่านหยิบเครื่องเพชรล้อมทับทิมมาทั้งชุด ราคาล้านกว่าบาท มาให้โซเฟียใส่ โซเฟียบอกท่านว่าไม่เคยเห็นเพชรอะไรใหญ่ขนาดนี้ ทับทิมก็เม็ดโตมาก ๆ ท่านหัวเราะก่อนจะบอกโซเฟียว่าให้ใส่ชุดนี้ไปงาน โซเฟียตกใจปฏิเสธเสียงแข็ง แถมพูดติดตลกว่าหากทำหายสักเม็ดจะทำอย่างไร“มีเงินก็เอาออกมาใช้สิ มาหาความสุขใส่ตัวเอง หัดแต่งตัวบ้าง ไม่ต้องไปห่วงลูกแล้ว อายุเราก็มากแล้ว มีธุรกิจทำ ผัวก็ไม่ต้องสนใจแล้ว จะเก็บเงินไปทำไม”
โซเฟียกลับมานั่งคิด
โซเฟียจึงตัดสินใจให้ท่านพาไปซื้อเพชรที่เพนนินซูลา พลาซา เป็นที่ซึ่งมีร้านเพชรตั้งอยู่หลายร้าน และวันนั้นเองแทบไม่น่าเชื่อ
...เออก็จริงนะ สามีจะให้เงินใช้เป็นเดือนๆ เราก็เก็บไว้ทุกเดือน เราก็ไม่ได้ใช้อะไรเลย ใช้แค่ค่ากับข้าวก็ไม่เท่าไหร่ เก็บๆมากว่า 30 ปีก็เป็นเงินจำนวนมาก...ความจริงแล้วเงินที่โซเฟียเก็บไว้นี้ทีแรกตั้งใจไว้ว่า จะเก็บเอาไว้ตอนแก่ตัว พอสามีไม่ได้ทำงานแล้ว เราก็จะไปเที่ยวกันสองคนตายาย เมื่อคิดมาถึงตอนนี้โซเฟียก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์แล้วโซเฟียลงทุนซื้อเครื่องเพชรไปทั้งหมดครั้งนั้นประมาณ 20 ล้านบาท
ถามว่าเงินเหล่านี้โซเฟียเอามาจากไหน มันเป็นเงินที่สามีให้ในแต่ละเดือนและโซเฟียสะสมมากว่า 30 ปี สมัยก่อนนอกจากซื้อกับข้าวให้สามีและลูกแล้วโซเฟียก็ไม่เคยนำเงินพวกนี้ไปใช้อะไร เพราะโซเฟียไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม เรียกว่าใช้เงินไม่เป็นเลยทีเดียว
แม้วันนี้โซเฟียแยกกันอยู่กับสามีแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า สามีก็ยังคงให้เงินใช้เป็นประจำทุกเดือน ลูกชายโซเฟียบอกว่า
หลังจากที่ลงทุนซื้อเพชรไป 20 ล้านบาทพร้อมทั้งหาซื้อเสื้อผ้าใหม่เพื่อออกงานสังคม ได้กลายเป็นที่ฮือฮาเพราะคราวนี้ผู้จัดงานทุกคนจะเอาการ์ดเชิญมาเชิญโซเฟียด้วยตัวเอง นับว่าเป็นการออกงานสังคมโดยลำพังที่ไม่มีท่านอยู่ข้าง ๆ
ช่วงแรก ๆ โซเฟียจะไปงานสังคมประมาณ 5-6 งานต่อวัน ดังนั้นจึงมีการวางแผนเตรียมตัวจัดเสื้อผ้าใส่ไว้ในรถ โซเฟียให้ความสำคัญกับการออกงานทุก ๆ งานที่เชิญมา ดังนั้นการแต่งตัวให้สวยงามถูกต้องตามกาละเทสะจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เรื่องเทคนิคการแต่งตัวนั้นโซเฟียเรียนรู้มาจากการออกงานแต่ละงาน โซเฟียจะคอยสังเกตว่าใครแต่งตัวอย่างไร และไปงานแบบนี้ต้องแต่งตัวอย่างไร ประมาณไหนถึงจะดูดี เป็นเรื่องบังเอิญอีกเหมือนกันที่โซเฟียได้ไปรู้จักกับคนคนหนึ่งที่สมาคมฝรั่งเศส เขาเป็นดีไซเนอร์ เขาเห็นโซเฟียแต่งตัวไม่เป็นเลยมาแนะนำการแต่งตัวให้รวมทั้งการแต่งหน้า ทำผมให้เข้ากับเสื้อผ้า และสอนเรื่องการใส่เครื่องประดับอะไรให้มีสไตล์เป็นของตัวเอง
เขาสอนโซเฟียอยู่ครึ่งปี โดยการออกงานปีแรกๆ ก็ยังไม่มีใครรู้จักโซเฟีย แต่ต่อมาประมาณปีที่ 2 และ 3 เริ่มมีคนรู้จัก เพราะแต่งตัวโดดเด่นมีสไตล์เป็นของตัวเอง โซเฟียพัฒนาการแต่งตัวให้ดูสวยขึ้นกว่าเดิมมากๆ ทุก ๆ ครั้งที่มีงานโซเฟียสนุกกับการแต่งตัว เห็นใครใส่เพชรเม็ดโตๆ โซเฟียก็จะซื้อมาใส่บ้าง แบบว่าโซเฟียสู้ตายเลยหากว่าประชาสัมพันธ์บอกว่า
“แม่ต้องสู้ แม่ต้องเข้มแข็ง เพราะว่าผู้หญิงใหม่ของพ่อก็ได้ทุกอย่างไปหมดแล้ว ซึ่งสิ่งที่เขาอยากได้อีกอย่างก็คือการได้แต่งงานกับพ่อ เพื่อที่ว่าเขาจะได้เป็นเมียท่านประธาน ผมจะไม่ยอมให้มันสมหวัง แม่ต้องเข้มแข็ง และต้องสู้ ถ้าแม่ยอมแพ้เขาก็จะแต่งงานกันทันทีเลย” เมื่อชีวิตเป็นแบบนี้ทำให้โซเฟียไม่คิดที่จะอย่ากับสามี อีกทั้งพนักงานในบริษัทก็ยังให้ความเคารพนับถือว่าโซเฟียเป็นเจ้านายคนหนึ่ง โซเฟียคิดว่าอาจเป็นเพราะโซเฟียเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ได้“วันหลังหนูขอเชิญโซเฟียออกงานบ้านนะ”
ตลอด 2 ปีที่โซเฟียออกงานตามลำพัง บางครั้งคิดถึงท่านก็แวะเวียนไปเยี่ยมและชวนท่านออกงานด้วย แต่ว่าท่านสุขภาพไม่แข็งแรงมีปัญหาเรื่องการเดินทำให้ต้องอยู่บ้านไม่ค่อยได้ออกงานด้วยกันหลังจากนั้นโซเฟียก็ไม่ได้เจอท่านอีกเลย
โซเฟียยังออกงานสังคมตามปกติ จวบจนผ่านไป 4 ปี วันหนึ่งคิดถึงจึงโทรศัพท์ไปหาท่านที่บ้าน คนที่บ้านบอกว่า เธอเสียชีวิตแล้ว โซเฟียตกใจ นั่งร้องไห้ไม่คิดว่าท่านจะจากไปเร็วขนาดนี้
โซเฟียอยากให้ท่านรู้ว่าโซเฟียจะจดจำท่านไปตลอด ท่านเป็นคนปลดปล่อยชีวิตที่ถูกจองจำของโซเฟีย ท่านสอนให้โซเฟียไม่จมอยู่กับความทุกข์ หากว่าวันนั้นไม่เจอท่านที่สวนลุม โซเฟียคงไม่มีชีวิตเช่นวันนี้ โซเฟียอาจฆ่าตัวตายไปแล้วก็เป็นได้ เพราะว่าชีวิตโซเฟียไม่มีใครเลย ชีวิตที่โดดเดี่ยวในเมืองไทยทำให้ท่านจึงเป็นเสมือนเพื่อนคนแรก
ตอน
10 เมื่อไฮโซถูกเชดหัว
-------------------
ยี้แห่งปี
หน้าแป้นๆ ผมออกแดง พูดเสียงดังแต่ฟังไม่ ชัด ที่มักแทรกตัวอยู่ในงานสังคมไฮโซ ต่างๆ ด้วยเสื้อผ้าแบบแปลกๆ สวมเครื่อง เพชรวูบวาบ ที่เจ้าตัวชอบอวดราคา "ชิ้งนี้ สำแสง อังนี้สองแสง....อังนี้ม่ายถ่ายหลือ ฮะ..."
ใช่แล้วโซเฟียโดนซะแล้ว...โดนไฮโซเม้าท์เพราะเด่นเกินไป...หลังจากที่ข่าวออกมาทำให้บรรดาขาเม้าท์ทั้งหลายเริ่มอยากรู้ว่า ข้อความที่เขียนถึงนั้นเป็นใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ทำให้บรรดานิตยสารเคเบิลทีวี รายการทีวีตามตัวกันสัมภาษณ์
ครั้งหนึ่งเจ๊เคยตกเป็นจำเลย
ข้อความดังกล่าวที่ลงให้หน้าหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ทำให้โซเฟียเสียใจอย่างมาก เมื่อได้อ่านแล้วจึงได้ไปปรึกษากับผู้ใหญ่หลายคนแล้ว ท่านทั้งหลายก็พูดตรงกันว่า
ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นความรู้ใหม่ของโซเฟีย เพื่อนบางคนแนะนำว่าให้โซเฟียทำแบบไฮโซเหล่านั้นบ้าง พวกเขาถึงจะได้ไม่เขียนถึงเราในทางที่ไม่ดี โซเฟียจึงนำมาคิดและได้ไปปรึกษากับผู้ใหญ่แล้วท่านทั้งหลาย ทุกคนบอกตรงกันว่า
ทำให้ชื่อของ โซเฟีย ลา เป็นที่รู้จักของคนมากว่าเดิม ประสาไม่ (ยอม) มีทนายมาแก้ต่าง (ให้) เพราะไปออกงานโดยปราศ จากการ์ดเชิญ (เป็นเรื่องที่ทำประจำ) แถมงานนั้น เจ๊ออกไปเสนอ หน้าอยู่แถวหน้าประสาเจ้า ภาพ แถมยังกวักมือที่แพรวพราวด้วยเพชรวูบแต่ไม่วาบ เรียกพรรคพวกให้มานั่ง แล้วออกปาก ไล่คนที่เขาได้รับเชิญให้กระเด็นออกไปจากเก้าอี้ งานนั้นเจ๊ถูกปาดไปหลายแผล แต่ก็ไม่สามารถ ทำอะไรคนอย่างเธอได้ จะทำได้แค่ตั้งวงเม้าท์ให้สะใจ!! เพราะคน อย่าง ยี้แห่งปี ต่อมความ รู้สึกหายไปนานแล้วค่า“แปลกจังประเทศไทยมีหนังสือพิมพ์ตั้งหลายฉบับไม่เห็นมีฉบับไหนเขียนด่าโซเฟียแรงๆ แม้แต่ฉบับเดียว มีก็แต่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ที่เขียนถึงโซเฟียไม่ดี” พอโซเฟียสืบไปก็พบว่า ที่เขาเขียนว่าโซเฟียแบบนี้ เนื่องจากเขามีผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกัน “มันเรื่องอะไรต้องเอาเงินไปให้เขา ถ้าตราบใดคนเราทำดี ไม่เคยทำผิด จะมาเขียนอะไรใส่ร้ายเราก็เหมือนเขาได้สร้างบาปกรรมให้กับตัวเขาเอง”
หลวงพ่อหลายรูปที่ได้ไปสนทนาธรรมทุกรูปท่านก็บอกเหมือนกันว่า เขาให้ร้ายเราก็เหมือนเขาทำบาป ท่านยังสอนโซเฟียว่า คนเราถ้าไปพูดถึงคนอื่นที่ไม่เป็นความจริงก็เป็นบาปกรรมเช่นกัน คนที่พูดถึงเราไม่ดีสักวันเขาก็จะได้รับผลกรรมนั้นเอง เพียงแค่เราตั้งใจทำดีต่อไป
ข่าวกอสซิปนั้นทำให้โซเฟียเสียใจและน้อยใจจนไม่อยากออกงาน เวลาให้สัมภาษณ์แล้วเป็นข่าวได้ออกสื่อโทรทัศน์
ทำให้คนที่ไม่ชอบเราก็จะพูดให้ร้ายอิจฉา ตรงนี้เองทำให้โซเฟียกลัวมาก เวลามีนักข่าวโทรมาถามว่าทำไมไม่ค่อยออกงานเหมือนก่อน โซเฟียก็บอกเขาไปว่า น้องนักข่าวเขียนข่าวไม่จริงก็รู้สึกเสียใจ แต่ถ้าเขียนเรื่องจริงเราก็จะไม่เสียใจเลย น้องนักข่าวคนนี้ยังเล่าเรื่องเกี่ยวกับงานสังคมงานหนึ่งที่เขาได้ไปทำข่าว และเห็นกลุ่มไฮโซบางกลุ่มพูดถึงโซเฟียในแง่ลบ ทำใหโซเฟียมานั่งคิดว่าตัวเองเป็นที่สนใจขนาดไม่ได้ออกงานยังมีคนเม้าท์ถึง ประเด็นหลักจะพูดถึง เรื่องการแต่งตัวโดดเด่นคนเดียว มีนักข่าวรุมสัมภาษณ์มาก ทำให้ไฮโซเหล่านั้นเกิดอาการหมั่นไส้
ความที่แต่งตัวสวยโดดโด่นเกินหน้าเกินตาใครหลายคนจึงเป็นภัยไม่รู้ตัว ทำให้เป็นที่มาของการมีนักข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเขียนพาดพิงถึงใช้ถ้อยคำที่เสียดสีอย่างรุนแรง
โซเฟียสามารถยืดอกบอกทุกคนได้เต็มปากว่าโซเฟียไม่ได้ยืมของใครมาทำสวย โซเฟียไม่มีหนี้ไม่มีสิน เพชรที่ใส่ก็ซื้อมาด้วยเงินสด เครดิตของโซเฟียเรียกว่าดีมากเพราะทุกอย่างที่ซื้อมาใช้ออกงานเสื้อผ้าเพชรพลอยจะจ่ายสดทันที
น้องนักข่าวคนนี้ได้ให้กำลังใจ
ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่โซเฟียไปงานสังคม ทุกคนให้การต้อนรับและโซเฟียก็แต่งตัวสวยงามให้เกียรติกับงานที่ไปทุกครั้ง ดังนั้นขาเมาท์ที่บอกว่า โซเฟียเข้างานโดยที่ไม่มีบัตรเชิญจนถูกไล่ออกจากงาน นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ งานทุกงานที่โซเฟียไปนั้นมีบัตรเชิญ เพียงหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเขียนข่าวทำนองนี้ออกไปเพื่อน ๆ โฮโซพอทราบข่าวต่างไม่มีใครเชื่อ คิดดูก็แล้วกันผู้หญิงที่แต่งตัวสวยให้เกียรติกับงานที่ไป ถามว่าเจ้าของงานจะไล่ออกได้อย่างไร พอเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้มันรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างมาก
ไฮโซนอกทำเนียบ
แรกๆ ก็มีคนสงสัยเหมือนกันว่าโซเฟียรวยมาจากไหน ธุรกิจก็ไม่ได้ทำ สามีก็ทิ้งแล้วเอาเงินมาจากไหนมาซื้อเพชรเม็ดโต
โซเฟียขอบอกเลยว่าทั้งหมดที่โซเฟียมีในวันนี้เป็นของโซเฟีที่เก็บไว้หลายปี ตลอดเวลาที่แต่งงานอยู่กับบ้านก่อนออกมาสู่โลกของงานสังคม โซเฟียจะเป็นคนประหยัดไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟีย จนวันหนึ่งเมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเปลี่ยนแปลงชีวิตโซเฟีย ทำให้โซเฟียคิดได้
“ถ้าเราไม่ผิดเราต้องออกงาน ต้องสู้ๆ แล้วต้องแต่งตัวสวยให้มันทุกงาน ถ้าแต่งสวยทุกวันแล้วมีเรื่องให้เมาท์ให้นินทาก็จงให้อภัยคนใจแคบพวกนั้น คนเราถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ต้องกลัว” และยังมีคำพูดใครอีกหลายคนที่เวลาเดินทางไปไหนก็จะมีคนทักทายให้กำลังใจโดยตลอด จะยังคงมีแต่กลุ่มไฮโซรุ่นเก่าเท่านั้นที่หมั่นไส้ในความดังของโซเฟีย เพราะว่าโซเฟียใช้เวลาเพียงสองสามปีก็เป็นที่รู้จักของคนอย่างกว้างขวางแซงหน้ากลุ่มไฮโซรุ่นเก่า“เราน่าจะความสุขใส่ตัวเองบ้าง เราก็อายุมากแล้ว อีกอย่างผัวก็ทิ้งแล้วเราจะเก็บเงินไปเพื่ออะไร ตรงนี้เลยเอาเงินที่เก็บมาตลอดมีชีวิตคู่นำออกมาใช้ เพื่อซื้อเครื่องประดับมาใส่ออกงานสังคม ถือเป็นจุดเริ่มต้นทีทำให้คนในแวดวงสังคมรู้จักและเมาท์กันไปต่างๆ นาๆ เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้เราโดดเด่นในแวดวงสังคมไฮโซ”
สมัยแรก ๆ ที่ออกงานสังคมนั้นโซเฟียจะถ่อมตัวตลอดว่า โซเฟียไม่ใช่ไฮโซ โซเฟียก็คือโซเฟียที่ชอบแต่งตัว และโซเฟียยังชอบพูดว่าโซเฟียเป็นคนธรรมดาที่ถูกสามีทิ้ง พอมีข่าวคนเมาท์โซเฟียขึ้นมาทำให้พนักงานที่บริษัทของสามีบอกว่า
ทำไมโซเฟียชอบถ่อม ในเมื่อสามีก็เป็นนักธุรกิจ มีธุรกิจใหญ่โต โซเฟียก็ยังคงอยู่ในฐานะเมียก็ถือว่าเป็นคุณนายคนหนึ่ง จริง ๆ แล้วพนักงานก็ให้โซเฟียควรพูดใหม่บอกกับทุก ๆ คนใหม่ว่า “จริงแล้วโซเฟียเป็นคุณนาย”
หลังจากถูกหนังสือพิมพ์บางฉบับเม้าท์ว่าเราไม่ใช่ไฮโซ ตั้งแต่นั้นมาใครมาสัมภาษณ์ก็ตาม โซเฟียจะบอกไปเลยว่า โซเฟียเป็นคุณนายจริงๆ เพราะชีวิตนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย ทุกๆเดือนสามีจะให้เงินใช้เงินอย่างเดียว ถึงใครจะเม้าท์ว่าโซเฟียไม่ใช่ไฮโซก็ไม่เป็นไร เพราะความจริงแล้วโซเฟียก็คือคุณนายคนหนึ่งที่มีเงินใช้อย่างสุขสบาย
เรื่องเมาท์แตกแบบนี้ทำให้โซเฟียรู้ว่าบรรดาไฮโซรุ่นเก่านั้นมีมีความจริงใจให้กัน ทุกวันนี้โซเฟียดำเนินชีวิตแบบหนีปัญหาไม่ชอบออกงานกับกลุ่มนั้น เราจึงลดออกงานสังคมให้เหลือสัปดาห์ละ 1 หรือ 2 ครั้งเท่านั้น อย่างน้อยที่ทำอย่างนี้ทำให้โซเฟียเองสบายใจขึ้นได้ ขณะเดียวกันโซเฟียอยากบอกว่า เพื่อนไฮโซบางคนที่มาคบโซเฟีย ทำเหมือนเป็นเพื่อนสนิทแต่สิ่งที่ทำกับโซเฟียนั้นดูเหมือนไม่ค่อยจริงใจ ตรงนี้มันสอนให้รู้ว่า รู้หน้าไม่รู้ใจ
เพื่อนซี้ไฮโซบางคนไม่จริงใจซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา โซเฟียมองว่ามันคือการออกงานสังคม การที่เราเดินเข้ามาในงาน มีคนมากหน้าหลายตาเดินเข้ามาทักทาย มีทั้งไฮโซด้วยกันเอง ดารา นักร้อง หรือแม้แต่คนที่เข้ามาร่วมในงาน เดินเข้ามาคุยทักทายปราศรัย โซเฟียก็จะยิ้มและทักทายด้วยโดยที่ไม่ต้องการรู้ว่าเขาเป็นใคร เพียงแค่มีไมตรีที่ดีต่อกัน ณ เวลานั้น ตรงนั้น โซเฟียถือว่าเพียงพอแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่งโซเฟียไปงานมีดาราที่เป็นนางเอกภาพยนตร์ชื่อดังเข้ามาทัก และโซเฟียเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นดาราดัง
พอเขาไหว้ทักทายเสร็จ โซเฟียจึงได้กระซิบถามเพื่อนไฮโซข้างๆ เพื่อนไฮโซคนนี้ก็บอกว่า “ต๊าย ตาย โซเฟีย นี่ถ้าเขารู้ว่าเราไม่รู้จัก เขาจะเสียใจมากเลย ขนาดเขาดังอย่างนั้นเธอยังรู้จักเธออุตส่าห์มาทัก”
เขาเป็นดาราดังยังมาทักแสดงว่าเขาให้เกียรติโซเฟีย แต่จากใจจริงโซเฟียไม่ได้ดูหนังดูละครจึงไม่รู้ว่าเขาดังขนาดไหน บางครั้งเข้างานก็ไม่ค่อยได้จำใครว่า ใครเป็นใคร เพราะทุกคนแต่งตัวสวยงามทำให้ลานตา
แต่ในสังคมนี้โซเฟียก็มีความรู้สึกที่ดีกับเพื่อนไฮโซบางคน เพื่อนคนนี้จะคอยให้กำลังใจโซเฟียมาโดยตลอด เธอก็คือ สุรีย์ รัตนหิรัญญา ทุกวันนี้บางครั้งมีอะไรที่เราไม่สบายใจเธอคนนี้จะคอยให้กำลังใจโซเฟียว่าต้องสู้ๆ ทำให้ตัวเองมีพลังมีกำลังใจที่จะอยู่ในสังคมนี้ต่อไป โซเฟียเชื่อว่าคนที่ทำอะไรไว้ไม่ดีสักวันเขาก็จะต้องรับกรรมในสิ่งที่เขาทำแน่นอน
โซเฟียจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดเป็นสิ่งตั้งใจไว้ เพราะเราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าในอนาคตชีวิตจะเป็นอย่างไร โซเฟียเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่คนเดียว สามีทิ้ง ส่วนลูก ๆ ก็ต่างแยกย้ายไปทำงานเวลาที่จะพบกันนั้นก็น้อยลง
คนที่ไม่ชอบโซเฟีย โซเฟียก็จะอยู่ห่าง ๆ
คนที่ดีกับโซเฟีย โซเฟียจะจำและระลึกถึงพวกเขาเหล่านั้นตลอดไป
ขอบคุณทุกคนที่ทำให้วันนี้...มี...โซเฟีย ลา
ดังนั้นเมื่อไปงานโซเฟียจึงพยายามยิ้มและพูดคุยกับทุก ๆ คนที่เข้ามาทักทายด้วยมิตรภาพและไมตรีจิต เป็นฉายาที่คอลัมภ์กอสซิปจากหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่มอบให้ มีข้อความถ้อยคำเสียดสีและทิ่มแทงด้วยประโยคที่ว่า หญิงกลางคน
“ดีนะที่พี่โซเฟียถูกผัวทิ้ง ถ้าสามีไม่ทิ้งพี่โซเฟียไป ประเทศไทยคงไม่รู้ว่ามีผู้หญิงเก่งๆ อยู่ตรงนี้ ทั้งเป็นแม่บ้าน ทำอาหารเก่งแบบนี้” เขาโกรธมากบังคับให้โซเฟียถอดเสื้อผ้า
แม่เป็นใคร?” เป็นคำถามที่โซเฟียถามพ่อผู้ให้กำเนิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่คำตอบที่ได้คือความว่างเปล่า พ่อทำเสมือนหนึ่งว่าแม่ได้หายไปจากความทรงจำเสียไปแล้ว ปู่เป็นอีกคนที่โซเฟียเฝ้าถาม แต่ปู่ก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรมากนัก 15 ปี พ่อจึงได้แต่งงานใหม่ และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตก็ได้เกิดขึ้น บางครั้งพ่อเมาปู่จะต่อว่าทำให้พ่อและปู่โต้เถียงกันเป็นประจำ บางทีพ่อโมโหพลั้งมือทำร้ายปู่ มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นภาพสะเทือนใจที่โซเฟียจำไม่รู้ลืม ปู่นั่งลงไปที่พื้นแล้วพ่อก็กระทืบปู่ ตอนนั้นพ่อเมามากไม่ได้สติพอเมานิสัยจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยิ่งโซเฟียเห็นปู่ถูกพ่อทำแบบนี้ก็ยิ่งทำให้รักและสงสารปู่มากขึ้น จึงอยู่ครั้งหนึ่งโซเฟียได้แจ้งตำรวจมาจับพ่อ แต่ปู่ก็ไม่เอาเรื่องราวเพราะว่าเป็นลูกและที่สำคัญเขาก็เป็นพ่อโซเฟีย และยังสอนให้โซเฟียรักเคารพพ่ออย่าไปแจ้งตำรวจอีก อีกสาเหตุหนึ่งที่แม่เลี้ยงตีโซเฟียก็มาจากพี่สาวลูกสาวของแม่เลี้ยงที่ชอบพาโซเฟียออกไปดูหนังตอนกลางคืนทำให้ต้องกลับบ้านดึก “แกนี่โง่จริงๆ พ่อเขาตีก็ให้ตีไปซิ พ่อเค้าจะตีสั่งสอนก็ให้เขาตีไป” และกับแม่เลี้ยงเองโซเฟียก็ไม่เคยโกรธหรือผูกอาฆาต แม้ว่าแม่เลี้ยงจะเคยใส่ร้าย ทุบตี ใช้ให้ทำงานหนักต่าง ๆ นา ๆ เมื่อมาถึงวันนี้ โซเฟียมองย้อนไปพบว่าชีวิตตัวเองนั้นเป็นละครน้ำเน่าจริง ๆ