กิเลสเกิดจาก "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ" หลวงปู่ทองคำ วัดมหาธาตุวรวิหาร จ.ราชบุรี
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : ชวกรณ์ สะอาดเอี่ยม
กิเลสเกิดจาก "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ" หลวงปู่ทองคำ วัดมหาธาตุวรวิหาร จ.ราชบุรี
พระครูวินัยธรปัญญาวุฑโฒ (หลวงปู่ทองคำ) เจ้าสำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดมหาธาตุวรวิหาร อ.เมือง จ.ราชบุรี หลังจากเกษียณอายุราชการครูแล้ว ได้เดินเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ด้วยการสอน ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เป็นเวลากว่า ๒๖ ปี โดยเห็นว่า สังคมในปัจจุบันมีความจำเป็นต้องเรียนรู้หลักธรรมเพื่อนำชีวิตไม่ให้ทำอะไรอย่างประมาท โดยต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา
ความสำคัญของการปฏิบัติธรรม คือการกำหนด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ผู้เรีย นวิชาวิปัสสนากรรมฐาน จะต้องย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร การนั่งสมาธิเพื่อบำเพ็ญขัดเกลาจิต เป็นเพียงการนำเอาก้อนหิน ไปทับต้นหญ้าเท่านั้น ไม่สามารถทำให้จิตมั่นคงอยู่ในสภาวะของความสงบ สว่าง บริสุทธิ์ ได้ตลอดไป ดังคำกล่าว ที่ว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว จิตของท่านก็จะมีความเข้มแข็ง หลวงปู่ทองคำได้อนุญาตให้สัมภาษณ์ไว้ดังนี้
ก่อนที่หลวงปู่จะมาบวชทำอาชีพอะไรครับ ?
ก่อนที่อาตมาจะมาบวชก็รับราชการครูสอนนักเรียนเหมือนกับครูทั่วๆ ไป สอนอยู่หลายปี จนถึงเวลาต้อง เกษียณ จากราชการ ทำให้หวนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาว่า ใช้ชีวิตฆราวาสมาก็ยาวนานแล้ว จึงคิดว่าน่าจะได้ไปหาศีลธรรม ฟังเทศน์ ฟังธรรมบ้างดีกว่า เพื่อจะได้ไม่ต้องว่าง อย่างน้อยก็เหมือนมีงานให้ทำ จึงได้ปฏิบัติธรรมนุ่งขาวห่มขาว
แล้วมาตัดสินใจ บวชตอนไหนครับ ?
อาตมาตัดสินใจบวช ตอนที่แม่บ้าน ต้องมาเสียชีวิตลง ประกอบกับลูกๆ ก็โตกันหมดแล้ว ทำให้ภาระ ที่จะต้องเลี้ยงดูไม่มี อาตมาจึงเห็นว่า แสงแห่งธรรมนั่นแหละ จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับตัวเราได้เป็นอย่างดี ทำให้ตัดสินใจบวช ระหว่างนั้นก็ยังปฏิบัติธรรม ถือศีลนุ่งขาวห่มขาวอยู่มาเป็นระยะเวลาประมาณ ๑๐ ปี พออายุ ๗๐ ปีก็ได้บวชเข้าวัดเลย
เมื่อหลวงปู่บวชเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ?
จริงๆ มันก็สบายดี ไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้รบกวนหรือทำความรำคาญให้ สิ่งภายนอกล้วนทำให้เราเป็นทุกข์ ดังนั้นระหว่างที่อาตมาบวชเข้ามาใหม่ๆ ก็ได้ใช้วิชาวิปัสสนากรรมฐาน เข้าไปใช้กับญาติโยมที่มาวัด ให้พวกเขาได้รู้จักการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง หากใครได้ทำแล้วจะมีความสุข จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนั่ง การนอน หรือแม้แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ต้องปฏิบัติกันด้วยสติสัมปชัญญะตลอดเวลา
ปัจจุบันมีประชาชนสนใจปฏิบัติธรรมมากน้อยแค่ไหนครับ ?
ถ้าให้อาตมาย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ชาวบ้านให้ความสนใจในการปฏิบัติธรรมกันอย่างเคร่งครัด ทุกอย่างที่เขามาปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ การเดินจงกรม ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่พวกเขาทำกันอย่างมุ่งมั่น อาตมาสอนครั้งหนึ่งรุ่น ๔๐ คน ๕๐ คน เป็นเวลา ๒ ปี ๓ ปี แต่สมัยนี้การปฏิบัติธรรมของคนมีน้อยลงเหลือแค่ ๑๐ คน ๒๐ คน ยิ่งบางคนเข้ามาก็ไม่ค่อยทำกันแบบจริงจัง ส่วนหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามีสิ่งภายนอกนานาชนิดคอยนำพาให้พวกเขาละเลยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม จนบางคนอาจมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตก็ได้
ชาวบ้านที่มาปฏิบัติธรรมจะได้อะไรกลับไปบ้าง ?
ปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ก็ยังมีญาติโยมบางคนก็เข้ามาปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่มีการสอนกันอย่างต่อเนื่อง บางคนเข้าบ่อยจนคิดว่าตัวเองสามารถที่จะออกไปเผชิญกับปัญหาสังคมภายนอกได้อย่างเข้มแข็ง จิตใจไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน คนเหล่านี้ก็จะออกไปใช้ชีวิตตามปกติ อาตมาคิดว่าการปฏิบัติธรรมใครได้ทำแล้วมีแต่จะส่งผลดีให้กับตัวเองอย่างแน่นอน เมื่อชีวิตไปพบไปเจออุปสรรคหรือปัญหาก็จะทำให้ชีวิตผ่านปัญหานั้นไปได้
ส่วนใหญ่การเรียนวิปัสสนามีการสอนเน้นไปในเรื่องใดครับ ?
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ผู้เรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานจะต้องย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร อย่างการนั่งสมาธิ การปูพื้นฐานของจิต หรือการรวมรวมจิตให้กลับเข้าที่เข้าทาง ไม่ฟุ้งซ่านสับสน มีสติพร้อมที่จะนำปัญญาเพื่อพิจารณาธรรมต่อไป หรือจะเรียกว่าเป็นการบำเพ็ญจิต ขัดเกลากิเลสที่เกาะกินจิตให้ใสสะอาด บริสุทธิ์ สงบ สว่างประภัสสร การนั่งสมาธิเพื่อบำเพ็ญขัดเกลาจิต เป็นเพียงการนำเอาก้อนหินไปทับต้นหญ้าเท่านั้น ไม่สามารถทำให้จิตมั่นคงอยู่ในสภาวะของความสงบ สว่าง บริสุทธิ์ ได้ตลอดไป เพราะเมื่อใดที่ท่านต้องมีภาระผูกพัน เกลือกกลั้วอยู่ในสังคมในโลกแห่งความสับสนวุ่นวาย เอารัดเอาเปรียบกัน จิตก็จะไม่สงบ จะฟุ้งซ่าน สับสน ตึงเครียด ไม่สามารถควบคุมจิตให้อยู่ในสมาธิมีสติได้ตลอดเวลา เหมือนยกก้อนหินออกจากต้นหญ้า
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถที่จะทำให้จิตคงอยู่ในสภาวะ สงบสว่าง และใสสะอาดอยู่ในสมาธิและมีสติอยู่ตลอดไปได้ สิ่งแรกที่เราจะต้องทำ คือจะต้องรับรู้ถึงจุดศูนย์กลางของความเป็นสภาวธรรมทั้งมวลก่อน จุดศูนย์กลางของสภาวธรรมนั้นเปรียบเสมือนชิพข้อมูลหรือทางธรรมเรียกว่า "จุดญาณทวาร" หรือประตูเกิด-ตาย หรือเส้นทางที่ใช้สำหรับเดินทางกลับคืนสู่บ้านเดิม หรือแดนนิพพานนั่นเอง จุดญาณทวารคือ ช่องทางสำหรับรับข้อมูลต่างๆ ที่ผ่านมายังอายตะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำมาเข้าสู่ขบวนการหน่วยความจำ ดังนั้น การที่ทำให้จิตเข้าสู่ขบวนการรับข้อมูลที่ถูกต้องก่อนอื่นจะต้องใช้วิธีผ่อนคลายความตึงเครียดของจิตที่อ่อนล้า เหนื่อยหน่าย ให้กลับมามีชีวิตชีวา ร่าเริง เบิกบาน และร่างกายเบาสบายเสียก่อน เพราะมีการกล่าวเอาไว้ว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว จิตของท่านก็จะมีความเข้มแข็ง
วิปัสสนากรรมฐานสามารถตัดกิเลสได้ไหมครับ ?
ได้ซิ เพราะทุกวันนี้เราจะเห็นว่า กิเลสพยายามที่จะเกาะติดตัวเราไปในทุกหนทุกแห่ง สิ่งที่เราทำได้ก็คือการดับมัน ดับกิเลสนั่นเอง พอกิเลสจะพาตัวเราไปไหนเราจะต้องดับมันไม่ว่ากิเลสนั้นจะเกิดจาก อกุศลมูล ในที่นี้ มีเพียง ๓ อย่าง แต่ในที่อื่นมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่น และจำแนกออกไปมากกว่า ๓ อย่าง ตัวอย่างเช่น แทนที่จะจำแนกเป็น โลภะ โทสะ โมหะ ก็มีการจำแนกออกเป็น กามราคะ ปฏิฆะ ทิฐิ วิจิกิจฉา มานะ ภวราคะ อวิชชา รวมเป็น ๗ อย่าง และเรียกว่า อนุสัย แต่ในที่สุดเราก็เห็นได้ว่า กามราคะ ความกำหนดในกาม และ ภวราคะ ความกำหนดในความมีความเป็น ในที่นี้ได้แก่ โลภะ หรือ ราคะ ปฏิฆะ ในที่นี้ก็คือ โทสะ ส่วน ทิฐิ วิจิกิจฉา มานะ อวิชชา ทั้ง ๔ อย่างนี้ สรุปลงรวมได้ในโมหะ จึงยังคงเหลือเพียง โลภะ โทสะ โมหะ อยู่นั่นเอง
แสดงว่ากิเลสก็ปะปนอยู่กับความชั่วใช่ไหมครับ ?
ก็ใช่ทั้งนั้นแหละ เนื่องจากคนเรายังมีรักโลภโกรธหลง กิเลสที่มันเข้าไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความดีความชั่วก็เข้าทางเดียวกัน ไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน แต่อยู่เรานั่นเองที่จะแยกหรือตัดความชั่วออกไป แล้วเหลือเฉพาะความดีเอาไว้กับตัวเอง อาตมาว่าถ้าทุกคนได้ลองฝึกให้เป็นประจำก็คิดว่าไม่น่ามีอะไรยากหรอก เพียงแต่ทุกคนที่เข้ามาปฏิบัติธรรมจะต้องรู้จักบวชใจให้สงบนิ่งเสียก่อน เพียงเท่านี้ก็ทำให้มีหน้าตาผ่องใสได้
ระหว่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรร้ายที่สุดครับ ?
อันนี้ไม่จำเป็นต้องให้อาตมาบอกหรอก ทุกคนย่อมรู้กันอยู่แล้ว (หัวเราะ) เพราะทุกอย่างมันเป็นตัวสร้างกิเลสให้กับตัวเราอยู่แล้ว ซึ่งถ้าใครมีมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลร้ายกับตัวเองมากเท่านั้น แม้แต่อาตมาเองก็ได้พยายามตัดออกไปให้หมด เพราะเมื่อเข้ามาเป็นพระสงฆ์แล้ว ถ้าไม่รู้จักตัดกิเลสเหล่านี้ออกไปจากจิตใจแล้ว การเป็นพระก็จะอาบัติ ผิดศีลได้เหมือนกัน เราจะเห็นได้ว่าพระสงฆ์ทุกวันนี้มีข่าวที่ไม่ดีมากมาย เป็นเพราะไม่สามารถตัดกิเลสเหล่านี้นั่นเอง เมื่อใดใจเรามีความอยาก ตัวกิเลสก็จะวิ่งเข้ามาทำให้เกิดความวุ่นอยู่ร่ำไปไม่สิ้นสุด
แล้วตอนนี้หลวงปู่ทำวิปัสสนากรรมฐานถึงขั้นไหนแล้วครับ ?
การกำหนดรู้ขั้นรู้จัก คือกำหนดรู้สิ่งนั้นๆ ตามลักษณะที่เป็นสภาวะของมันเอง พอให้แยกออกจากสิ่งอื่นๆ ได้ เช่นรู้ว่านี้คือเวทนา เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ์ และหากถามอาตมาว่า ตอนนี้อาตมาทำได้แค่ไหนแล้ว ก็บอกได้ว่าตอนนี้ ได้ทำวิปัสสนากรรมฐานของอาตมาเข้าสู่ญาณ ๑๒ แล้ว จะให้มากกว่านี้คงยังไม่ได้ แต่อาตมาก็ยังปรารถนาไปสู่ภพภูมิที่ดี
ทำไมไปถึงได้เพียงขั้นที่ ๑๒ ครับ ?
จะให้อาตมาทำให้มากกว่านี้ก็คงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเรายังไม่สามารถตัดญาติพี่น้องไปได้ วิปัสสนากรรมฐาน จะดำเนิน ไปยังขั้นต่อไปหรือทำมากกว่านี้คงไม่ได้ เพราะถ้าทำได้จะต้องมีการตัดญาติพี่น้อง เสมือน ไม่มีพี่ไม่มีน้องใดๆ เลย เป็นการสละแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง และสิ่งสำคัญอาตมาถือว่าเรายังอาศัยเขากินอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม อาตมาก็จะพยายามทำให้ดำเนินไปยังขั้นต่อไป แต่มันก็ยากอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่อาตมาคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุญกรรมและวาสนามากกว่า
ความเห็นจากหลายคนไม่ค่อยเชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง เป็นเพราะอะไรครับ ?
อาตมาคิดว่าใครก็ตามที่ไม่เชื่อว่านรกหรือสวรรค์มีจริง ก็ให้คิดถึงเมื่อครั้งที่เราทำบาป ทำความชั่ว บางครั้งผลของบาปกรรมที่ทำก็ตอบสนองเราเร็วก็มี ส่วนคนที่ไม่ค่อยเชื่ออาจเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยใส่ใจ มันเป็นเรื่องที่คนยังไปยึดติดอยู่กับทางโลกมากเกินไป เหมือนกับผู้ชายบางคนที่ไปมีผู้หญิงอื่น พวกนี้มันก็เป็นบาปเป็นพวกกิเลสนำพาไป
บาปบุญคุณโทษเหล่านี้เราสามารถลดลงได้อย่างไรบ้าง ?
เรื่องแบบนี้ไม่ยากเลย แค่คนเรานับถือศีล ๕ เอาไว้ประจำใจ ไม่ไปประพฤติผิดในกาม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ฯลฯ เพียงเท่านี้มันก็ทำให้คนเราไม่มีในเรื่องของบาปแล้ว จริงๆ ศีล ๕ ก็สามารถไปฆ่ากิเลส ไปตัดรอนกิเลสได้เหมือนกัน อาตมาอยากจะบอกว่า คนเราอย่าไปยึดติดอะไรกับอำนาจวัตถุเพียงอย่างเดียว ขอให้คิดว่าจงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ลองตัดความเป็นมนุษย์เสียบ้าง เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ ก็จะเห็นว่า โลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้น และมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะขนาดเทวดา นางฟ้า และพรหมเองก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน
สุดท้ายอยากให้หลักธรรมอะไรกับผู้อ่าน "คม ชัด ลึก" ครับ ?
การนินทาผู้อื่นเราก็มองว่าเป็นเรื่องไม่ดี เราถูกนินทา เราก็รู้สึกไม่ดี แต่พอเรานินทาคนอื่น คนเหล่านั้นก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากเรา ฉะนั้น หากชาตินี้หรือชาติที่แล้วเราไปทำร้ายคนอื่นเอาไว้ไม่ดี สิ่งหนึ่งที่ทำให้ความร้ายเหล่านั้นเปลี่ยนจากหนักให้เป็นเบาได้ นั่นก็คือ การแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลต่างๆ ไปให้ ตรงนี้ก็ทำให้เกิดเป็นบุญได้เหมือนกัน แต่ถ้าทุกคนสามารถฆ่ากิเลส ๖ อย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปได้ก็ไม่มีความชั่วแล้ว
ชาติภูมิหลวงปู่ทองคำ
หลวงปู่ทองคำ อายุ ๙๖ ปี พรรษา ๒๖ ชื่อเดิม นายทองคำ แจ้งชัดใจ เกิดวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๕๑ ปีวอก ณ ต.คูบัว อ.เมือง จ.ราชบุรี บิดา นายแสง แจ้งชัดใจ มารดา นางพลอย แจ้งชัดใจ ได้เข้ามาเป็นเด็กวัด อยู่ที่วัดอินทราราม บางขุนพรหม กรุงเทพฯ จนเรียนจบการศึกษา ม.ศ. ๒ พี่สาวไม่ให้เรียนต่อ บอกว่าเรียน ไปก็ต้มกิน ไม่ได้ จึงกลับไปช่วยที่บ้านทำนา ช่วงระยะเวลาหนึ่ง สมัยนั้นคนที่จะได้เป็นครูสอนหนังสือ จะเป็นง่ายกว่าปัจจุบันที่จะต้อง จบปริญญาตรี จึงไปรับราชการเป็นครูโรงเรียนวัดบ้านโพธิ์เปลี่ยนวิทยาทาน จ.ราชบุรี จนเกษียณอายุราชการ
หลังจากนั้นได้ตัดสินใจเข้าวัดปฏิบัติธรรมด้วยการนุ่งขาวห่มขาว กระทั่งอายุ ๗๐ ปี จึงตัดใจอุปสมบท เป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๒ เวลา ๑๕.๕๖ น. โดยมีพระเทพวิสุทธิโมลี วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูธีรญานปละยุตน์ วัดใหญ่อ่างทอง (เจ้าคณะตำบลอ่างทอง) เป็นพระกรรมวาจารย์ พระครูบวรธรรมสมาจารย์ วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา "ปัญญาวุฑโฒ"
ผู้ศรัทธาสนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ศูนย์วิปัสสนากรรมฐาน วัดมหาธาตุวรวิหาร อ.เมือง จ.ราชบุรี โทรศัพท์ ๐-๓๒๓๓-๘๖๘๗