เมื่อ...วิธวดี แพ่งสภา 'ต้องวิญญาณอาถรรพณ์ !'

เมื่อ...วิธวดี แพ่งสภา 'ต้องวิญญาณอาถรรพณ์ !'

 

 

 

 

 

 

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง   ภาพ :  พีระรัตน์ ธรรมจง

 

 

เมื่อ...วิธวดี แพ่งสภา 'ต้องวิญญาณอาถรรพณ์ !'

 

 

เรื่องวิญญาณ ภูตผี ปีศาจ อาถรรพณ์ หลอน สยอง ขวัญผวา เรื่องเร้นลับ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ว่า มันเป็นจริงหรือเปล่า บางคนไม่เชื่อก็จะมองว่างมงาย ไร้สาระ แต่สำหรับ วิธวดี แพ่งสภา นักธุรกิจพัฒนาที่ดิน ซึ่งเพื่อนๆ ในสังคมไฮโซรู้จักกันในนาม 'ไหม' เป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งเคยผ่านประสบการณ์ ต้องวิญญาณอาถรรพณ์ของเจ้าที่มาแล้ว

 

วิธวดี เล่าว่า เป็นคนไม่ค่อยเชื่อในสิ่งเร้นลับเหล่านี้ กระทั่งประมาณ ๒๐ ปีก่อน ที่ไปสร้างบ้านอยู่บนดอยที่ จ.เชียงใหม่ เรียกได้ว่าเป็นคนทันสมัย ชอบทำอะไรเร็วๆ สร้างบ้านก็อยากให้เสร็จไวๆ ขณะเดียวกันช่างผู้รับเหมาก่อสร้างก็จะรีบสร้างให้เสร็จเพราะจะได้กลับมาทำบ้านที่กรุงเทพฯ เนื่องจากที่ดินแห่งนี้อยู่ไกล กันดารมาก ไม่มีประปาไฟฟ้า การรีบสร้างทำให้ไม่ได้บวงสรวงกราบไหว้เจ้าที่อะไรเลย ตนเองกับสามี (ดุสดี แพ่งสภา) ทำเพียงยกมือไหว้เท่านั้น แล้วช่างก็เริ่มต้นไถที่ดินนั้นทันที

 

หลังจากสร้างบ้านได้ระยะหนึ่งก็เตรียมไปซื้อของเพื่อจะมาทำพิธีไหว้เจ้าที่ตามความเชื่อของคนไทย โดยตั้งใจไว้ว่าวันรุ่งขึ้นตอนเช้าจะทำพิธี เย็นวันนั้นได้เข้าไปรับประทานอาหารในตัวเมืองเชียงใหม่ แม่ที่อยู่กรุงเทพฯ ก็โทรศัพท์มาบอกว่า'คนรับใช้ขโมยเครื่องเพชรไปเป็นล้านบาท ให้กลับบ้านด่วนเพื่อมาตามเรื่องคดี'  จึงตัดสินใจขับรถยนต์กลับกรุงเทพฯ ในเย็นวันนั้น จนคดีได้ข้อยุติแล้วก็ยังไม่ได้กลับขึ้นไปที่เชียงใหม่อีกเลย

 

กระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ช่างโทรศัพท์มาบอกว่ามีคนงานคนหนึ่งนอนหลับแล้วก็ตายไป พอได้ฟังเรื่องดังกล่าวก็รู้สึกตกใจมาก จึงได้บอกกับสามีว่า บ้านที่เชียงใหม่ไม่สร้างแล้ว ไม่ไปแล้ว ความรู้สึกมันกลัวไปเลยเพราะมองว่าอาจเกิดจากเจ้าที่ไม่พอใจในการกระทำของเรา จะทำพิธีไหว้ก็ยังไม่ได้ทำ เวลาผ่านไปหลายเดือนมีผู้ใหญ่แนะนำว่า ที่ดินนั้นเป็นของเราก็เป็นของเรา น่าจะไปทำพิธีขอขมากราบไหว้ให้ถูกต้องตามความเชื่อดีกว่า

 

'เมื่อเชิญอาจารย์ไปดูที่ดินที่ว่านั้น ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรให้ตั้งศาลเอาไว้ตรงนี้แล้วจะทำให้คนอยู่ร่มเย็นเป็นสุข' เป็นเรื่องแปลกมาก หลังจากทำพิธีตั้งศาลอะไรต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างก็ดีขึ้น กลายเป็นว่าที่ ดังกล่าวให้คุณกับเรา แต่พอไปเดินก็ยังเกาะกันเป็นหางว่าวเลยเพราะความกลัวของเรายังมีอยู่นั่นเอง ตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าจะทำอะไรก็จะกราบไหว้เจ้าที่ก่อนเสมอ 

 

เมื่อถามถึงเรื่องการทำบุญ วิธวดี บอกว่า ตามปกติแล้วครอบครัวชอบไปทำบุญโดยการซื้อโลงศพให้กับศพไร้ญาติที่ วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) เป็นประจำ โดยมีความเชื่อว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้กับตัวเราและครอบครัวเพราะชีวิตคนเราจะต้องมีอุปสรรคผ่านเข้ามาเป็นช่วงๆ ตลอดเวลา การทำบุญก็เป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดีให้หนักเป็นเบา มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าบุญคนเรามันมีหมด ดังนั้นเราต้องทำบุญล่วงหน้าไปเรื่อยๆ

 

ความเชื่อหากเราได้ทำบุญโลงศพไม่ว่าเราจะทำงานอะไรที่ติดขัด ไม่ราบรื่น มีอุปสรรคผ่านเข้ามา ทำให้เราวุ่นวายใจ แต่เมื่อได้ทำบุญโลงศพเหล่านี้แล้วก็จะทำให้เราหลุดพ้นจากวังวนดังกล่าว ชีวิตมีความไม่สบายใจต่างๆ ก็จะทำบุญโลงศพ อาทิ บางวันชีวิตทำงานไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้หรือสุนัขที่เป็นโรคหัวใจป่วย ก็จะต้องไปทำบุญโลงศพเป็นประจำ ส่วนความรู้สึกหลังจากได้ทำบุญแล้วอะไรที่เคยติดขัดอยู่ๆ ก็ราบรื่นเหมือนหลุดพ้น

 

นอกจากนี้แล้วทางครอบครัวยังสร้างพระประธานและถวายพระไตรปิฎกให้กับวัดต่างๆ ตกปีละ ๒-๓ วัด รวมทั้งการทำบุญให้กับโรงพยาบาลสงฆ์หรือพระสงฆ์ที่อาพาธอยู่เป็นประจำ พร้อมทั้งจะไปทำบุญที่วัดพระราม ๙ โดยพระอาจารย์ขาน ท่านก็จะบอกบุญว่าขณะนี้ทางวัดในต่างจังหวัดแห่งนี้ขาดกระเบื้องปูพื้น หลังคาก็ยังขาดกระเบื้อง หรือบางวัดขาดพระประธาน เราก็จะไปสร้างถวาย ดังนั้น การทำบุญตรงนี้ทางพระพุทธศาสนาเชื่อกันว่าจะได้บุญมาก การทำบุญก็จะพูดกับตัวเองเสมอว่าไม่อยากไปทำบุญตามสมาคมต่างๆ แล้วได้หน้า แบบนั้นจะไม่ทำเด็ดขาด

 

วิธวดี ย้อนอดีตให้ฟังว่า นิสัยชอบทำบุญนี้ได้รับการปลูกฝังจากตา (ร.อ.คง คุปตัษเฐียร) และยาย (สงัด คุปตัษเฐียร) โดยท่านจะไปสร้างเสนาสนะทุกอย่างให้กับวัดแคนางเลิ้ง ซึ่งท่านทั้งสองเป็นคนทำบุญเยอะมาก เวลาท่านไปวัดก็จะพาไปด้วยเป็นประจำ คนเราไม่รู้ว่าตายไปแล้วจะไปนรกหรือสวรรค์ แต่ได้ถูกสอนว่าคนเราต้องเชื่อมั่นในคุณงามความดีซื่อสัตย์ต่อตัวเองและต่อผู้อื่นด้วย

 

'ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้สิ่งที่ชั่วตอบแทน บางครั้งเราทำอะไรไม่ดี ก็จะคิดถึงคำสอนของตากับยายว่าจะต้องได้สิ่งนั้นตอบแทนไม่ช้าก็เร็ว หรือตามความเชื่อของศาสนาพุทธว่าใครทำไม่ดีหรือใครทำดีทำบุญมากเมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปรับใช้กรรมทั้งดีและไม่ดีนั้น การทำบุญเพื่อชาติหน้าจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ตัวเองไม่ลืมที่จะทำ ใครทำอะไรไม่ดีกับเราก็ขออโหสิแล้วก็เชื่อว่าเขาต้องได้รับผลกรรมนั้นไม่ภพใดก็ภพหนึ่งแน่นอน' คำสอนของตาและยายที่ วิธวดี จำได้อย่างไม่มีวันลืม

 

สำหรับพระเครื่องที่แขวนติดตัวเป็นประจำระหว่างเดินทางไปต่างจังหวัด ประกอบด้วย เหรียญรัชกาลที่ ๕, พระหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และเครื่องรางเอาไว้กันสิ่งชั่วร้ายที่คุณแม่ให้ไว้ติดตัว ส่วนหลักธรรมที่ใช้ในการดำเนินชีวิตนั้น ต้องทำดีให้ถึงที่สุด ทำอะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุด แม้ว่าสังคมทุกวันนี้เราจะไม่สามารถทำถูกทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ แต่เราก็ต้องทำ

 

'การทำบุญเพื่อชาติหน้าจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ตัวเองไม่ลืมที่จะทำ ใครทำอะไรไม่ดีกับเราก็ขออโหสิแล้วก็เชื่อว่าเขาต้องได้รับผลกรรมนั้นไม่ภพใดก็ภพหนึ่งแน่นอน'