สูตรความสำเร็จในชีวิต นิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร "ต้องมีความขยัน ซื่อสัตย์"
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง
สูตรความสำเร็จในชีวิต
นิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร "ต้องมีความขยัน ซื่อสัตย์"
"คนอื่นทำงาน ๘ ชั่วโมง แต่ผมทำงาน ๑๖ ชั่วโมงทุกวัน เพราะผมถือว่าจบแค่ ปวช.วิทยาลัยพาณิชยการเชตุพน ชีวิตเราจะก้าวให้ทันก้าวให้ไว เราต้องเพิ่มเวลาในการใช้เวลาทำงานให้มากขึ้น ตรงนี้เราจะได้วิชามากกว่าเพื่อนเป็นเท่าตัว"
นี่เป็นแนวทางชีวิตสู่บันไดความสำเร็จธุรกิจเสื้อผ้าส่งออกของ นิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร กรรมการบริหารบริษัท ไฮ-เทค แอพพาเรล จำกัด นายกสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย และประธานสโมสรบาสเกตบอลไฮเทค หรือที่รู้จักกันในนาม "เสี่ยไฮเทค"
ย้อนอดีตไปเมื่อ ๑๔ ปีที่แล้ว ใครจะเลยจะคิดว่า เด็กขายของสนามม้านางเลิ้ง ก้าวสู่ผู้ดูแลการขายของสนามมวยราชดำเนิน กระทั่งชีวิตได้ก้าวเข้าไปทำงานที่บริษัทเหรียญไทย จนกลายเป็นเจ้าของธุรกิจเสื้อผ้าส่งออกไปทั่วโลก ที่มียอดจำหน่ายปีละกว่า ๒,๐๐๐ ล้านบาท
"ชีวิตกว่าจะมีวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ มันเป็นเรื่องที่เราไม่ได้นั่งรอโอกาส แต่เราต่างหากที่วิ่งไปหาโอกาส ไปลงทุนร่วมหุ้นทำธุรกิจกับเพื่อน ชีวิตคนเราอยากจะร่ำรวย อยากจะมีเงินมีทองมากมาย เราต้องเอาเวลาใช้เงินมาหาเงิน เช่น เวลาหกโมงเย็นคนส่วนใหญ่จะใช้เงิน แต่ตัวเองยังทำงานเกือบเที่ยงคืนทุกวัน ดังนั้น หากคนเราเอาเวลาที่จะใช้เงินไปหาเงินแล้ว มันก็จะทำให้เราจากเป็นคนที่ไม่มี จะกลายเป็นคนมีเงินเหลือจนกลายเช่นเดียวกันตน" นี่คือคำยืนยันของเสี่ยไฮเทค พร้อมกับบอกด้วยว่า
คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ต้องมีความขยัน ซื่อสัตย์ สิ่งสำคัญต้องมีจรรยาบรรณในอาชีพของตน
ครั้งหนึ่งเคยมีความฝันว่า อยากจะเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล แล้วก็เป็นเจ้าของทีมบาสเกตบอล กระทั่งวันหนึ่งก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของทีมจริงๆ โดยได้ไปสรรหาคนที่มีพรสวรรค์ของการเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลได้ ก็จะนำมาเข้าอยู่ในทีมให้เงินเดือน พร้อมกับให้ทำงานประจำในบริษัทแห่งนี้ด้วย
นักกีฬาทีมชาติที่อยู่ในสังกัดสโมสรบาสเกตบอลไฮเทค ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนไทยเป็นอย่างดี ประกอบด้วย พิพัฒน์ กีร์ตะเมคินทร์ "แว่น" สิริรัตน์ ยนต์โยธินกุล สุรเชษฐ์ พงษ์ศิริ ปิยพงศ์ พิรุณ บุญช่วย โพธิ์กาด ปริญญา จินตนาสถิตย์ ทรงกิต ท้องมูล อนุชาย สาธรสวัสดิ์ ฯลฯ
"ทุกคนจะมีเงินเดือนและสวัสดิการที่จะนำพาไปสู่นักกีฬาอินเตอร์ ให้ก้าวไปเป็นนักกีฬาระดับโลก" นี่เป็นเป้าหมายสูงสุดของเสี่ยไฮเทค
ขณะเดียวกัน เสี่ยไฮเทค ยอมรับว่า เป็นคนบ้าบาสเกตบอล ชีวิตไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ชอบดูกีฬา โดยเฉพาะกีฬาบาส เขามีความฝันว่าอยากเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล แม้ว่าวันนี้ไม่ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติ แต่ก็ได้เป็นถึงเจ้าของทีมบาสเกตบอลระดับชาติ ซึ่งเขาเองมั่นว่าความฝันที่เป็นจริงไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เป็นความุ่งมั่นตั้งใจที่อยากจะมีเหมือนคนอื่น สิ่งที่ไม่ลืมว่าเรามีแล้วก็จะต้องรู้จักแบ่งปันให้กับคนในสังคมด้วย
เมื่อถามถึงพระเครื่อง เสี่ยไฮเทค บอกว่า ครั้งหนึ่งเคยแขวนพระหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ด้วยเหตุผลเดียว คือ ขณะนั้นยังไม่มีความมั่นใจว่าเป็นคนดีได้แค่ไหน ช่วงเวลานั้นเป็นคนดีที่เพียงพอหรือยัง ฉะนั้นการแขวนพระก็เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าเราต้องเป็นคนดี มาวันนี้ไม่ได้แขวนพระเครื่องอีกแล้ว เพราะคิดว่าคนเราถ้าทำความดีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนพระท่านก็คุ้มครองให้คนเราแคล้วคลาดปลอดภัย ตลอดชีวิตที่ผ่านมาจึงไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ที่เรียกว่าเฉียดตายเลยสักครั้งเดียว
สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เสี่ยไฮเทคให้ความเคารพบูชามากที่สุด คือ การบูชาเสด็จเตี่ย หรือ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ ทรงเป็นองค์บิดาและบุรพาจารย์ของทหารเรือไทย เพราะพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญคุณประโยชน์อย่างมหาศาลแก่กองทัพเรือ ตามที่พวกเราชาวเรือทุกคนทราบดีอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่ได้ยึดหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตตามบทมงคลชีวิตของพระพุทธเจ้า
เสี่ยไฮเทค บอกด้วยว่า ผลของการบูชาเสด็จเตี่ย คือวิถีชีวิตของคนเราเปรียบเสมือนต้นไม้ เมื่อยังเล็กเป็นต้นกล้าอยู่ จำเป็นต้องมีหลักค้ำ ประคองไว้ป้องกันไม่ให้ล้ม รากขาดตาย เสียก่อนฉันใด ผู้ที่หวังเจริญก้าวหน้าก็จำเป็นต้องบูชาบุคคลที่ควรบูชาไว้เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตที่ถูก เป็นหลักใจป้องกันความเห็นผิดและอกุศลกรรมต่างๆ มิให้ย้อนกลับกำเริบขึ้นมาอีกฉันนั้น และก่อนออกจากบ้านก็จะไหว้พระเพื่อให้ชีวิตเป็นมงคลทุกวันด้วย
จากนั้นไม่ว่าจะเดินทางผ่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งใด ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าที่ วัดต่างๆ อาทิ วัดพระแก้ว ศาลหลักเมือง พระพรหมเอราวัณ เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยลืมเลยก็คือ การยกมือไหว้เพื่อขอพรให้ตนเอง พร้อมทั้งขอพรให้กับคนรอบข้างให้แคล้วคลาดปลอดภัยทุกคน ขณะเดียวกัน ก็ขอให้ทำการค้าเจริญรุ่งเรือง รวมทั้งยังขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรง และส่วนตัวเป็นคนเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์อยู่พอประมาณ
ส่วนความเชื่อในเรื่องที่มองไม่เห็นนั้น เสี่ยไฮเทคอธิบายว่า ไม่ได้เชื่อแบบหลงงมงาย แต่เป็นการเชื่ออย่างมีเหตุมีผล เช่นเดียวกับบาปบุญคุณโทษ หรือกฎแห่งกรรมตามศาสนาพุทธที่เรานับถือ ที่ระบุเอาไว้ว่า ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ความชั่วตอบแทน วันนี้เราทำดีกับคนรอบข้าง วันหนึ่งเราก็จะได้สิ่งดีๆ ของคนรอบข้างนั่นแหละเป็นสิ่งตอบแทนกลับมายังตัวเราเช่นกัน ส่วนใครที่กล่าวเอาไว้ว่าทำบุญกับใครแล้วไม่ขึ้นนั้นไม่เป็นความจริง ตรงนั้นเราอาจทำดียังไม่พอต่างหาก
จริงๆ การทำความดีมันเหมือนของดีที่เราต้องโฆษณา แต่ว่าเราจะไม่โฆษณาก่อนที่เราจะทำของดีออกมา มันเป็นคติประจำใจของผม ผมมีวันนี้ได้คงตอบแทนทุกคนได้ว่า เพราะผมกตัญญูต่อพ่อแม่ คนที่ไม่กตัญญูจึงไม่ใช่คน ถึงแม้ว่าบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยมาก่อน แต่ผมก็สู้ทำงานและเลี้ยงครอบครัวมาตลอด ตามความรู้สึกก็คิดว่าความดีเหล่านั้นอาจส่งผลให้มีวันนี้
"ผมเข้าใจสัจธรรมว่า เมื่อเราประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว เราต้องเผื่อแผ่ ด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา และต้องมีความขยัน ซื่อสัตย์ อดทน ผมปกครองลูกน้องแบบครอบครัวเดียวกัน ต้องมีระเบียบ ข้อปฏิบัติร่วมกัน เราห่วงใยกัน เรามาค้าขึ้น เพราะเราไม่ได้เอาเปรียบลูกน้อง และสิ่งที่ขาดไม่ได้ของการเป็นเจ้านายคือ เราต้องมีความยุติธรรมและความเป็นธรรมกับลูกน้อง" นิพนธ์กล่าวทิ้งท้าย