ชีวิตที่ไม่แน่นอนของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กลับมาเป็นแม่อีกครั้ง หลังพักยกการเมือง

ชีวิตที่ไม่แน่นอนของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กลับมาเป็นแม่อีกครั้ง หลังพักยกการเมือง

 

                                                                                                                                                      

 

 

 

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง • ภาพ : มาโนช ภาชีรัตน์,นพพล ภาคสุทธิผล • แต่งหน้า : สุดใจ ตั้งสิริประชา
 

 

ชีวิตที่ไม่แน่นอนของ คุณหญิงสุดารัตน์  เกยุราพันธุ์

 

กลับมาเป็นแม่อีกครั้ง หลังพักยกการเมือง
 

 

เป็นผู้หญิงแถวหน้าในแวดวงการเมืองที่มีบทบาทโดดเด่น นับตั้งแต่เริ่มเดินเข้าสู่ เส้นทางสภาหินอ่อนตั้งแต่ปี 2535 ในสังกัดพรรคพลังธรรม กระทั่งมาร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2541 ปัจจุบันเธอเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย สั่งให้เว้นวรรคเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ 30 พฤษภาคม 2550 เป็นต้นมา

 

เมื่อถึงวันที่ต้องวางมือ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกรดเอหลายสมัย ซึ่งขึ้นชื่อว่า เป็นนักการเมืองหญิงที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับเก็บตัวใช้ชีวิตเรียบง่ายท่ามกลางครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รัก จึงไม่บ่อยนัก ที่จะเห็นเธอปรากฏตัวในงานสังคมมากมายเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา

 

นอกจากนั้นยังแบ่งสรรเวลายามว่างมาพัฒนาทักษะอันเป็นพรสวรรค์ที่ซุกซ่อนโดยไม่มี ใครรู้มากนัก เช่นการวาดภาพสีน้ำ เธอเปิดตัวผลงานสู่สาธารณชนครั้งแรกด้วยผลงานภาพ ชุดดอกไม้ จัดทำเป็น ส.ค.ส. ปี 2553 โดยนำรายได้สมทบทุนโครงการ “แก้วตาดวงใจ เทิดไท้องค์ราชา ราชินี” เพื่อผู้ป่วยยากไร้

 

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ยอมเปิดบ้านพักย่านลาดปลาเค้าเป็นครั้งแรกให้ ได้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา พร้อมอัพเดตสถานะใหม่ในบทบาท นักวาดรูป และนักเขียนมือใหม่ในวงการ
 

 

//เป็นสุขกับบทบาท “แม่” ที่ได้ดูแลครอบครัว

 

กว่า 2 ปีที่ว่างเว้นจากการเมือง คุณหญิงหน่อยยังคงทำงานเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการมีเวลาให้กับครอบครัวอย่างเต็มที่ รอยยิ้มและแววตาที่คุ้นเคยดูสดใสกว่าเคย ยามเอ่ยถึงภารกิจการทำหน้าที่ภรรยาของสามี แม่ของลูก และลูกสาวของพ่อแม่

 

“เวลาถูกแบ่งให้กับครอบครัวในการดูแลลูกๆ สามี และดูแลคุณพ่อคุณแม่ เหมือนเพิ่ง ได้เริ่มเป็นแม่อีกครั้ง ได้ทำอาหารให้ลูกๆ รับประทานบ้าง เพราะปกติลูกชายคนโต (น้องบอส-ภูมิภัทร) กับสามี (สมยศ ลีลาปัญญาเลิศ) จะทำกับข้าวให้รับประทาน

 

“ตอนที่ลูกชายคนโตยังเล็กมีนักข่าวมาถามว่า คุณแม่ทำอาหารให้รับประทานบ้างหรือเปล่า เขาก็ตอบว่า ทำคอนเฟล็ก ก็คือเทคอนเฟล็กแล้วก็ใส่นมให้กิน คือสิ่งที่เขาจำได้ แต่ตอนนี้พอ จะทำอาหารให้กับลูกคนเล็กสองคนรับประทานได้ ก็จะเป็นข้าวผัด สเต๊กง่ายๆ พอให้ลูกปลื้มใจว่า แม่ทำอาหารให้เขาได้บ้างแล้ว” คุณแม่ลูกสาม เล่าพลางยิ้มเขินสลับหัวเราะชอบใจกับบทบาท แม่บ้านเต็มตัว

 

“นอกจากเวลาที่ให้กับครอบครัวแล้ว ยังได้ดูแลตัวเอง มีเวลาตกแต่งบ้าน ทำอะไร ที่เราชอบ อาทิ การวาดรูป ได้ทำงานที่เราชอบ ออกกำลังกายด้วยการเดินและว่ายน้ำ จากเดิมเป็นคนรณรงค์ให้คนอื่นออกกำลังกาย แต่ตัวเองกว่าจะกลับถึงบ้านก็ 3 ทุ่ม ไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปออก พอตื่นเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน แต่วันนี้ชีวิตได้ออกกำลังกายจริงๆ เสียที ช่วงก่อนป่วยเป็นไข้หวัด 2009 น้ำหนักก็ลดไปหลายกิโลฯ แต่พอให้น้ำเกลือน้ำหนักขึ้น มาอีกหลายกิโลฯ” น้ำเสียงอารมณ์ดี บ่งบอกความสุขที่มีเวลาดูแลเอาใจใส่สุขภาพตัวเองกว่าเดิม

 

 

 

// บ้าน คือ ครอบครัวที่มีชีวิต…เต็มเปี่ยมสุข

 

ระหว่างพูดคุยคุณหญิงหน่อยพาเดินเล่นรอบๆ บริเวณบ้านที่รายล้อมไปต้นสนสูงตระหง่านโดยรอบให้ความรู้สึกร่มเย็น ชวนสบายใจ

 

ความที่ชื่นชอบดอกไม้จึงทำให้ทั่วทั้งบริเวณบ้านมีดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่งอยู่โดย รอบ ทว่ามุมสุดโปรดที่ชอบมานั่งหย่อนใจมากที่สุด คงยกให้ศาลาพักใจในสวนหลังบ้าน “ชอบมานั่งเล่นหลังกลับมาจากทำงานแล้วจะรู้สึกสบายใจ บางทีก็มาอ่านหนังสือ วาดภาพ ปลูกต้นไม้ ถ้าถามถึงความหมายของบ้านสำหรับตัวเอง คงต้องบอกว่าการมีครอบครัวที่เรารัก อยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น และมีความรักให้แก่กัน ทำงานข้างนอกเหนื่อยกลับบ้าน ก็เหมือนได้ เติมน้ำมันให้มีพลังในการต่อสู้กับปัญหาข้างนอกต่อไป”

 

 

 

// สานฝันวัยเด็ก “อยากเป็นนักวาดภาพ”

 

หลังเว้นวรรคจากงานการเมือง ทำให้อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้ใช้เวลาว่าง ฝึกวาดรูปที่ชื่นชอบมาตั้งแต่เยาว์วัย เธอฝันว่าอยากฝึกวาดภาพมานานแล้ว แต่หมดเวลาไปกับ การทุ่มเทให้การเมืองตลอด 17 ปี ฉะนั้นยามว่างจากการเมือง ทำให้มีโอกาสได้กลับมาเรียน วาดรูปพร้อมกับลูกๆ แบบเป็นจริงเป็นจัง จนกลายเป็นผลงานภาพวาดดอกไม้หลากหลายชนิด

 

“ชอบวาดรูปมานานแล้ว เวลานั่งประชุมจะชอบเขียนลายกนก หรือดอกไม้เล็กๆ บนกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้า ตอนที่ทำงานการเมืองใหม่ๆ คิดเสมอว่าจะทำไม่นาน สักระยะหนึ่งก็จะขอรีไทร์มาเรียนวาดรูป แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที เผลอแป๊บเดียว 17 ปีแล้ว พอถูกตัดสิทธิทางการเมืองเลยได้มีโอกาสเลี้ยงลูก ดูแลพ่อแม่ ยังได้พาท่านไปเที่ยวประมาณ 2 ครั้ง แล้วคุณแม่ (เรณู เกยุราพันธุ์) ก็จากไปแบบไม่มีวันกลับ” คุณหญิงเล่าถึงคุณแม่ที่ เสียชีวิตไปเมื่อกลางปี 2551 ถือเป็นช่วงเวลาที่ทรมานใจที่สุด แต่ทำให้เข้าใจถึงการสูญเสีย

 

“หลังเหตุการณ์ปฏิวัติในปี 2549 ตอนแรกก็ตั้งใจใช้เวลาในการดูแลครอบครัวและพาคุณพ่อคุณแม่เที่ยว แต่โชคไม่ดีหลังปฏิวัติได้ไม่นานคุณแม่ก็ล้มป่วย จึงได้ทุ่มเทเวลา 2 ปีดูแลคุณแม่ ระหว่างที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างเต็มที่ หลังจากคุณแม่เสียก็เสียใจมากต้องทำใจอยู่นาน จนสงกรานต์ปี 2552 เริ่มตั้งหลักชีวิตใหม่  เลยตั้งใจทำในสิ่งที่ฝันคือการวาดรูป เดือน พฤษภาคมถึงได้เรียนแบบจริงจังกับกลุ่มเพื่อนเซนต์โยฯ ที่พาลูกมาเรียนด้วยกัน พอดีเพื่อนของสามี อาจารย์พันศักดิ์ ว่องกสิกร เป็นเจ้าของโรงเรียนไทยวิจิตรศิลป์ ส่งครูมาสอนที่บ้าน  ทำให้ได้รู้เทคนิค สิ่งสำคัญเราต้องขยันฝึกหน่อย จากชีวิตที่เป็นคนใจร้อน เป็นคนที่ทำอะไรเร็ว ทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน” ศิลปินมือใหม่เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี

 

ความที่เป็นคนชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน อย่างเวลา ทำการบ้าน ตาก็ดูโทรทัศน์ และปากยังสามารถคุยกับผู้คนได้ด้วย ถือเป็นพรสวรรค์ที่ยากในการ เลียนแบบ “เป็นคนไฮเปอร์เล็กๆ จะไม่ค่อยอยู่นิ่ง แต่พอคุณแม่ป่วยก็เลยได้สวดคาถาชินบัญชร ให้ท่าน ตอนเช้า-เย็นข้างๆ เตียงทุกวัน ทำให้จิตใจนิ่งขึ้น พอมาวาดรูปจิตใจยิ่งนิ่งมีสมาธิมากขึ้น”

 

สำหรับเทคนิคการวาดรูป ครูจะให้เลือกวาดในสิ่งที่ถนัด เธอจึงเลือกวาดรูปดอกไม้ อาทิ ลีลาวดี, กระดังงาเขียว, ว่านสี่ทิศ, คาร์เนชั่น และดอกหน้าวัว จนกลายมาเป็น ส.ค.ส. ปี 2553 ช่วยการกุศลที่ตั้งเป้าจะนำรายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ โครงการ “แก้วตาดวงใจ เทิดไท้องค์ราชา ราชินี” มิหนำซ้ำเธอยังวาดฝันไปถึงอนาคต อาจจัดนิทรรศการภาพให้ทุกคนได้ชื่นชมฝีมือก็เป็นได้

 

 

 

//สู่ทำเนียบ “นักเขียนหน้าใหม่”

 

นอกจากได้สำแดงฝีมือวาดรูปเป็นศิลปินมือใหม่ตามความฝันแล้ว อีกบทบาทที่ก้าวตาม มาติดๆ คือ การหันมาจับปากกาเขียนหนังสือเล่มแรกในชีวิต “พ่อ Hero ในดวงใจ” ที่ตั้งใจทำขึ้น มาแจกเป็นที่ระลึกสำหรับผู้ที่มาร่วมงานวันเกิดคุณพ่อในวันที่ 21 ตุลาคม 2552 อายุครบ 72 ปี

 

“หนังสือเล่มนี้พยายามเรียบเรียงใหม่เพื่อให้เนื้อหาออกมาสมบูรณ์กว่าเดิม คาดว่าปี 2553 คงได้พิมพ์ออกมาจำหน่ายจริงๆ ตั้งใจให้หนังสือออกตอนวันพ่อที่ผ่านมา เพราะอยาก บอกให้ลูกๆ รู้ว่า ชีวิตของตัวเองที่ได้ดิบได้ดีมาถึงวันนี้เพราะคำสอนของพ่อ แต่ในสิ่งที่พ่อสอน ตอนเด็กๆ เราอาจไม่เข้าใจ ซึ่งคิดว่าเด็กๆ หลายคนในตอนนี้ก็น่าจะเป็นเหมือนกันที่ไม่เข้าใจ คำสอนของพ่อแม่ แต่จะมีคำถามตลอดว่าทำไมต้องมาบังคับ จู้จี้กับเรา แต่วันที่เราโตขึ้น ถึงจะเข้าใจ

 

“เนื้อหาของหนังสือต้องการจะบอกลูกๆ ว่า คำสอนของพ่อถ้าเราทำความเข้าใจตั้งแต่ เป็นเด็กจะทำให้ทุกคนเติบโตเป็นคนดีของสังคม ดูได้จากตัวเองที่เติบโตมาทำหน้าที่เป็น นักการเมือง ซึ่งต้องทนแรงเสียดทานจากคนรอบข้าง ต้องขยันทำงานแบบนี้ ต้องซื่อสัตย์ กับคนอื่น และซื่อสัตย์กับองค์กร เพราะถูกปลูกฝังคำสอนมาจากพ่อทั้งสิ้น” ลูกสาวคนเดียวของ คุณพ่อสมพล และคุณแม่เรณู เอ่ยถึงคำสอนที่ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์

 

นอกจากนี้ ยังเตรียมเขียนหนังสือเล่มที่ 2 เกี่ยวกับการทำงานในเหตุการณ์สึนามิ จ.พังงา โดยมีความตั้งใจว่าจะต้องทำให้สำเร็จตามที่วางโครงเรื่องไว้ เพื่อบันทึกเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต การทำงานที่จำไม่รู้ลืม

 

//คำทำนายโหรฟองสนาน “อีก 5 ปีเมืองไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิง”

 

จากนี้ไปเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ปี คุณหญิงสุดารัตน์จะพ้นจากสถานภาพสมาชิก บ้านเลขที่ 111 เมื่อใครเจอหน้าเป็นต้องถามว่าจะกลับมาเล่นการเมืองอีกหรือไม่ รวมทั้งกระแส ข่าวที่จะตั้งพรรคการเมืองเป็นของตัวเองยังเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งธงไว้ในใจเช่นกัน
 

 

“วันนี้ยังตอบไม่ได้ 100% ว่าจะต้องกลับไปทำงานการเมืองอีกหรือไม่  แต่อยากบอกว่าอะไรที่ทำแล้ว เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเราทำแน่ ขณะนี้ไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมืองก็ยังมาทำงาน มูลนิธิไทยพึ่งไทยเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ตกงานให้มีอาชีพและโครงการแก้วตาดวงใจ เพื่อช่วยผ่าตัดหัวใจและดวงตาให้ผู้ป่วยที่ยากไร้ ก็เป็นเรื่องที่ทำเพื่อสังคม และส่วนรวม จริงๆ ก็มีข้อแม้ในใจเหมือนกันว่า สถานการณ์บ้านเมืองต้องเป็นประชาธิปไตย แล้วจะต้องมีกฎกติกาที่เป็นสากล เพราะถ้าเราไม่ยึดกติกาสากล หรือไม่เป็นประชาธิปไตยบ้านเมือง จะเดินยาก ทำงานก็ยาก บ้านเมืองเลยไม่สงบเสียที ยังอยากทำงาน แต่กติกาต้องเอื้ออำนวย ให้ทำงานได้ด้วย ถ้ากติกาไม่เป็นประชาธิปไตย สู้อยู่ข้างนอกทำงานช่วยเหลือสังคมอย่างทุกวันนี้จะได้ประโยชน์มากกว่า  ” มุมมองการเมืองในอนาคตอันใกล้ของอดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
 

 

ส่วนประเด็นการทำนายดวงของโหรฟองสนาน จามรจันทร์ ที่เคยทำนายลงใน WhO? ว่า เมืองไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกที่ชื่อมี ส. นำหน้า? เจ้าตัวยิ้มเขิน หัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนตอบว่า “ถามว่า เชื่อไหมว่าจะได้เป็นนายกฯ นะหรือ ไม่รู้เป็นนายกสมาคมไหนนะพี่ฟอง เขียนตกไปหรือเปล่าไม่รู้ พี่ทำงานการเมืองไม่ได้คิดว่าจะต้องได้ตำแหน่งใดๆ แต่ทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้ว เกิดประโยชน์กับส่วนรวมและกับประเทศชาติ เช่น โครงการ 30 บาท ที่เห็นได้ชัดว่าสามารถช่วยคนได้จริง
 

 

“เวลาที่ทุ่มเทให้กับงานการเมืองที่ผ่านมา ทำให้ไม่มีเวลาที่จะดูแลพ่อแม่ ลูกและสามีเลย ดังนั้นเมื่อเราต้องเสียสละเวลาที่คุณจะให้ครอบครัวมาทำงานเพื่อส่วนรวมก็ต้องการให้งานที่เรา ทำประสบความสำเร็จ เป็นผลประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่อยากเสียเวลาไปเปล่า ๆ  และยังตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวมอยู่ เพราะคุณพ่อปลูกฝังไว้ในสายเลือด ถ้าพูดตามภาษาคอมพิวเตอร์คือ พ่อฝังชิปเอาไว้แล้ว”
 
 

 

//พบสัจธรรมชีวิต “ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน”

 

กับชีวิตที่โลดแล่นบนถนนการเมืองมาตลอด 17 ปี ทำให้คุณหญิงหน่อยพบสัจธรรมชีวิต ที่ว่า “แม้จะเป็นคนพุทธก็ไม่ค่อยได้เข้าวัดเข้าวามากนัก แต่ก็ได้ศึกษาธรรมะอยู่ตลอด ทำให้เมื่อชีวิตเกิดอะไรขึ้น เราต้องมีสติ ศาสนาพุทธสอนให้เราใช้สติในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช้อารมณ์ ความโลภ โกรธ หลง  แม้ว่าจะทำงานเหมือนเครื่องจักรที่ถูก วางโปรแกรมไว้ตั้งแต่เช้าจนค่ำ กลับมาถึงบ้านยังต้องมานั่งเซ็นงานต่อ กว่าจะได้กินข้าวเย็นตอน 4 ทุ่ม เห็นหน้าลูกก็ตอนที่เขาเข้านอนแล้ว ดังนั้นพอได้หยุดงานการเมือง และคุณแม่ ล้มป่วยลงและเสียชีวิต ทำให้ได้คิดทบทวนในสิ่งที่ลูกต้องทำให้กับพ่อแม่ จนได้รู้ซึ้งถึงคำว่า ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน จริงๆ
 

 

“ช่วงคุณแม่ป่วยเหมือนได้กลั่นกรองพิจารณาชีวิต โชคดีที่เคยทำงานอยู่กระทรวงสาธารณสุขมาทำให้ ได้นำความรู้มาช่วยดูแลแม่ตลอด 2 ปีที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พอเสียคุณแม่ และ คุณพ่อป่วย ยิ่งได้เห็นสัจธรรมว่า ชีวิตคนเราไม่แน่นอน เหมือนกับว่าถ้าเราไปยึดถือตัวตน ท้ายที่สุดเราก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย ทำให้ได้คิดว่า เราจะทำยังไงที่จะอยู่กับโลกปัจจุบันนี้ แล้วทำในสิ่งที่ดีที่สุด อยากฝากถึงลูกทุกคนว่า การที่เราบอกว่ารักพ่อแม่ แต่ทำความดีให้ท่าน ตอนที่ท่านไม่มีชีวิตอยู่แล้ว มันจะไม่เกิดประโยชน์อะไร ตอนนี้จึงตั้งใจดูแลคุณพ่อและครอบครัวให้ดีที่สุด
 

 

“สมัยเป็นรัฐมนตรี ทุกเช้าก่อนไปทำงานจะต้องเข้าไปหอมแก้มพ่อหอมแก้มแม่ ตอนเย็นกลับมาก็จะต้องเข้าไปหอมแก้มท่านอีก สำหรับลูกก็เหมือนกัน ถ้าลูกนอนคว่ำอยู่ ก็จะเข้าไปหอมก้นลูกเป็นประจำ (หัวเราะ) ดังนั้นวันนี้ไม่ว่าทำอะไรต้องทำอย่างดีที่สุด และต้องตั้งอยู่ ในความไม่ประมาท สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องรู้จักประมาณตัวเอง สำหรับตัวเองเป็นคน ไม่ยึดติดกับหัวโขน ยังต้องการใช้ชีวิตเยี่ยง คนธรรมดา” อดีตรัฐมนตรีหญิงหลายกระทรวงสะท้อนตัวตนชัดเจน
 
 
 
 

 

แม้วันนี้บทบาทของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะไม่ใช่นักการเมืองหญิงแถวหน้า อย่างที่เคยเห็น หากบทใหม่ในฐานะศิลปินมือใหม่ทั้งนักวาดภาพ และนักเขียน คงเสมือนกระจกสะท้อนความคิดอีกมุมหนึ่งในชีวิตของเธอมากกว่าที่คุณเคยรู้จัก