ทิ้งมรดกพันล้านจริงหรือ? สุมณี คุณะเกษม “ทุกอย่างไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน”

ทิ้งมรดกพันล้านจริงหรือ? สุมณี คุณะเกษม “ทุกอย่างไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน”

 

  

 

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : อภิชาติ สุคุณณี
แต่งหน้า : ประทักษ์ โกมลนิรมิต ทำผม : ป๊อก เชลซี
 
 
ทิ้งมรดกพันล้านจริงหรือ?
สุมณี คุณะเกษม “ทุกอย่างไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน”
 
 
 
ภรรยาอดีตเอกอัครราชทูต เจ้าของบ้านวัตถุโบราณอันล่ำค่ามหาศาลราวพิพิธภัณฑ์ วางแผนชีวิตหากจากโลกนี้ไป เตรียมนำมรดกพันล้านสร้างให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เจ้าของฉายา “เจ้าแม่บาร์บี้” สุมณี คุณะเกษม อายุ 76 ปี ภรรยาอดีตเอกอัครราชทูต, ปลัดกระทรวงและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ "ประชา คุณะเกษม" จึงเป็นที่มาของการสะสมของเก่ามากมายจากทั่วโลก และวันนี้กำลังตัดสินใจถึงการบริหารอย่างไรเพื่อให้ของสะสมได้อยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์
 
 
//หลงรักของเก่า
บ้านหลังนี้อยู่ย่านหลังสวนเมื่อคุณพ่อของเธอเสียชีวิต เป็นช่วงเวลาที่ต้องติดตามสามีไปรับราชการเป็นเอกอัครราชทูตยูเย็น ณ กรุงนิวยอร์ก เมื่อย้ายกลับมาเมืองไทยจึงได้เข้ามาอยู่ที่อาคารหลังนี้ที่เป็นอาคารให้เช่าอาศัยที่คุณพ่อคุณแม่สร้างไว้จากที่เคยอยู่ที่บ้านเดี่ยวบนถนนเดียวกัน จึงได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ แล้วในฐานะภริยาทูตจึงมีโอกาสได้เดินทางไปในหลายประเทศเลยมีโอกาสได้ประมูลของที่มีราคามากมายมาประดับไว้ที่บ้านหลังนี้ อาทิ วัตถุโบราณล้ำค่ามากมาย อย่างเช่นเครื่องปั้นดินเผาจากราชวงศ์จีนและฝรั่งเศส หรือของเก่าที่เป็นศิลปะตะวันตก ที่ถูกนำมาประดับทางเข้าบ้านอย่างหรูเลิศอลังการ
 
“ที่เริ่มซื้อและประมูลของตั้งแต่แต่งงานก็เพราะสามีรับราชการอยู่กระทรวงการต่างประเทศที่ต้องรับแขกระดับชาติ ทำให้เราต้องแต่งบ้านให้สวยงาม พอเวลาไปอยู่ต่างประเทศก็เลยได้ไปประมูลของเหล่านี้มาแต่งบ้านและทำเนียบทูต เพราะสินค้าที่ประมูลมาส่วนใหญ่ราคาจะถูกกว่าราคาจริงจากร้าน เรียกว่าไปงานประมูลบ่อยมาก เพราะเป็นคนชอบของเก่า พอเอามาตกแต่งที่บ้านแล้วก็ทำให้บ้านดูสวยงาม ยิ่งไปอยู่ในเมืองใหญ่ เช่น นิวยอร์ค ปารีส เจนีวา ของที่เปิดประมูลนั้นจะสวยๆทั้งนั้น ที่ฮ่องกงก็เหมือนกัน พอเห็นก็อดไม่ได้ที่จะไปประมูลแทบทุกครั้ง(หัวเราะ) แล้วการที่ประมูลของมาก็เอามาใช้จริงๆ ไม่ได้เอามาเก็บไว้ในตู้โชว์
 
“ชิ้นที่ประมูลมาได้ในราคาแพงที่สุดคือ ตู้มาลาไคท์คู่ที่ประมูลมาจากนิวยอร์ก ราคาประมาณ 30 ล้านบาทเลยทีเดียวหรืออย่างเก้าอี้ไม้ตัวนี้แพงมากๆ ราคาประมาณ 15 ล้าน เพราะทำมาจากไม้ที่ใช้เวลาปลูกเป็นร้อยๆปี สมัยโบราณก็จะมีราชวงศ์เท่านั้นที่ได้ใช้ เดี๋ยวนี้เก้าอี้แบบนี้มีอยู่ในโลกไม่กี่พันตัวก็เลยเป็นที่ปรารถนาของผู้คนที่ชอบและนักสะสม เก้าอี้ตัวนี้เลยเป็นเก้าอี้ที่ใช้กันมาในสมัยโบราณทำให้มีราคาซื้อหากันแพงมาก” นี่จึงเป็นที่มาของงานสะสมของเธอที่มีมูลค่าพันล้าน
 
 
//มูลนิธิ "มณีมณฑ์ชา"
แม้ว่าเธอจะสะสมของโบราณล้ำค่าไว้มากมาย แต่เธอกลับมีความคิดที่จะยกคฤหาสน์ส่วนตัวทำเป็น "พิพิธภัณฑ์" โดยให้คงสมบัติทุกชิ้นไว้เหมือนเดิม หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ลูกชายวชิระมณฑ์ คุณะเกษมธนาวัฒน์ (เดิมชื่อ ประมณฑ์ คุณะเกษม) ไม่มีครอบครัว ไม่มีใครสืบทอดสกุล และสิ่งของทุกชิ้น ก็ใช้งานมาจนอิ่มใจแล้ว พออายุมากขึ้นทำอะไรไม่ไหวลูกชายคงไม่มีเวลามาดูแล จึงอยากจะเก็บข้าวของเหล่านี้ไว้ภายใต้ชื่อมูลนิธิ "มณีมณฑ์ชา" ซึ่งคำว่า “มณี” มาจากชื่อสุมณี, “มณฑ์” มาจากชื่อลูกชาย และ “ชา” มาจากชื่อสามี ประชา)
 
"“ซื้อหาและประมูลมาเก็บไว้ตกแต่งบ้านถ้าดูตามตัวเลขก็ไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนตัวใช้เวลาชั่วชีวิตสะสมมาได้ขนาดนี้ ก็ต้องใช้กำลังเงิน เวลา และโอกาส จึงน่าจะเก็บไว้ให้ลูกหลานคนไทยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของ นึกอยากจะมาดูเพื่อความรู้ หรือเพื่อความเจริญตา ก็สามารถมาดูได้ตลอดเวลา แต่ถ้าจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ในอนาคตตรงนี้คงต้องคิดดูอีกที เพราะจริงๆเป็นเรื่องยากมากที่จะหาคนมาสืบทอดเจตนารมณ์ของเราในการดูแลของเก่าเหล่านี้ แม้กระทั่งคนทำความสะอาดทุกวันนี้ยังหายากเลยที่จะเข้าใจในการดูแลของต่างๆความตั้งใจครั้งแรกที่อยากจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์จะต้องดูว่ามันจะคุ้มกันหรือเปล่า ดูแลไม่เป็นของก็จะเสียหายได้ และการดูแลค่อนข้างยากเพราะเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศการดูแลรักษาเลยค่อนข้างยาก สภาพอากาศบ้านเราร้อนชื้น อย่างรูปวาด พรม การทำนุบำรุงดูแลอย่างดีต้องใช้กำลังเงินเยอะมากๆ ดังนั้นในอนาคตเราต้องหาคณะกรรมการที่สามารถดูแลของเหล่านี้ต่อจากเราด้วยการรักและเข้าใจของจริงๆ เพื่อจะอยู่ได้ตลอดไป จะว่าไปแล้วสิ่งเหล่านี้หรือทุกอย่างที่มีก็ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืนอะไรในชีวิตเหมือนกัน ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการดูแลของเก่าเหล่านี้กว่าหนึ่งล้านบาททุกเดือน แต่ค่าไฟที่จะต้องเปิดเครื่องปรับอากาศให้สม่ำเสมอตลอด 24 ชั่วโมงทุกห้องก็มหาศาล
 
 
//สวยด้วยธรรมชาติ
แม้ที่ผ่านมาสังคมจะมองว่าคุณสุมณีทำศัลยกรรมทั้งใบหน้า แต่เธอยอมรับทำแค่ตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นไม่เคยทำ โดยเฉพาะริมฝีปากที่ดูหนาเกิดจากทาลิปสติกให้เกินขอบปากจึงทำให้ดูปากอวบอิ่มอยู่ตลอดเวลา ส่วนเรื่องจมูกก็แค่ใช้ไฮไลท์ทำให้โด่ง
 
“ทุกวันนี้คนเราสามารถทำให้ตัวเองสวยชึ้นได้ มันเป็นเทรนด์ไปแล้ว เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะสวยได้ แต่สำคัญที่คุณหมอ ถ้าผิดพลาด จากที่เราอยากสวยก็จะกลายเป็นเรื่องที่ตรงข้ามไป ทุกวันนี้สุขภาพสำคัญสำหรับดิฉัน ต้องอาศัยดูแลเรื่องการกินเป็นพิเศษ พยายามหันเข้าหาธรรมชาติให้มากที่สุด แม้แต่เครื่องสำอางก็พยายามใช้ที่ทำมาจากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงของที่ทำมาจากพวกเคมิเคิล หรือสารเคมีต่างๆ เพราะร่างกายของเราตอนนี้ก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนสมัยก่อนที่ยังหนุ่มยังสาว จะหาหมอโดยทุกสองเดือนก็จะตรวจและเช็คเลือดประจำเพื่อจะสลับสับเปลี่ยนวิตามินต่างๆให้สมดุลกับที่ร่างกายต้องการและหาหมอผิวหนังเป็นประจำเช่นกัน เพราะเป็นคนหน้ามัน มีสิว และอายุมากขึ้นก็เริ่มมีกระ ก็จะมีการจี้ออกไปบ้าง ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็อาจกลายเป็นเนื้อร้ายได้ การดูแลผิวก็เลยเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน”
 
 
//ลีลาศเพื่อสุขภาพ
ส่วนตัวเธอยังเป็นคนชอบออกกำลังกายด้วยการเต้นลีลาศ เป็นกีฬาอย่างเดียวที่ยังทำไหวในวัยขนาดนี้ แม้การเต้นจะไม่ค่อยพลิ้วเหมือนสมัยก่อนแล้ว(หัวเราะ) เต้นเพลงสองเพลงก็เหนื่อย แต่มันเป็นการออกกำลังเพื่อให้ร่างกายเราได้ขยับเขยื้อนบ้าง ทำให้ได้ผ่อนคลายจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน ได้อยู่กับเสียงเพลง ได้อยู่กับสังคมกับเพื่อนมันคล้ายๆเหมือนกับชีวิตเรามันต้องดำเนินต่อไป ถ้าเราอยู่กับคนในบ้านตามลำพังก็ไม่ค่อยได้รู้ได้เห็นสิ่งรอบข้างที่เกิดขึ้น”
 
 
//สัจธรรมชีวิต “พอใจชีวิตก็มีสุข”
“ผ่านและเห็นอะไรมามากมายในชีวิต ขณะนี้ก็ไม่ได้นิยมยินดีในอะไรเหมือนในอดีตแล้ว ทุกวันนี้จะนึกถึงคนรอบข้างและสิงห์สาราสัตว์รอบตัว อะไรที่ให้ได้เราก็ให้ ทุกวันนี้จะให้อาหารนกและกระรอกวันละ 5 ถาด หรืออย่างมดเรามีอาหารอะไรที่เหลือก็จะเอาไปให้เขาในสวน ทำให้เขาไม่ต้องขึ้นมาบ้านเรา(หัวเราะ) ทุกเดือนก็ปล่อยโคเป็นคู่ และเพศเมียก็ต้องท้อง สลับกับปล่อยควายเป็นคู่อีกเช่นกัน สลับกันไปทุกเดือน ปล่อยปลาไข่ 100 กิโลด้วย ส่งอาหารให้สุนัข 750 ตัวทุกเดือน ชีวิตที่ดำเนินไปในขณะนี้ถือว่าเป็นกำไร
 
“ตอนนี้ไม่โลภโมโทสันอะไรแล้ว และชีวิตนี้ก็ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรอีกแล้ว เพราะวันหนึ่งเราจากโลกนี้ไปสิ่งที่เราทำและสะสมไว้อาจจะเป็นภาระให้กับคนรุ่นหลัง อย่างของเก่าที่มีอยู่มากมายแบบนี้ ถ้าจะไปซื้อมาอีกก็จะยิ่งจะเป็นภาระคนรุ่นหลังอีกตอนนี้เลยต้องหยุด(หัวเราะ) ขนาดตอนนี้หาสถานที่เก็บยังไม่ค่อยจะมี
 
“ทุกวันนี้พอใจกับชีวิตและชีวิตก็มีความสุขแล้ว ชีวิตที่เหลือก็พยายามปฏิบัติดีกับคนรอบข้างให้ได้มากที่สุด อะไรที่คิดว่าทำแล้วมีความสุข ทำแล้วไม่ได้ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนถึงจะทำ ช่วยเหลือคนที่เราพอจะช่วยได้ โดยเฉพาะลูกน้องหรือคนรอบข้างก็พยายามช่วยเหลือพวกเขาให้ได้อยู่อย่างสุขสบายไม่มีทุกข์ พยายามใช้เมตตาจิต และจะไม่โกรธใคร เพราะบางคนชีวิตอาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรที่ทำให้เป็นแบบที่เขาเป็น ที่อาจระคายเคืองก็จะให้อภัย ผู้คนที่ร่วมงาน เราก็อดเอ็นดูรักใคร่ไม่ได้”
 
 
//ส่งเสริมพระพุทธศาสนา
“เป็นคนเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมมากๆ อย่างตอนไหนที่ชีวิตเราประสบปัญหา มันก็อาจเป็นเรื่องกฎแห่งกรรมที่เราเคยทำอะไรไม่ดีไว้ เราก็ต้องยอมรับด้วยดีเพื่อที่จะให้มันจบๆกันไปในชาตินี้จะได้ไม่ต้องผูกใจเจ็บกันต่อไปในชาติหน้า เมื่อเดือนที่แล้วยังได้ไปนั่งวิปัสสนา กับพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล ที่วัดนาป่าพง ปทุมธานี ท่านสอนดีมาก มูลนิธิของเราก็ได้ช่วยท่านพิมพ์หนังสือพุทธวจน และกำลังจะออกเล่มสองชื่อว่า “เดรัจฉานวิชา” ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าคนเราไม่จำเป็นต้องไปทำพิธีกรรมอะไรมากมาย ท่านจะสอนให้เราทำบุญยังไงให้ถูกต้องแบบเรียบง่าย เช่น เราใส่บาตรก็ไม่จำเป็นต้องกรวดน้ำ แค่เราตั้งจิตอธิษฐานก็ได้แล้วโดยไม่ต้องพึ่งพิธีกรรมใดๆเลย ทุกอย่างอยู่ที่จิตเรา หรือการขับรถแล้วรถติดเราก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก แทนที่จะโมโหก็ให้ตั้งสติกำหนดลมหายใจ ติดตามลมหายใจเข้าออกของเราแค่ลัดนิ้วมือเดียวก็ได้กุศลแล้ว เนื่องจากระหว่างนั้นเราจะลืมทุกอย่างที่เป็นอกุศล
 
“ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไรเป็นเรื่องที่อีกนานมาก(หัวเราะ) แต่ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ถือว่าเป็นบุญหนักหนา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม มีโอกาสได้ทำความดี เพราะในภายภาคหน้าเราก็ไม่รู้ว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกเมื่อใด พระพุทธเจ้ายังบอกเลยว่าเกิดเป็นเทวดายังอิจฉามนุษย์ เพราะเทวดาไม่มีโอกาสได้ทำบุญทำกุศลเหมือนมนุษย์เลย ด้วยความที่เราเป็นมนุษย์เรามีโอกาสที่จะทำทุกอย่าง แต่อยู่ที่ว่าเราจะทำกันหรือเปล่า ทุกวันนี้พยายามทำบุญทำกุศลอย่างเดียว เพราะชีวิตได้ผ่านการมีลาภ ยศ สรรเสริญและได้ทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์มาหมดแล้ว ชีวิตที่เหลือขอช่วยเหลือคนรอบข้างให้มีความสุขก็พอ”