เปิดใจ “สุภาภรณ์ ลิ่มอรุณ”
CHANGE THE HERO
เรื่อง : ฌาน นักเรียง
เปิดใจ “สุภาภรณ์ ลิ่มอรุณ”
กับ “โครงการสร้างวัดไว้ในรีสอร์ท”
หากพูดรีสอร์ท ทุกคน จะโรงแรมเพื่อการพักผ่อน ที่มักจะตั้งอยู่ต่างจังหวัด ในภูมิประเทศที่ดี ห้องพักมักจะแยกเป็นส่วนๆ เป็นบ้านหรือหลังคาเรือนแยกต่างหาก มีกิจกรรมต่างๆมากมาย เช่น การปั่นจักรยาน เล่นกอล์ฟ ขี่ม้า เดินป่า สปา เพราะจุดประสงค์ของแขกที่เข้าพักโรงแรมประเภทนี้คือการพักผ่อนเป็นหลัก การบริการจะเป็นแบบสบายๆ เป็นกันเอง
หากพูดถึงวัด ทุกคน จะนึกถึงศาสนสถานของศาสนาพุทธ เป็นที่อยู่ของภิกษุ และประกอบศาสนกิจของพุทธศาสนิกชน ภายในวัดมีวิหาร อุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฎิ เมรุ ซึ่งใช้สำหรับประกอบศาสนพิธีต่าง ๆ เช่น การเวียนเทียน การสวดมนต์ การทำสมาธิ
ระหว่าง รีสอร์ท กับ วัด แทบจะไปคนละทิศทางกันเลยทีเดียว
แต่จะมีใครชื่อได้ชื่อว่า ยังมีผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง ที่ผุดแนวคิด นำทั้ง 2 อย่าง มารวมอยู่ในทีเดียวกัน จนเป็นที่มาของ โครงการสร้างวัดไว้ในรีสอร์ท
หญิงแกร่งคนนี้ จะเป็นใครไม่ได้ นอกจาก คุณป้าสุภาภรณ์ ลิ่มอรุณ
ณ ห้วยขาแข้งคันทรีโฮมรีสอร์ท ต.คอกควาย อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ผู้บริหารโครงการ นางสุภาภรณ์ ลิ่มอรุณ หรือป้าสุ ในวัย 65 ปี เป็นชาวอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ประวัติครอบครัว มีบิดา เป็นคนจีนอพยพมาจากประเทศจีน โดยท่านเล่าว่าได้ลงเรือสำเภามากับพี่ชายตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เมื่อมาอยู่เมืองไทย ก็ได้ทำอาชีพรับจ้าง และต่อมาได้ประกอบ อาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างเกี่ยวกับโบสถ์ วิหาร ศาลาตาวมัดต่างๆ ได้ดูแลเลี้ยงดูบุตรธิดาถึง 10 คน ได้สอนให้ลูกๆรักใคร่กลมเกลียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และที่สำคัญได้เน้นให้ลูกๆมีความซื่อสัตย์อดทน
คุณป้าสุภาภรณ์ เล่าว่า เหตุที่ได้มาเริ่มทำรีสอร์ท ก็เพราะได้มาท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ก็ได้พบกับคนบอกขายที่บริเวณนั้นอยู่ เมื่อได้ดูพื้นที่แล้วก็เห็นว่า สภาพแวดล้อมสวยงามดี ตั้งอยู่ในหุบเขา มีลำธารไหลผ่าน และดินค่อนข้างดี เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชพันธุ์ไม้ต่างๆได้ ประกอบกับสามีได้เคยทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาการเกษตรในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมาก่อน คือเป็นผู้อำนวยการโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาแห่งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำริจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าน่าจะอยู่อาศัยและใช้ชีวิตที่สงบในบั้นปลายได้ จึงได้ตกลงใจซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2532
ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 คุณสืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งได้เสียชีวิตลง เนื่องจากการ ปกป้องรักษาป่าผืนไว้ จึงได้ปลุกกระแสให้คนหันมาสนใจอนุรักษ์ธรรมชาติป่าไม้กันมากขึ้น และต่อมาป่าพื้นนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของประเทศไทย ในปีต่อมาคือ พ.ศ. 2534 ทำให้มีผู้คนสนใจมาท่องเที่ยวเยี่ยมชมกันเป็นจำนวนมาก และไม่มีที่รองรับนักท่องเที่ยว เราจึงริเริ่มก่อสร้างอาคารบ้านพักขึ้นทีละหลังสองหลังเพื่อรับรองนักท่องเที่ยว และขยายเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆตามกำลัง
เนื่องจากสภาพที่ตั้งในรีสอร์ท มีสภาพสวยงามทางธรรมชาติมาก มีการปลูกต้นไม้ชนิดต่างๆเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก กลมกลืนไปกับบ้านพัก ทำให้รีสอร์ทน่าอยู่ สงบร่มเย็นเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างดี
คุณป้าสุภาภรณ์ ย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า ขณะที่กำลังดำเนินการการก่อสร้างรีสอร์ทอยู่นั้น ดิฉันและลูกได้รับอุบัติเหตุรถชนกับรถอีกคันหนึ่งอย่างแรง อาการหนักมาก ได้อธิษฐานไว้ว่า ถ้าหากร่างกาย ขอตายดีกว่า แต่ถ้ายังไม่พิการ ก็ขอให้พบหมอดี ยาดี รักษาให้หายเป็นปกติแล้จะบวชชี
ต่อมาเมื่อหายดีแล้วก็ได้ไปบวชชีอยู่ที่ วัดพระถ้ำเมืองเทพ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี เป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์สุนทร สุขเถื่อน ซึ่งเป็นพระวิปัสสนา สายอาจารย์แนบ มหาลีลานนท์
ในช่วงที่ปฏิบัติธรรมอยู่นั้นคิดไว้ว่า วันนั้นหากเราต้องตายไป อะไรๆที่มีอยู่ก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย มีแต่บุญและบาปเท่านั้นที่จะติดตัวไป ชีวิตของคนเราก็เหมือนมาเที่ยว เมื่อถึงเวลาก็ต้องกลับไปทุกคน จึงเห็นว่าเรามีต้นทุนคือสถานที่ทางธรรมชาติที่สงบร่มเย็นอยู่แล้ หากจะทำเป็นที่ให้ผู้ใฝ่บุญมาปฏิบัติธรรม ก็น่าจะเป็นกุศลอย่างยิ่ง จึงได้ปรึกษาครอบครัวซึ่งเห็นดีด้วย จึงเริ่มก่อสร้างศาลา กุฎิที่พักผู้ปฏิบัติ สถานที่เดินจงกลม ปลูกต้นไม้เพิ่มเติมให้ร่มรื่น ปัจจุบันก็ได้ดำเนินดารให้เป็นที่พักแก่ผู้ปฏิบัติทั้งพระสงฆ์ แม่ชี ฆราวาส มาโดยตลอด
คุณป้าสุภาภรณ์ ย้ำว่า ปัจจุบัน เรากำลังทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจของผู้คน เราเป็นรีสอร์ททิ่ บริการที่พัก อาหาร การจัดประชุมสัมมนา การจัดกิจกรรมกลุ่มต่างๆ การเข้าค่ายของนักศึกษา ลูกเสือและเนตรนารี มีสถานที่ปฏิบัติธรรมในรีสอร์ ให้ผู้ต้องการมาพักผ่อนทางด้านจิตใจ ได้มาฝึกสมาธิ วิปัสสนา มีสถานที่ให้พระมาฝึกการเข้าธุดงค์วัตร มีวิหารเจ้าแม่กวนอิมหยกขาว น้ำหนัก 20 ตัน ซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ ขณะนี้ มีมูลนิธิโพธิ์รังสีตอกเส้น 2600 ปี ทำโดยท่านพระมหาสีไพร อภาธโร มาช่วยฝึกอบรมดูแลสุขภาพของผู้ป่วย ซึ่งสามารถแก้ไขอาการปวดหลังปวดเส้นให้ดีขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ยาหรือผ่าตัด มีการก่อสร้างรูปปั้นแกะสลักจากหินทราย หลวงปู่หมอชีวก โกมารภัจจ์ สูง 17 เมตร ฐานกว้าง 10 เมตร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหมอใหญ่ประจำตัวพระพุทธเจ้า
นอกจากนั้นทางรีสอร์ทยังได้ทำการเกษตรแบบพอเพียง ปลูกผลไม้และพืชผักสวนครัวชนิดต่างๆให้ปลอดภัยจากสารพิษ ผลผลิตไว้ในรีสอร์ท ที่เหลือก็แบ่งปันบ้าง ขายบ้าง ได้จัดทำโดมอบความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการแปรรูปและถนอมอาหาร ซึ่งเป็นแห่งแรกของจังหวัดอุทัยธานี พื้นที่นอกเหนือจากบริเวณที่พักได้ทำเป็นสวนเกษตร ปลูกพืชแบบผสมผสานปนกันหลายชนิด ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมประจำปี ได้จัดให้มีโครงการตอบแทนคุณแผ่นดิน โดยจัดสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัยขึ้นมา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึง ซึ่งได้ก่อสร้างในบริเวณสถานปฏิบัติธรรม และจัดในมีงานรำลึกบวงสรวงในทุกวันที่ 16 มกราคม ของทุกปี และวันนั้นก็จัดให้มีการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนในชนบทบริเวณใกล้เคียงด้วย ในคืนวันที่ 15 มกราคม จะจัดให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการแสดงประวัติศาสตร์ไทย เพื่อปลูกจิตสำนึกให้รู้คุณแผ่นดิน ให้รู้ว่ากษัตริย์ไทยแต่ปางก่อน ได้รักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ให้ลูกหลานรุ่นเราด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งในการจัดงานก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญมาโดยตลอด
ดังนั้นจึงนับได้ว่าทางรีสอร์ทได้พยายามปฏิบัติตนเป็นต้นแบบในการทำให้พื้นดินแห่งนี้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง กองทัพธรรม กองทัพไทย ได้ช่วยกันสร้างขึ้นมา โดยมีกัลยาณมิตรมาร่วมสนับสนุนโครงการ เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ชนรุ่นหลังต่อๆไป เน้นปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นหนทางไปสู่ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ทางรีสอร์ทมีห้องประชุมสัมมนาและสถานที่รองรับได้จำนวน 200-300 ท่าน
ท่านใดสนใจติดต่อ คุณสุภาภรณ์ ลิ่มอรุณ โทรศัพท์ 081-9710108 ได้ตลอดเวลา
คติธรรมที่ยึดถือ คือ “กฎแห่งกรรม ยุติธรรมเสมอ” และทำดีต้องได้ดี เพียงแต่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น การทำให้สังคมอยู่กันอย่างมีความสุข ต้องยึด พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งจะเป็นหนทางสู่นิพพาน คือการหลุดพ้น ถ้าสังคมไทย ยึดถือปฎิบัติพรหมวิหาร 4 ก็จะทำให้สังคมไทยน่าอยู่ เกื้อกูลกัน เป็นสังคมธรรมที่สงบร่มเย็นแน่นอนค่ะ