ข้อคิดจากคุณหมอ Richard Teo เศรษฐีเงินล้านและแพทย์ด้านความงามชื่อดังชาวสิงคโปร์อายุ 40 ปี ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย (sun)
เรื่อง : หมอชัย
ข้อคิดจากคุณหมอ Richard Teo เศรษฐีเงินล้านและแพทย์ด้านความงามชื่อดังชาวสิงคโปร์อายุ 40 ปี ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย (sun)
บทความนี้คือคำบรรยายของ Dr. Richard Teo เศรษฐีเงินล้านและแพทย์ด้านความงามชื่อดังชาวสิงคโปร์อายุ 40 ปี ซึ่งพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เขาได้มาเล่าประสบการณ์ชีวิตในกับชั้นเรียนของนักศึกษาแพทย์ในวันที่ 19 มกราคม 2012
สวัสดีครับทุกท่าน ขอแนะนำตัวเองก่อนครับ ผมชื่อ Richard เป็นแพทย์ครับ ผมอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตของผม
ตอนผมยังเด็ก ผมถูกพร่ำสอนจากสื่อต่างๆ จากผู้คนรอบๆ ตัวว่าความสุขเป็นเรื่องของความสำเร็จ และความสำเร็จที่ว่าก็เป็นเรื่องของความร่ำรวย
ด้วยแนวคิดนี้ ผมจึงต้องต่อสู้ แข่งขัน อยู่เสมอตั้งแต่เป็นเด็ก
ไม่เพียงแต่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด, ผมต้องประสบความสำเร็จในทุกสนามแข่งขัน ต้องได้รับชัยชนะทุกๆ อย่าง ผมเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ จบมาเป็นเเพทย์ เเต่การเป็นเเพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ ไม่สามารถทำให้ผมร่ำรวยได้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่า พอกันที ถึงเวลาต้องไปแล้ว ผมจึงลาออก เเละหันเหไปตั้งคลินิกความงามของตัวเอง เป็นแพทย์ความงามดีกว่า ดังนั้น...แทนที่ผมจะรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย ผมตัดสินใจที่จะเป็นผู้ดูแลความงาม คุณเอ๋ย ธุรกิจมันดี เงินดีจริงๆ ผ่านไป 1 เดือน 2 เดือน แล้วก็ 3 เดือน คลินิกผมก็ล้น คนมารับบริการมากมาย ช่างเป็นธุรกิจที่มหัศจรรย์จริงๆ ผมต้องจ้างแพทย์เพิ่ม จาก 1 คน เป็น 2 คน 3 คน และสุดท้าย 4 คน ภายในปีแรก ผมก็ทำเงินเป็นล้านๆ ผมเริ่มลุ่มหลง หมกมุ่นกับมัน ความร่ำรวยมันช่างสวยงามจริง ๆ
ทีนี้ผมทำกับเงินที่หามาได้มากมายก่ายกองนั่นยังไง? วันสุดสัปดาห์ผมใช้ชีวิตยังไง? ผมสังกัดกลุ่มคนรักรถ supercar ผมชอบสะสมรถครับ ผมซื้อรถหรูๆ ขับไปถึงมาเลเซียโน่น เพื่อไปแข่งรถในสนามแข่ง เงินยังเหลืออีกเยอะ ทำอะไรอีก? ผมซื้อ Ferrari ครับ ตอนนั้น รุ่น 458 ยังนิยมมาก เปิดประทุนได้ด้วย
พอได้รถแล้วทำอะไรอีก? ถึงเวลาที่ต้องซื้อบ้านแล้ว ผมเที่ยวหาทำเลสร้างบ้าน และก็สร้างบ้านคฤหาสน์หลังใหญ่ ดูผมใช้ชีวิตสิครับ ผมอยู่ท่ามกลางสังคมของคนร่ำรวยและมีชื่อเสียง คนนี้เป็น Miss universe ผมไปดื่มไปเที่ยวกับคนพวกนี้ นี่ก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Facebook มหาเศรษฐีพันล้านเชียวนะครับ ร้านอาหารก็ต้องระดับ มิชลิน เท่านั้น
ตอนนั้นผมถึงจุดที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแล้ว ผมถึงจุดสูงสุดในวิชาชีพของผม ผมคิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในการควบคุมของผมและผมถึงยอดเขาแล้ว
แต่...ผมผิดถนัดครับ ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผม ปีที่แล้วเดือนมีนาคม ผมเริ่มรู้สึกเจ็บตรงกลางหลัง ตอนนั้นคิดไปว่าอาจจะออกกำลังกายมากเกินไป ผมจึงไปโรงพยาบาล พบเพื่อนผม ผมทำ MRI เพื่อดูว่าอาจจะมีหมอนรองกระดูกหลังเคลื่อนหรือเปล่า
เย็นวันนั้น เพื่อนผมโทรมาบอกว่า “กระดูกสันหลังของนายดูเหมือนจะมีเนื้องอกอะไรบางอย่างนะ” ผมตอบไปว่า “ว่าไงนะ มันหมายความว่ายังไง?” อันที่จริงผมรู้ความหมายของมันดี แต่ไม่ยอมรับความจริง “พูดจริงหรือเปล่า” วันถัดมาผมทำ scan ต่างๆ เพิ่มเติม รวมทั้ง PET scan ด้วย สุดท้ายก็สรุปว่าผมเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ตอนนั้นผมคิดในใจว่า “มันมาจากไหนวะ” มะเร็งลามไปสมอง ไปกระดูกสันหลัง ไปตับและต่อมหมวกไตเรียบร้อยแล้ว พวกคุณลองคิดดู ผมคิดว่าผมควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ ผมถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้ว แต่ฉับพลันผมก็สูญเสียมันไปในทันที !!
ผมได้รับคำอธิบายว่า ถึงแม้จะให้เคมีบำบัดอย่างเต็มที่ ผมก็จะอยู่ได้เต็มที่ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น เหมือนฟ้าถล่มดินทลายทับตัวผม ผมมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรงเป็นเดือน ชีวิตผมหมดสิ้นแล้ว
น่าขำที่ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมมี ความสำเร็จเอย ถ้วยรางวัลเอย รถหรูๆ เอย คฤหาสน์เอย ที่ผมคิดไปว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่ในยามที่ผมตกอยู่ภาวะซึมเศร้า หดหู่ใจ สิ่งต่างๆ ที่ผมมี มันกลับไม่ทำให้ผมมีความสุขเลย สิ่งที่นำความสุขมาให้ผมในช่วง 10 เดือนสุดท้ายกลับเป็นการได้พบปะกับผู้คน ได้พบกับคนที่ผมรัก เพื่อนๆ ผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยผมอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่นำความสุขมาให้ผม ไม่ใช่สิ่งของต่างๆ ที่ผมมี ไม่ใช่สมบัติที่ผมครอบครอง สิ่งต่างๆ ที่ผมเคยเหมาเอาว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่เปล่าเลย ถ้ามันทำได้จริง เวลาที่ผมคิดถึงมัน ผมควรจะมีความสุข แต่มันกลับทำให้ผมยิ่งแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก
ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมทำอะไรรู้มั้ย ผมมักจะขับรถหรูของผม ไปทำงาน ไปเยี่ยมบรรดาญาติของผม เพียงเพื่อจะอวดร่ำอวดรวย ผมเองก็สนุกกับเรื่องแบบนี้เสียด้วย แต่มานึกแล้ว เพื่อนๆ ของผม ญาติๆ ของผมคงจะกระอักกระอ่วนใจและคงอยากจะให้ผมกลับไปเสียเร็วๆ มากกว่า พวกเขาจะร่วมยินดีไปกับผมหรือ? ไม่มีทาง เขาคงไม่คิดจะดีใจไปกับผม และคงอยากให้ผมไปให้พ้นๆ เพราะสิ่งที่ผมทำลงไป ทำให้พวกเขาอิจฉาริษยาในสิ่งที่ผมมี และบางทีก็คงนึกหมั่นไส้ผมอีกด้วย
ผมไปอวดร่ำอวดรวย เพียงเพื่อจะเติมเต็มอัตตาและความยโสของตัวเอง มันไม่ได้นำความสุขมาให้ผู้อื่นเลย ทั้งเพื่อน ทั้งญาติของผม
ผมจะเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้ฟัง ตอนที่ผมมีอายุเท่าพวกคุณ ผมพักอยู่ที่หอ Edward VII Hall ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีนิสัยแปลก เธอชื่อ Jennifer ตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ เวลาผมเดินไปตามทางกับเธอ ถ้าเธอเห็นหอยทากคลานอยู่ในทางคนเดิน เธอจะคอยหยิบพวกหอยทากนั่นไปวางในสนามหญ้าให้พ้นจากทางเดิน ผมถามเธอว่า เธอทำอย่างนั้นทำไม ทำให้มือสกปรกเปล่าๆ มันก็แค่หอยทากตัวหนึ่ง ความจริงก็คือ เธอเข้าใจความรู้สึกของหอยทากได้ ความรู้สึกที่ว่าถูกเหยียบบี้แบนจนตายนั้น เธอรับรู้ได้ แต่สำหรับผม มันก็แค่หอยทาก ถ้าคุณไม่มีปัญญาจะเกิดมาเป็นคนได้ คุณก็สมควรโดนเหยียบตาย นั่นเป็นกฎของวิวัฒนาการอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
ที่ที่สอนผมให้เป็นแพทย์ เขาสอนผมให้เป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจ ให้เป็นคนที่เข้าใจผู้อื่น แต่ผมกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย. ตอนที่ผมเป็นแพทย์ ทำงานอยู่ในแผนกรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ทุกเมื่อเชื่อวัน วันแล้ววันเล่า ผมพบเจอกับความตาย ยามที่ผมมองคนไข้กำลังทุกข์ทรมาน ผมเห็นแค่ว่าพวกเขากำลังปวด และผมมีหน้าที่ให้ มอร์ฟีน แก่พวกเขาเพียงเพื่อระงับอาการปวด ผมเห็นพวกเขากำลังดิ้นรนหายใจจนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย นั่นเป็นเพียงภาระหน้าที่ ผมไปที่ตึกผู้ป่วย เจาะเลือด ให้ยาแก่พวกเขา แต่มันมีความหมายอะไรกับผมหรือเปล่า? ไม่เลย มันก็แค่งาน ผมทำงาน ทำหน้าที่จนเสร็จ แล้วก็ออกจาก ward ไป แต่ละวันผมแทบจะรอกลับบ้านแทบไม่ไหว
เพราะผมไม่รู้ซึ้งจริงๆ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร จนกระทั่งผมกลายมาเป็นผู้ป่วยเสียเอง ตอนนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และถ้าคุณจะถามผมว่าผมจะเปลี่ยนไปเป็นแพทย์อีกคนที่แตกต่างไปจากนี้หรือเปล่า ถ้าผมกลับมีชีวิตอีกครั้ง ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมจะเปลี่ยนไปเป็นเเพทย์ที่ดีกว่านี้แน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าผู้ป่วยเหล่านั้นรู้สึกอย่างไร และบางทีเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่งนี้จากของจริง
ทุกคนที่เข้าเรียนเเพทย์ จะได้พบสิ่ง 2 ประการดังนี้
ประการแรก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ส่วนใหญ่ในที่นี้จะต้องเข้าไปสู่ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน พวกคุณจะเริ่มสะสมความมั่งคั่ง รับประกันได้เลยครับ แค่ใส่ Implant สักอัน คุณก็ได้เงินเป็นพันๆ ดอลลาร์แล้ว ช่างน่ามหัศจรรย์ใช่มั้ยครับ จริงๆ แล้วไม่ผิดหรอกครับที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ผิดที่จะร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ผิดเลย ปัญหาประการเดียวก็คือ พวกเราส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมด้วยไม่สามารถควบคุมจัดการมันได้
ทำไมผมพูดอย่างนั้น ก็เพราะเมื่อผมเริ่มสะสมเงินทอง ยิ่งผมมีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากมีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งต้องการอะไรมาก เราก็ยิ่งหมกมุ่นอยู่กันมัน เหมือนกับที่ผมได้พูดไปเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งหมดที่ผมทำก็คือสะสม ๆ ๆ เพื่อที่จะให้ไปถึงจุดสูงสุด เหมือนกับที่สังคมทำกับเรา เหมือนกับที่สังคมอยากให้เราเป็น เมื่อผมหมกมุ่นอยู่กับมันแล้ว อะไรอื่นก็ไม่มีความหมายสำหรับผมอีกต่อไป คนไข้ที่เดินเข้ามาก็เพียงแค่ถังเงิน และผมก็จะรีดเงินออกจากคนไข้พวกนี้จนถึงหยดสุดท้าย
บางครั้งเราถึงกับให้คำแนะนำกับผู้ป่วยเพื่อให้รับการรักษาหรือการผ่าตัดที่ไม่มีข้อบ่งชี้ และแม้ว่าบางเรื่องมันจะไม่จำเป็นเลย เราก็ยังแนะนำคนไข้ให้ทำ เราสูญเสียเข็มทิศทางจริยธรรม (moral compass) ไปเรื่อยๆ เพียงเพราะว่าเราต้องการเงิน
ประการที่สอง พวกเราหลายคนด้านชากับคนไข้ของเราในยามที่เรารักษาพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน คราวที่ผมทำงานอยู่ในโรงพยาบาลและต้องสรุปแฟ้มประวัติผู้ป่วยเป็นตั้งๆ ผมจะรีบจัดการเจ้าแฟ้มเหล่านั้นไปโดยเร็วที่สุด, ผมจะรีบตรวจคนไข้และให้เขาออกไปจากห้องของผมโดยเร็วที่สุด เพราะคนไข้มันช่างมากมายเหลือเกิน นั่นคือเรื่องจริง เพราะมันเป็นแค่งาน งานที่ซ้ำซากจำเจมากๆ นั่นแค่ส่วนหนึ่ง ถามว่าผมรู้ไหมว่าคนไข้แต่ละคนรู้สึกอย่างไร? ผมไม่รู้หรอก ความหวาดวิตกกังวลต่างๆ ที่พวกเขามี ที่พวกเขาประสบอยู่ ผมรู้มั้ย? ไม่เลย จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับผมเอง และผมคิดว่านั่นเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของผม
ที่ไม่รู้ว่าคนไข้รู้สึกจริงๆ เช่นไร จริงๆ เราได้พยายามที่จะเข้าใจความเจ็บปวดของพวกเขาหรือยัง? พวกเราส่วนใหญ่คงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นไรครับแต่อย่าละเลย สิ่งที่ผมจะบอกพวกคุณคือ จงพยายามเอาใจคนไข้มาใส่ใจเรา (put yourself in your patient’s shoes)
เพราะความเจ็บปวด ความกังวลใจ ความหวาดกลัว สำหรับคนไข้แล้วมันเป็นของจริง แม้ว่ามันอาจจะดูไม่จริงสำหรับคุณ ดังนั้นจงอย่าละเลยมัน พวกคุณรู้มั้ยครับ ตอนนี้ผมกำลังได้รับเคมีบำบัดรอบที่ 5 อยู่ ผมบอกได้เลยว่ามันเลวร้ายมาก เคมีบำบัดเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณไม่อยากจะประสบ ต่อให้กับศัตรูของคุณก็เถอะ เพราะมันช่างทุกข์ทรมาน ทุเรศทุรัง เหมือนถูกโดดเดี่ยว กินอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เลวร้ายจริงๆ ยามที่ผมพอมีเรี่ยวแรงอยู่บ้าง ผมพยายามที่จะปลอบประโลมผู้ป่วยมะเร็งคนอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ เพราะผมเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมันเป็นอย่างไร แต่...ดูเหมือนมันจะสายเกินไปเสียเเล้ว !!
ผมอยากให้คุณมองคนไข้ในฐานะมนุษย์ที่มีความเจ็บปวดและกำลังทุกข์ทรมาน ลองใช้ใจสัมผัสถึงผู้คนเหล่านั้น ผู้ซึ่งต้องการคุณ ไม่ว่าอะไรที่คุณทำลงไปจะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่กับพวกเขา สำหรับผมตอนนี้ใกล้จะถึงฉากสุดท้าย ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร คนที่เป็นห่วงเป็นใยผม ให้กำลังใจผม ได้สร้างความแตกต่างอย่างมากในตัวผม
ผมอยากจะจบการบรรยายด้วย ประโยคนี้ มันมาจาก หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie พวกคุณบางคนคงเคยอ่านแล้ว
Everyone knows that they are going to die; every one of us knows that.
The truth is, none of us believe it because if we did, we will do things differently.
(เมื่อผมเผชิญหน้ากับความตาย ผมได้ลอกคราบตัวเองออกทั้งหมด เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ที่น่าขำก็คือ เมื่อเราเรียนรู้ว่าเราจะตายอย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่าเราจะมีชีวิตอย่างไร)
ผมรู้ว่ามันออกจะเคร่งเครียดไปหน่อยสำหรับเช้าวันนี้ แต่นั่นคือความจริงครับ นี่คือสิ่งที่ผมได้ประสบมาอย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร อย่างให้สื่อต่างๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผมจมไปกับความคิดที่ว่า...สิ่งนั้นสิ่งนี้จะนำความสุขมาให้ เเต่มันไม่ใช่เลย ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่องราวเหล่านี้และตัดสินใจเลือกว่า....จะใช้ชีวิตของคุณเองอย่างไร เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง เเต่ความสุขที่เเท้จริงนั้น มันมาจากเราได้ให้อะไรกับโลกมากกว่า ยิ่งเราเป็นผู้ให้ เราจะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น !!
(Dr. Richard Teo ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 18 ตุลาคม 2012 ขอให้ดวงวิญญาณของเขาจงไปสู่สุขคติ)
“หมอชัย” นายเเพทย์ ชัยวัฒน์ เป็นอายุรเเพทย์ ตอนนี้ทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนเเห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งเป็นผู้ที่ชอบค้นคว้าเรื่องการรักษาด้วยสมุนไพรพื้นบ้าน จึงความรู้ดีๆมาเผยเเพร๋ให้เป็นวิทยาทานตามสื่อต่างๆ ผู้อ่านสามารถ “กด" เพิ่มเพื่อน"เพื่อติดตามบทความสุขภาพดีๆจาก"หมอชัย"ได้ที่..ไลน์ไอดี : @reme (ใส่ @ ข้างหน้า) หรือเเอดไลน์อัตโนมัติ คลิ๊ก>> line.me/ti/p/%40saw5630y