เอสซีจี แถลงผลประกอบการปี 2561 พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์เสริมแกร่ง มุ่งสร้างโซลูชั่นครบวงจร-โมเดลธุรกิจใหม่ ที่ใช้ดิจิทัล-เทคโนโลยีขั้นสูง

เอสซีจี แถลงผลประกอบการปี 2561 พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์เสริมแกร่ง มุ่งสร้างโซลูชั่นครบวงจร-โมเดลธุรกิจใหม่ ที่ใช้ดิจิทัล-เทคโนโลยีขั้นสูง

 

 

  

 

 

 

 

 

เอสซีจี แถลงผลประกอบการปี 2561 พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์เสริมแกร่ง
มุ่งสร้างโซลูชั่นครบวงจร-โมเดลธุรกิจใหม่ ที่ใช้ดิจิทัล-เทคโนโลยีขั้นสูง จากสตาร์ทอัพ-สถาบันวิจัยทั่วโลก พร้อมเร่งสร้างโอกาสใหม่ ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้าทั่วภูมิภาค

 

 

กรุงเทพฯ : 30 มกราคม 2562 – ผลประกอบการเอสซีจีปี 2561 กำไรลดลงจากธุรกิจเคมิคอลส์ ขณะที่ธุรกิจแพคเกจจิ้งเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้านธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีแนวโน้มดีขึ้น พร้อมมุ่งเดินหน้า 2 กลยุทธ์หลักในปี 2562 เน้นสร้างเสถียรภาพทางการเงินและบริหารจัดการความเติบโตของธุรกิจในระยะยาว โดยการส่งมอบโซลูชั่นครบวงจรและโมเดลธุรกิจใหม่ ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ ด้วยการสร้างความร่วมมือกับสตาร์ทอัพชั้นนำในหลากหลายภูมิภาคและสถาบันวิจัยทั่วโลก พร้อมเร่งสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้าทั่วภูมิภาค


นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2561 มีรายได้จากการขาย 478,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับปี 44,748 ล้านบาท แต่ลดลงร้อยละ 19 จากปีก่อน จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งสถานการณ์สงครามการค้า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวน และเงินบาทแข็งค่า จึงส่งผลต่อภาพรวมผลประกอบการของเอสซีจี


โดยปี 2561 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) 184,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 39 ของยอดขายรวม โดยใช้งบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 4,674 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรวม


สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2561 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 117,223 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อนจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของตลาดในประเทศของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยมีกำไรสำหรับงวด 10,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน จากเงินปันผลรับจากเงินลงทุนของธุรกิจเคมิคอลส์และการลงทุนในธุรกิจอื่น แต่ลดลงร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ลดลง ทั้งนี้ เอสซีจีมีรายได้จากการส่งออก 130,895 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


สำหรับผลการดำเนินงานของเอสซีจี นอกเหนือจากประเทศไทยในปี 2561 เอสซีจีมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน 118,014 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25 ของรายได้จากการขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปีก่อน และมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่น ๆ 86,155 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18 รายได้จากการขายรวมสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีมูลค่า 589,787 ล้านบาท โดยร้อยละ 28 เป็นสินทรัพย์ ในอาเซียนผลการดำเนินงานในปี 2561 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้


ธุรกิจเคมิคอลส์ ในปี 2561 มีรายได้จากการขาย 221,538 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากปีก่อน จากปริมาณการขายและราคาขายของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับปี 29,166 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 29 จากปีก่อน จากวัฏจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง รวมถึงการปรับตัวสูงขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมลดลง


ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขาย 53,905 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน จากราคาขายของผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 5,415 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 43 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมลดลง และมีการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในปี 2561 มีรายได้จากการขาย 182,952 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน ตามการขยายตัวของความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงการฟื้นตัวของโครงการอสังหาริมทรัพย์ และการขยายตัวของการก่อสร้างในภูมิภาค โดยมีกำไรสำหรับปี 5,984 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากปีก่อน สาเหตุหลักจากการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีในไตรมาสที่ 3 ปี 2561 ทั้งนี้ เมื่อไม่รวมการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี กำไรสำหรับปีจะเท่ากับ 7,304 ล้านบาท


ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 45,728 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการขยายตัวของการก่อสร้างในประเทศไทยและในภูมิภาค โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 488 จากไตรมาสก่อน ผลจากการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีในไตรมาสที่ 3 ปี 2561 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นในไทยและภูมิภาคอาเซียนธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในปี 2561 มีรายได้จากการขาย 87,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับปี 6,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จากปีก่อน จากโครงการลดต้นทุนของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เติบโตต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ

 

ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย 21,283 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายที่ลดลงทั้งในธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจเยื่อและกระดาษ โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,492 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “ปี 2562 นี้ เอสซีจียังคงเน้น 2 กลยุทธ์หลัก คือ การสร้างเสถียรภาพทางการเงิน (Stability) ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและทันท่วงที เพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของเอสซีจีโดยรวมในปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 9 ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับผลประกอบการของอุตสาหกรรมในภาพรวม อีกทั้งฐานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่งเช่นกัน โดยมีสัดส่วน Net Debt to EBITDA อยู่ที่ 1.7 เท่า ขณะที่เงินกู้เกือบทั้งหมดเป็นเงินบาทและเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่กว่าร้อยละ 90 ส่วนกระแสเงินสดมีเสถียรภาพจากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลักที่มั่นคง


อีกกลยุทธ์ คือ การบริหารจัดการความเติบโตของธุรกิจในระยะยาว (Long-term Growth) โดยนอกจากจะให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอย่างยั่งยืนแล้ว ปีนี้เอสซีจีจะมุ่งเน้นการส่งมอบโซลูชั่น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้แบบเบ็ดเสร็จ ครบครันยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโซลูชั่นของธุรกิจเคมิคอลส์ เช่น การให้บริการสารเคลือบเตาเผาเพื่อประหยัดพลังงานสำหรับอุตสาหกรรม และการให้บริการโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำสำหรับผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งแต่การออกแบบพื้นที่ ติดตั้ง และบริการหลังการขาย ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ที่มุ่งเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร พร้อมขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เช่น การให้บริการออกแบบบรรจุภัณฑ์ร่วมกับลูกค้า กระทั่งการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตซ้ำอีกครั้ง และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เช่น โซลูชั่นการก่อสร้าง (Construction Solutions) ที่ผนวกความเชี่ยวชาญด้านการผลิตสินค้าคุณภาพสูง พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย มาพัฒนาเป็น 9 โซลูชั่นหลัก เช่น Life-time Solution ที่ให้บริการสำรวจความเสียหายโครงสร้างอาคารด้วยอุปกรณ์ทางวิศวกรรมที่แม่นยำ ก่อนออกแบบวิธีการ ดำเนินการต่อเติม และเสริมกำลังโครงสร้างให้เบ็ดเสร็จ นอกจากนี้ เอสซีจียังมุ่งให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้ทันความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย


สำหรับการขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมต่างๆ นั้น เอสซีจีจะมีทั้งการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า, Blockchain ซึ่งเป็นระบบดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับสถาบันการเงินและคู่ค้าโดยอัตโนมัติ ให้สามารถแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ, การพัฒนา Robotic Process Automation (RPA) และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) ที่ช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนของระบบการผลิต ให้สินค้าผลิตออกมาอย่างมีคุณภาพและทันความต้องการของตลาด และการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep technology) ที่ตอบโจทย์เทรนด์อนาคต เช่น New advanced materials, Clean technology เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตตลอด Value chain ให้มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้มากขึ้น และเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการมุ่งพัฒนาศักยภาพพนักงานภายใน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ผสานการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Agile Organization) การส่งเสริมกระบวนการคิดเพื่อออกแบบสินค้าและบริการด้วย Design Thinking ตลอดจนการส่งเสริมการทำงานแบบสตาร์ทอัพ เพื่อช่วยให้เข้าใจปัญหาของลูกค้าอย่างลึกซึ้งและรวดเร็ว ผ่านโครงการ “Internal Startup” ซึ่งช่วยพัฒนาผู้มีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าและธุรกิจที่มีกว่า 100 ทีม ให้สามารถพัฒนาโมเดลธุรกิจให้ตรงความต้องการของตลาดได้แล้วกว่า 40 ทีม เช่น การทำแพลทฟอร์มรวบรวมกล่องอาหารเดลิเวอรี่พร้อมบริการสั่งทำโลโก้ที่เหมาะกับทุกรูปแบบธุรกิจ หรือระบบบริหารลูกค้าและติดตามการขายสำหรับร้านวัสดุก่อสร้าง


อีกด้านหนึ่ง คือ การมุ่งสร้างความร่วมมือกับภายนอก (Open Collaboration) ทั้งการลงทุนในสตาร์ทอัพชั้นนำในหลากหลายภูมิภาค ที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมสอดคล้องกับ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ผ่าน “AddVentures” พร้อมเข้าไปเสริมศักยภาพให้สตาร์ทอัพที่ลงทุนไปแล้ว ทั้งการลงทุนโดยตรงในสตาร์ทอัพ 10 ราย เช่น แพลทฟอร์มที่ช่วยค้นหาบุคลากรที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเพื่อมาต่อยอดธุรกิจด้านดิจิทัล หรือบริษัทพัฒนาหุ่นยนต์ที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนการลงทุนผ่านกองทุนที่ลงทุนในสตาร์ทอัพต่างๆ รวมถึงการต่อยอดโครงการร่วมมือเชิงพาณิชย์กับบริษัทด้านเทคโนโลยีเกือบ 100 โครงการ เพื่อนำนวัตกรรมของสตาร์ทอัพเหล่านั้นมาต่อยอดกับธุรกิจหลักหรือสร้างเป็นธุรกิจใหม่ของเอสซีจี ตลอดจนการร่วมมือกับสถาบันวิจัยและพัฒนา (R&D) ทั่วโลก โดยมี Open Innovation Center เป็นศูนย์กลางให้เกิดเครือข่ายการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ดียิ่งขึ้น


นอกจากนี้ เพื่อสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในระยะยาว เอสซีจีจะยังเดินหน้าขยายโอกาสส่งออกนวัตกรรมสินค้าและบริการตามทิศทางตลาดโลกเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้ในอนาคต ทั้งตลาดอาเซียนที่ขยายตัวต่อเนื่อง ตลอดจนตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและเติบโตรวดเร็ว เช่น การส่งออกสินค้าเคมีภัณฑ์ไปยังตลาดจีน และการรุกธุรกิจค้าปลีกและโลจิสติกส์ในภูมิภาคต่างๆ ด้วย”


อนึ่ง คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 18.00 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 21,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 8.50 บาท เป็นเงิน 10,200 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2561 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 9.50 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 11,400 ล้านบาท


ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน 2562 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพุธที่ 3 เมษายน 2562) โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2562 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี


SCG Announces 2018 Operating Results, Launches Strengthening Strategies with Aim to Deliver Total Solutions & New Business Models and Leverages Emerging Technologies from Startups and R&D Institutes to Seek New Opportunities and Fulfill Customer Demands throughout the Region

BANGKOK: 30 January 2019 – SCG’s 2018 Operating Results showed overall profit decrease from Chemicals Business while Packaging Business exhibited consistent and robust growth and Cement - Building Materials Business enjoyed favorable prospects. SCG is thriving to push forward two key strategies in 2019, focusing on financial stability and long-term growth management by delivering integrated solutions and new business models that harness digital and deep technologies, and collaborate with leading startups in various regions and research and development institutes worldwide. SCG is also seeking new opportunities to meet consumer needs throughout

Mr. Roongrote Rangsiyopash, President and CEO of SCG, disclosed the company’s unaudited Operating Results for FY2018, with registered Revenue from Sales increase 6% y-o-y to 478,438 MB. Profit for the year registered 44,748 MB, a decrease of 19% y-o-y from global economic uncertainties, primarily driven by trade war, volatile oil market and a strengthening Thai baht, in which affected the overall performance of SCG.
In 2018, SCG’s Revenue from Sales of High Value Added Products & Services (HVA) reached 184,965 MB, representing an increase of 5% y-o-y and accounting for 39% of total Revenue from Sales. Spending on Innovation Research & Development totaled 4,674 MB or 1% of total Revenue from Sales.

SCG’s Revenue from Sales of Q4/2018 dropped by 4% q-o-q to 117,223 MB from the lower chemicals product prices but increased 3% y-o-y from increased chemicals sales volumes, and the domestic growth in the Cement - Building Materials Business. Profit for the Period rose 11% to 10,468 MB q-o-q, attributed mainly from seasonal dividend contribution from the investment business in Q4/2018 but decreased 17% y-o-y, mainly due to the decline in performance from the Chemicals business. SCG’s Revenue from export Sales registered 130,895 MB or 27% of total Revenue from Sales, a rise of 6% y-o-y.

The performances of SCG’s businesses excluding Thailand in 2018: SCG’s Revenue from Sales in ASEAN registered 118,014 MB, representing 25% of total Revenue from Sales which is an increase of 11% y-o-y. Furthermore, SCG’s Revenue from Sales in other regions outside ASEAN, registered 86,155 MB, amounts to 18% of total Revenue from Sales.
The total assets of SCG as of December 31, 2018 amounted to 589,787 MB, while 28% representing assets in ASEAN.

The 2018 operating results by business units are as follows:
Chemicals Business recorded FY2018 Revenue from Sales rose 7% y-o-y to 221,538 MB from higher product prices and sales volume. Profit for the year stood at 29,166 MB, a decline of 29% y-o-y due to weaker petrochemical cycle and higher feedstock costs with lower equity income from associated companies.

Meanwhile, Q4/2018’s Revenue from Sales declined 7% q-o-q to 53,905 MB mainly from lower product prices, but grew 4% y-o-y. Profit for the Period in Q4/2018 recorded 5,415 MB, dropped 28% q-o-q and 43% y-o-y due to lower equity income from associated companies, and inventory loss.
Cement - Building Materials Business recorded FY2018 Revenue from Sales increased 4% y-o-y to 182,952 MB, attributed to the government’s public infrastructure which drove the growing demand for cement as well as the recovery in real estate projects and construction expansion in the region. Profit for the year stood at 5,984 MB, a decline of 7% y-o-y, derived mainly from the asset impairments in Q3/2018. Without these impairments, SCG would still have recorded 7,304 MB in Profit for the year.
Revenue from Sales of Cement - Building Materials Business in Q4/18 dropped 1% q-o-q to 45,728 MB but increase 5% y-o-y, attributed to the operational expansion of Thailand and international. Profit for the Period recorded at 1,558 MB, up 488% q-o-q from the asset impairments which occurred in Q3/2018, an increase of 49% y-o-y from the higher sales in Thailand and ASEAN.

Packaging Business recorded FY2018 Revenue from Sales increased 7% y-o-y to 87,255 MB. The business unit registered Profit for the year increased 36% y-o-y to 6,319 MB from cost saving initiatives of Packaging chain and steadily rising demand for packaging in domestic and international markets.

Revenue from Sales in Q4/2018 of Packaging Business weakened 4% q-o-q to 21,283 MB and 1% y-o-y owing to lower sales volume both Packaging Chain and Fibrous Chain. Profit for the Period in Q4/2018 registered 1,492 MB, a decrease of 13% q-o-q but grew of 23% y-o-y.

Mr. Roongrote said, “In 2019, SCG will continue to focus on two key strategies. One is Stability which the company has maintained continuously and acted promptly to cope with recent global economic volatility, resulting in the overall 2018 SCG’s Profitability Ratios at 9%, a considerably strong figure compared to the overall industry performance. In addition, the financial position remains robust, with Net Debt to EBITDA ratio of 1.7 times, while most loans are in Thai Baht with over 90% of them are at a fixed rate. The cash flow is stable due to the healthy performance of core businesses.

Another strategy is Long-term Growth Management. In addition to heightening the development of innovative high value added products and services to raise the living standard and build a sustainable business growth, this year, SCG will focus on delivering solutions to more adequately fulfill customer needs. A series of solutions are from its core businesses: Chemicals Business that offers energy-saving industrial furnaces coating service, floating solar solution for solar power generation with a comprehensive range of services including space design, installation and after-sales service; Packaging Business, a total packaging solutions provider, that aims to drive the circular economy approach in its services and practices such as customer-engaged packaging design service, raw materials recycling process; and Cement - Building Material Business that introduced Construction Solutions which combined high-quality production expertise with advanced technologies to develop 9 core solutions, namely, Life-time solution that provides precise assessments of buildings prior to method design, building expansion and structural strengthening with help of advanced engineering equipment. Furthermore, SCG also aims to develop new business innovation models to improve competitiveness and stay relevant in a fast-paced ever-changing world.

SCG harnesses a broad range of digital technologies which include Artificial Intelligence (AI) to help analyze consumer insights; Blockchain, a digital ledger automatically connecting financial institutions to vendors, that enable efficient information sharing; Robotic Process Automation (RPA) development and Machine Learning that help resolve production system complexity, allowing adequate productivity to meet the market demand; Deep Technology investment to reap knowledge of future trends i.e. New advanced materials and Clean technology to help streamline the production process throughout the value chain and cut reduction costs; and the path toward the development of Industry 4.0 with a series of internal staff capability development programs “Internal Startup,” to create agile organization and encourage design thinking and startup work practices to help acquire customer insights. This program has helped guided solution for over 40 out of 100 teams of clients and businesses to successfully develop business models that meet the market demand. The success stories include the platform for meal box delivery, logo design service for all business and customer management system and sales tracking for construction equipment stores.

Another sustained effort is forging Open Collaboration by investing in leading startups in various regions that own technologies or innovations in line with 3 SCG’s core business through “AddVentures,” as well as enhancing potentiality to the invested startups. SCG has made direct investment in 10 startups that own distinctive technologies such as tech expert matching platform to further digital businesses, robot developer on top of investing through funds focusing on startups. Furthermore, SCG also extends more commercial deals with almost 100 projects with tech companies, aiming to leverage innovation to strengthen core business or create new businesses. Plus, the company collaborates with research and development (R&D) institutions around the world through Open Innovation Center to scale up innovation network.

In addition to creating long-term business growth, SCG will continue to expand opportunities to export innovative products and services following up on the global market direction to meet the consumer needs. Also, it will accelerate investment projects to help generate business growth in the future in both growing ASEAN market and new emerging and potential market, such as chemical export to the Chinese market, conducting retail and logistics business in the region.”

In addition, the Board of Directors of SCC approved to submit for approval at the Annual General Meeting of Shareholders a full year 2018 dividend payment of 18.00 Baht per share for a total amount of 21,600 million Baht, or 48% of profit for the year on consolidated financial statements, of which 8.50 Baht per share totaling 10,200 million Baht was paid as an interim dividend on August 22, 2018. The final payment of dividend will be 9.50 Baht per share, totaling 11,400 million Baht.

The above dividend distribution shall be paid to the shareholders entitled to receive the dividend according to the Company’s Articles of Association and who are listed in the record date on Thursday April 4, 2019 (The XD, or the date on which a purchaser will not be entitled to receive the dividend, will be on Wednesday, April 3, 2019.) The dividend will be paid on Friday April 10, 2019. The receipt of such dividends shall be made within 10 years.