เปิดตัว “เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้” น้องใหม่อสังหาฯ
เปิดตัว “เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้” น้องใหม่อสังหาฯ
ประเดิมโครงการแรก “ease park” คอมมูนิตี้มอลล์ บนถนนรามอินทรา
มูลค่าโครงการ 200 ลบ. ชูจุดเด่นทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่
ห่างสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูเพียง 100 เมตร พร้อมดีไซน์ทันสมัยสไตล์ Industrial
ตั้งเป้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม
เปิดตัวบริษัทพัฒนาอสังหาฯ น้องใหม่ “เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้” ประกาศส่ง “ease park” คอมมูนิตี้มอลล์ ทำเลเด่นย่านรามอินทรา ประเดิมตลาด ด้วยมูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท หวังเป็นทางเลือกใหม่สำหรับลูกค้า ชูจุดเด่นด้านทำเลและความแตกต่างด้านดีไซน์ ครบครัน ทันสมัย ในสไตล์ Industrial ที่สำคัญติดถนนใหญ่ ห่างรถไฟฟ้าสายสีชมพูเพียง 100 เมตร เผยยอดจองพื้นที่กว่า 80% พร้อมเปิดให้ลูกค้าได้ใช้บริการในต้นเดือนธันวาคมนี้ เผยแผนการดำเนินงานต่อเนื่อง ตั้งเป้าเป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยครบวงจร ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ปี 60 เตรียมเปิดเพิ่มอีก 1 โครงการ
นายธัชชัย ศีลพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ปักธงเป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรทั้งเพื่อการค้า และที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า “ผมเรียนจบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และไปเรียนต่อปริญญาโทด้าน MBA ที่มหาวิทยาลัย University of Akron ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นเมื่อกลับมาประเทศไทย ผมเริ่มงานในวงการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และคลุกคลีในธุรกิจนี้มาประมาณ 6 ปี ความรับผิดชอบหลักในตอนนั้น คือ ดูแลงานด้านการตลาดโครงการแนวสูง หรือ คอนโดมิเนียม ที่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากตรงนั้นมากพอ จึงมาก่อตั้ง บริษัท เคเอเอ็น พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด
โดยแรกเริ่มได้วางเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจไว้ว่าจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้ครบวงจรทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม แต่ด้วยที่ดินของครอบครัวที่เป็นปั๊มน้ำมันเดิมได้หมดสัญญาลง จึงเล็งเห็นว่าควรที่จะทำประโยชน์กับที่ดินผืนนี้ก่อน เริ่มต้นตั้งโจทย์ว่าจะทำอะไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่ต้องขายที่ผืนนี้ เนื่องจากว่าเป็นที่มรดกของครอบครัว ดังนั้น การพัฒนาโครงการเพื่อขายจึงตกไป เลยมองไปถึงโครงการที่ให้ผลประโยชน์จากการให้เช่าพื้นที่แทน ประกอบกับที่ดินผืนนี้ตั้งอยู่ติดถนนรามอินทรา ช่วงกม 4.5 ถือเป็นทำเลที่ดี ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู เพียง 100 เมตร ซึ่งในอนาคต หากว่ารถไฟฟ้าสายสีชมพูเปิดใช้ เรียกได้ว่าโครงการจะเป็นโครงการที่ติดสถานีเลยครับ เดินทางสะดวก ลงรถไฟฟ้าแล้วเดินเข้ามาจับจ่าย และนั่งชิลล์ที่นี่ได้ ซึ่งธุรกิจแบบให้เช่าพื้นที่ที่น่าสนใจและเหมาะสมกับพื้นที่มากที่สุด คือ Community Mall จึงได้เกิดโครงการ “ease park” ขึ้น
“โดยส่วนตัวผมชอบไปทำธุระ ทานข้าว ซื้อของตาม Community Mall มากกว่าห้าง เพราะสะดวกในการเดินทาง ไม่ต้องวนหาที่จอดรถ และไม่ต้องเดินไกล บ้านผมอยู่ค่อนข้างนอกเมือง หากจะไปในเมืองก็ต้องฝ่ารถติดเข้าไป ซึ่งถ้าไม่จำเป็นส่วนใหญ่ก็จะทำธุระอยู่แถวๆ บ้าน หรือมองหา Community Mall ที่ใกล้ๆ มากกว่า การไปใช้บริการก็มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง (ประมาณอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง) ทำธุระประจำเช่น ซื้อของ Supermarket, ซื้อกาแฟ, ทานอาหาร, หรือออกกำลังกาย อีกทั้งผมอยู่อาศัยแถวรามอินทรามาตั้งแต่เกิด จึงเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนที่พักอาศัยแถวนี้อยู่ตลอด ผมคิดว่าบริเวณนี้ยังขาด Neighborhood Mall ที่คนละแวกประมาณ 3-4 ตารางกิโลเมตร จะมาใช้เป็นประจำ อีกทั้งถนนรามอินทรานั้นปัจจุบันเป็นถนนที่คนใช้เป็นเส้นทางเดินทางหลัก ในแต่ละวันมีรถผ่านหน้าโครงการไม่ต่ำกว่า 250,000 คัน ซึ่งบริเวณของโครงการนี้จะเป็นจุดแวะพักสำหรับคนที่ใช้ถนนรามอินทราในการเดินทางเป็นอย่างดี” นายธัชชัย กล่าวเพิ่มเติมถึงที่มาของโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ “ease park”
สำหรับโครงการ “ease park” เกิดขึ้นผ่านแนวคิดของความเรียบง่าย และความสะดวกสบาย ซึ่งคำว่า ease ก็มาจากคำว่า easy ที่มีความหมายถึงความสะดวกสบาย ง่ายๆ park หมายถึง สถานที่พักผ่อน ซึ่งความหมายรวมๆ ก็คือ เป็นสถานที่พักผ่อนที่เรียบง่ายและสะดวกสบาย ภายใต้คอนเซ็ปต์ Industrial ซึ่งตัวโครงการมีการตกแต่งแบบโชว์วัสดุ ไม้ เหล็ก ปูน อิฐ เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่น แต่ไม่ล้าสมัย โดยตั้งอยู่ที่ถนนรามอินทรา กม. 4.5 พัฒนาเป็นโครงการ Community Mall สูง 3 ชั้น บนพื้นที่โครงการรวมประมาณ 3.5 ไร่ ติดถนนรามอินทรา หน้ากว้าง 60 เมตร พื้นที่ก่อสร้างประมาณ 7,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท
ประกอบไปด้วยร้านค้าประมาณ 13 ร้าน และ kios ประมาณ 4 ร้าน (รวม 17 ร้าน) ชั้น 1 เป็น Supermarket ซึ่งเป็น Villa market และร้านกาแฟแบรนด์ดังอย่าง Starbucks ที่เป็นแบบ Drive thru ส่วนชั้น 2 เป็นโซนของ ร้านอาหาร ซึ่งมีอาหารหลากหลายชนิดมากกว่า10 ร้านดัง และส่วนพื้นที่ ชั้น 3 เป็นส่วนของ Health, Beauty and Lifestyle ซึ่งประกอบไปด้วย Fitness, คลินิคเสริมความงาม, ร้านทำผม และ Nail spa และยังจัดให้เป็นโซนร้านนั่งชิลล์เพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อนอีกด้วย
“โครงการ “ease park” หากมองดูแล้วค่อนข้างจะเล็กถ้าเทียบกับโครงการ Community Mall อื่นๆ เราจึงต้องพิถีพิถันในการเลือกร้านค้าให้ไม่ซ้ำกัน และมีทุกอย่างครบถ้วน รวมทั้งแตกต่างกับคู่แข่งในบริเวณนี้ อีกเรื่องที่เราจะให้ความสำคัญหลังจากเปิดโครงการไปแล้ว คือ ด้านการบริการ บุคลากรที่จะมาทำหน้าที่บริการลูกค้าต้องมี Service Mind เพื่อให้ผู้ใช้บริการรู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนบ้านจริงๆ รวมทั้งการจัดกิจกรรมที่กำลังเป็นกระแสนิยมในเมือง เราจัดมาไว้ที่โครงการผ่านอีเว้นท์ต่างๆ ซึ่งทั้งหมดเราได้วางแผนไว้ แต่เรายินดีที่จะขยับออกไป เนื่องจากเรายังอยู่ในสภาวการณ์ที่กำลังพวกเรากำลังเศร้าหมอง ดังนั้น การเปิดตัวโครงการของเราจะทำการเปิดแบบค่อยเป็นค่อยไป คงไม่ได้มีอีเว้นท์อะไรมากมาย เพราะถือเป็นการถวายความเคารพพระองค์ท่านในฐานะที่เราเป็นพสกนิกรชาวไทยคนหนึ่งด้วย”
ด้านความคืบหน้าของโครงการขณะนี้ “ease park” มียอดจองพื้นที่มาแล้วกว่า 80% และคิดว่าไม่เกินสิ้นปีนี้คงจะเต็ม 100% ร้านค้ามีทั้งที่เคยเปิดมาแล้ว และเป็นร้านใหม่ที่เปิดที่นี่เป็นที่แรก ร้านที่คนรู้จักกันอยู่แล้วก็มี Villa Market, Kingkong, Starbucks, Neo Suki เป็นต้น และคาดว่าจะเปิด Soft Opening ประมาณต้นเดือนธันวาคม” นายธัชชัย กล่าว
นายธัชชัย กล่าวถึงจุดเด่นของโครงการ ease park และมุมมองในการพัฒนาคอมมูนิตี้มอลล์ ว่า “ปัจจุบันตลาดกลุ่มนี้มีการแข่งขันสูง และที่ผ่านมามีการเปิดตัวกันอย่างมากมาย ทั้งประสบความสำเร็จและไปไม่ถึงฝั่ง จุดแข็งของโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ ก็คือเรื่องของทำเล ซึ่ง “ease park” มีทำเลที่ดี ซึ่งถือเป็นจุดแข็งอันดับแรก เพราะอยู่ติดถนนใหญ่และมีหน้ากว้าง มองเห็นได้ชัดสำหรับคนที่สัญจรผ่าน อันดับต่อมาก็คือความสะดวกสบายในการเดินทาง ด้วยถนนรามอินทราในปัจจุบันนั้นมีขนาดกว้างและมีรถผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในการแวะพักของรถที่ผ่านไปมา รวมทั้งอยู่ในแหล่งชุมชนพักอาศัยหนาแน่นปานกลาง ความแตกต่างอีกเรื่องหนึ่งก็คือ โครงการนี้เป็นโครงการขนาดเล็กที่เป็น Neighborhood Mall เหมาะสำหรับคนบริเวณนี้ โครงการ Community Mall หากมีการบริหารจัดการเลือกร้านค้าที่ดี มี Location ที่เข้าออกสะดวก และมีการบริหารศูนย์ที่ดีแล้ว มันก็ยังไปได้ เนื่องจากว่าคนเรา ยังต้อง ทานอาหาร ซื้อของจาก Supermarket ออกกำลังกาย ยังไงก็ต้องหาที่ทำกิจกรรมนั้นๆ อยู่ดี และคนก็มักอยากจะไปในที่เราคุ้นเคย และสะดวกสบายจริงๆ”
ด้านนางกฤษณา อุดมพิทยภูมิพิจารณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอกาสมา จำกัด ที่ปรึกษาและออกแบบเกี่ยวกับการสั่งจัดสรรพื้นที่ให้เช่าของโครงการ “ease park” กล่าวถึงมุมมองของตลาด Community mall ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตว่า Community Mall หรือศูนย์การค้าชุมชน มีการขยายตัวตามการขยายตัวของเมืองและประชากรที่มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของคนในชุมชน ด้วย Lifestyle ของคนปัจจุบันที่เปลี่ยนไป สภาพสังคมที่รถติดขึ้นมาก คนส่วนใหญ่ต้องการความสะดวกสบาย การจับจ่ายใช้สอยใกล้บ้าน ดังนั้น Community Mall จึงต้องมุ่งเน้นไปที่ความสะดวกสบาย เข้าถึงง่าย มองเห็นจากถนนได้ง่าย
เพราะฉะนั้นองค์ประกอบหลัก ของ Community Mall จะต้องมี Supermarket หรือ Convenient Store ขนาดแตกต่างกันไปตามข้อจำกัดของผังเมืองในแต่ละที่, ร้านค้าประเภทร้านอาหาร ที่ต้องเลือกสรรร้านให้เหมาะกับคนในพื้นที่นั้นๆและโซนนิ่งต่างๆเพิ่มเติมพวกโซนการศึกษา Service อื่นๆ ตามความเหมาะสมสำหรับพื้นที่ใน บริเวณนั้นๆ อย่างไรก็ดี Community Mall ต้องมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับจัดกิจกรรมตามช่วงเวลา และกิจกรรมต่างๆที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของ Lifestyle คนในอนาคต
นางกฤษณา กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันตลาด Community Mall มีการเจริญเติบโต อย่างต่อเนื่อง ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งการที่จะพัฒนาให้ประสบความสำเร็จ มีปัจจัยที่สำคัญคือ การทำวิจัย และสังเกตการณ์หาข้อมูล Lifestyle และความต้องการ รวมถึงความชอบของคนในแต่ละพื้นที่ เพราะแต่ละที่มีความแตกต่างกัน ต้องวิเคราะห์ Location กลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งความต้องการของคนในพื้นที่นั้นๆ ให้ถูกต้อง จัดวางและเลือก ร้านค้า ให้ตอบโจทย์คนในพื้นที่ และต้องมีทีม Property Management ในการบริหารจัดการ ศูนย์อย่างต่อเนื่อง
สำหรับ lifestyle ของคนรามอินทรา ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ใกล้บ้าน เน้นสะดวกสบายเป็นหลัก เนื่องการจราจร ในย่านนี้ รถติดมากๆ การหาร้านอาหาร หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อซื้อของกินของใช้ก็จะเน้นเพื่อนที่ใกล้เคียงที่เดินทางไม่ไกลมากนัก โครงการ “ease park” จึงเน้นกลุ่มลูกค้าในพื้นที่รามอินทราเป็นหลัก และอีกกลุ่มเป้าหมายหนึ่ง คือกลุ่มคนที่ใช้ถนนรามอินทรา เป็นทางผ่านในการไปทำงานหรือเป็นทางกลับบ้าน สามารแวะซื้อของได้ง่ายและสะดวกสบาย
ซึ่งจะเห็นว่าเราจัดสรรร้านค้าของ “ease park” จะมีการผสมผสาน ทั้ง Villa Supermarket ที่มีของคุณภาพเหมาะกับคนรามอินทราที่มีกำลังการซื้อสูงและเลือกสรรของที่มีคุณภาพ, Starbucks drive thru ที่ตอบโจทย์ผู้เดินทางได้เป็นอย่างดี, ร้านอาหารอาหารที่มีชื่อ และร้านค้าประเภท Beauty คลินิก และ Fitness ขนาดใหญ่ที่ตอบสนอง Healthy Lifestyle ของคนที่เปลี่ยนไป ในขณะนี้ โดยข้อดีของย่านรามอินทรา คือเป็นย่านที่มีชุมชนอยู่อาศัยหนาแน่นและขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และ ระบบการขนส่งขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า ทางด่วน และ มอเตอร์เวย์ ที่สะดวกมากๆ
นายธัชชัย ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในอนาคตว่า บริษัทฯ ยังคงยึดตามแผนเดิมที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มแรก ที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ซึ่งการเปิดโครงการในแต่ละที่ต้องศึกษาทำเลให้มีความเหมาะสมกับประเภทของสินค้าที่เราจะขาย โดยในปีนี้ได้เปิดตัวโครงการแรก “ease park” ซึ่งเป็น Community Mall สำหรับในปี 2560 จะเริ่มด้วยโครงการทาวน์โฮม เนื่องจากว่าเงินลงทุนไม่สูงมากและน่าจะขายปิดโครงการได้อย่างรวดเร็ว คาดว่าจะเริ่มได้ประมาณไตรมาสที่ 3 และในปี 2561 วางไว้จะเปิด 2 โครงการเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม
ในส่วนของโครงการ Community Mall นั้น บริษัทฯ ก็ยังคงสนใจแต่จะต้องดู Location เป็นหลัก ซึ่งต้องดีมากจริงๆ ถึงจะทำ แต่ก็มี โครงการ ที่เป็น Community Mall แบบเฉพาะกลุ่มที่มี Concept แรงๆ ศึกษาอยู่ด้วยเหมือนกัน หากมีโอกาสที่ดีก็จะทำ ในส่วนของรายได้ของบริษัท หลังจากเปิดตัวโครงการ “ease park” ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ และคาดว่าในปีหน้าจะมีรายได้รวมประมาณ 70 ล้านบาท
ผู้สนใจเช่าพื้นที่สามารถติดต่อได้ที่ 086 406 9595 หรือสามารถติดตามข่าวสารของ “ease park” ผ่านทาง Facebook : www.facebook.com/easeparkbkk