เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2567
เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
เพิ่มความฟิตทางธุรกิจ คุมเข้มบริหารต้นทุน
เร่งส่งมอบสินค้าและนวัตกรรมตรงใจ ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง
กรุงเทพฯ : 25 กรกฎาคม 2567 – เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน อานิสงส์เวียดนามและอินโดนีเซียฟื้นตัว เร่งเพิ่มความฟิตทางธุรกิจ ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจในประเทศโตช้าและกระจุกตัว ความขัดแย้งระหว่างประเทศ เน้นเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงทดแทน บริหารต้นทุน โฟกัสธุรกิจศักยภาพสูง ดึง AI ดันประสิทธิภาพการผลิต รุกเสิร์ฟโซลูชันโดนใจตอบโจทย์ลูกค้าทั่วอาเซียน ส่งปูนคาร์บอนต่ำสู่ตลาดโลก ปิโตรเคมีเวียดนามจะกลับมาเริ่มทดสอบการเดินโรงงานภายในกันยายนนี้
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “ผลประกอบการเอสซีจีในไตรมาส 2 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ กำลังซื้อในตลาดอาเซียนดีขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย รวมทั้งมีรายได้เงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น ส่งผลให้มีรายได้ 128,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน กำไรสำหรับงวด 3,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากไตรมาสก่อน ขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2567 มีรายได้ 252,461 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยมีสัดส่วนยอดขายจากเอสซีจี เคมิคอลส์ ร้อยละ 39 เอสซีจีพี ร้อยละ 27 เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ร้อยละ 16 เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิงและเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล ร้อยละ 13 และเอสซีจี เดคคอร์ ร้อยละ 5
แม้เอสซีจีได้รับผลกระทบจากวัฏจักรปิโตรเคมีโลกยังอยู่ในช่วงขาลง ความตึงเครียดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดแข่งขันสูงจากสินค้านำเข้าจากจีน เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้าจากกำลังซื้อที่อ่อนแอในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-น้อย เอสซีจีเร่งเพิ่มความฟิตทางธุรกิจ สร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ด้วย 1.) บริหารต้นทุนพลังงาน อาทิ ธุรกิจซีเมนต์ในไทยเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงทดแทนได้ร้อยละ 47 2.) โฟกัสธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต เช่น มุ่งธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจรสำหรับตลาดที่อยู่อาศัย โรงงานและนิคมอุตสาหกรรม 3.) ปรับปรุงการจัดเก็บ ขนส่ง กระจายสินค้า เช่น ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลวางแผนการจัดส่ง ตรวจรับสินค้า ช่วยลดเวลาทำงาน ลดความเสียหาย ลดโอกาสผิดพลาดในการรับ-ส่ง 4.) ประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเอสซีจี เคมิคอลส์ใช้โซลูชัน AI จาก REPCO NEX ในการดูแลเครื่องจักรและซ่อมบำรุงได้อย่างแม่นยำ มีเสถียรภาพ (Reliability) ถึงร้อยละ 100 5.) มุ่งส่งมอบโซลูชันที่ฟังก์ชันและราคาตรงกับความต้องการของลูกค้า อาทิ CPAC รถโม่เล็ก ขนาดกะทัดรัด สำหรับงานก่อสร้างในเมืองที่มีซอยเล็ก บรรทุกคอนกรีตได้มากสุด 2 คิวต่อเที่ยว ช่วยบริหารปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ได้ง่าย ลดการเหลือทิ้ง”
ในครึ่งปีแรกของปี 2567 การพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) มียอดขาย 38,690 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 ของยอดขายรวม ขณะที่ นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-Value Added Products & Services – HVA) มียอดขาย 77,037 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39 ของยอดขายรวม และสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice มียอดขาย 136,124 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54 ของยอดขายรวม
การดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมส่งออกจากไทย ครึ่งปีแรกของปี 2567 มียอดขาย 111,367 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44 ของยอดขายรวม
ครึ่งปีหลังของปี 2567 ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีความท้าทายต่อเนื่อง แต่เอสซีจีพร้อมรับมือด้วยความคล่องตัวและมั่นคง มีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร 78,907 ล้านบาท รวมทั้งนวัตกรรมโซลูชันตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าครบวงจร
สำหรับ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจของเวียดนามและอินโดนีเซียที่กลับมาฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง กำลังซื้อกลับมาจากแรงหนุนของรัฐบาลอินโดนีเซียเพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสร้างเมืองหลวงใหม่ ‘นูซันตารา’ รวมทั้งรัฐบาลเวียดนามผลักดันการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment – FDI) ขณะที่การฟื้นตัวของไทยยังชะลอตัว ความต้องการสินค้าลดลงตามฤดูกาล และการจัดสรรงบประมาณของรัฐที่ล่าช้า
เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน เร่งผลักดันปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชัน 2 ซึ่งสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ร้อยละ 15-20 เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์เดิม โดยขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ซึ่งได้สร้างความมั่นใจในคุณภาพการใช้งานจนสามารถส่งออกสหรัฐอเมริกาได้แล้วมากกว่า 1 ล้านตัน ล่าสุด เปิดตัวปูนคาร์บอนต่ำรายแรกในเวียดนาม ‘SCG Low Carbon Super Cement’ ขณะที่ในไทยตลาดโตต่อเนื่อง สัดส่วนการใช้ทดแทนปูนแบบเดิมกว่าร้อยละ 86 พร้อมหนุนงานโครงการก่อสร้างภาครัฐที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ได้ออกปูนซีเมนต์หลากหลายรุ่น คุณภาพและราคาเหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าครอบคลุมมากขึ้น เช่น แบรนด์ ‘5 STAR’ ในกัมพูชา ‘BEZT’ ในอินโดนีเซีย ‘ADAMAX’ ในเวียดนาม และ ‘แรด’ ในไทย
เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล ลุยเสิร์ฟสินค้าและบริการเรื่องบ้านผ่านร้านค้าปลีกกว่า 87 ร้านในอาเซียน โดยครึ่งปีแรกของปีได้ขยายโมเดิร์นเทรด ‘Mitra10’ ผู้เชี่ยวชาญตลาดค้าปลีกในอินโดนีเซีย มีสินค้ากว่า 65,000 รายการ เพิ่มอีก 2 สาขา ที่เกาะสุมาตรา และเกาะชวาตะวันตก ซึ่งมีประชากรจำนวนมาก รับลูกค้ามากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน ตั้งเป้า 100 สาขา ในปี 2573 ปัจจุบันเปิดแล้ว 50 สาขา
เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง รุกนำเสนอนวัตกรรมวัสดุตกแต่งภูมิทัศน์ อาทิ กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น เอสซีจี หนุนรับนักท่องเที่ยว สามารถออกแบบลวดลายเอกลักษณ์ด้วยเทคนิคการพ่นสีเฉพาะ เช่น ลายดอกโบตั๋น สำหรับทางเท้าย่านเยาวราช พร้อมทั้งเปิดตัวนวัตกรรมระบบบำบัดอากาศเสีย Air Scrubber สำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก ภายใต้แบรนด์ ONNEX by SCG Smart Living เจาะกลุ่มลูกค้างานอาคารและสำนักงาน ที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดน้อยกว่า 3,500 ตร.ม. พร้อมขยายบริการครอบคลุมอาเซียนและตะวันออกกลาง
เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) ดันแผนสร้างการเติบโต 2 เท่าภายในปี 2573 เริ่มเดินการผลิตโรงงานแผ่นปูพื้น SPC LT by COTTO กำลังผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาดกว่า 500 ล้านบาท และเดินหน้าก่อสร้างโครงการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง กลุ่มกระเบื้องพอร์ซเลน สวยงาม แข็งแรง เป็นที่นิยม 3 โครงการใหญ่ในประเทศเวียดนามและไทย คาดเริ่มเดินการผลิตปีนี้
ขณะเดียวกัน เอสซีจีขยายตลาดวัสดุก่อสร้างสู่อินเดีย โดย SCG International ร่วมกับบริษัทบิ๊กบล็อก คอนสตรัคชั่น จำกัด ลงทุนเปิดโรงงานแผ่นผนังมวลเบา (AAC Walls) ภายใต้แบรนด์ 'ZMARTBUILD WALL by NXTBLOC' แห่งแรกในรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่การก่อสร้างมีมูลค่าสูงและเติบโตต่อเนื่อง
เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) แม้ไตรมาสที่ผ่านมาธุรกิจมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น จากการกลับมาเดินเครื่องของโรงงานระยองโอเลฟินส์ (ROC) แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังอ่อนตัว จากความต้องการสินค้าในตลาดโลกลดลง ขณะที่มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม SCGC เร่งผลักดันนวัตกรรมรักษ์โลก SCGC GREEN POLYMERTM สู่ตลาดที่มีความต้องการมาก อาทิ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ล่าสุดร่วมกับ Dow พัฒนาธุรกิจรีไซเคิลพลาสติกตลอดห่วงโซ่คุณค่าเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตั้งเป้าพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลเพื่อเปลี่ยนขยะพลาสติกปริมาณกว่า 200,000 ตันต่อปี ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เป็นผลิตภัณฑ์หมุนเวียนที่มีมูลค่า ภายในปี 2573
โครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) กลับมาทดสอบการเดินเครื่องทั้งโรงงานขั้นต้น (Upstream) และขั้นปลาย (Downstream) ในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2567 และจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567
เอสซีจีพี (SCGP) มุ่งขยายกำลังการผลิตรับความต้องการบรรจุภัณฑ์จากภาคการท่องเที่ยวและบริการ ประกอบกับบริหารจัดการวัตถุดิบและต้นทุนพลังงาน รวมทั้งสร้างการเติบโตในธุรกิจที่มีศักยภาพสูง ล่าสุด SCGP รุกขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ด้วยการลงทุนในบริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการผลิตชิ้นส่วนสมรรถนะสูงจากการฉีดขึ้นรูปพอลิเมอร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าของ Deltalab, S.L. และ Bicappa Lab S.r.L. บริษัทใน SCGP เพื่อรองรับความต้องการและส่งเสริมให้ SCGP ขยายเครือข่ายลูกค้าในต่างประเทศครอบคลุมยิ่งขึ้น
ธุรกิจน้องใหม่ เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ เติบโตได้ดีตามแผน มุ่งเพิ่มสัดส่วนการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูง ครึ่งปีแรกของปี 2567 มีกำลังการผลิตรวม 522 เมกะวัตต์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ จับมือ ซีเกท ประเทศไทย ลงนามในสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้า Solar Rooftop ขนาด 20.96 เมกะวัตต์ ณ โรงงานซีเกท จังหวัดนครราชสีมา สำหรับแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด Rondo Heat Battery อยู่ระหว่างการก่อสร้างยูนิตแรกของโลกสำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ที่โรงงานปูนซีเมนต์เอสซีจี จ.สระบุรี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2568 ซึ่งจะสามารถเป็นต้นแบบสำหรับหลากหลายอุตสาหกรรมต่อไป
นายธรรมศักดิ์ กล่าวปิดท้ายว่า “เอสซีจีตระหนักถึงสถานการณ์เศรษฐกิจที่กระทบความเป็นอยู่ของผู้คนในวงกว้าง จึงร่วมกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี เตรียมจัดโครงการ Go Together ให้ความรู้ สร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs โดยเริ่มจากโรงงานสระบุรี พร้อมขยายผลไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่เอสซีจีมีโรงงานตั้งอยู่ เช่น กาญจนบุรี ลำปาง ขอนแก่น นครศรีธรรมราช เป็นต้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยการปรับปรุงและนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต ลดต้นทุน นำของเหลือใช้มาสร้างประโยชน์ เช่น แปรรูปเป็นวัตถุดิบ เชื้อเพลิง รวมทั้งใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่มูลนิธิเอสซีจี ส่งเสริมแนวคิด LEARN to EARN เรียนรู้เพื่ออยู่รอด เน้นการเรียนรู้เพื่อมีงานทำ โดยมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนทั้งในระบบและนอกระบบ ประมาณ 3,000 ทุนต่อปี ในสาขาที่ตอบโจทย์ตลาด เช่น ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ เป็นต้น โดยกว่าร้อยละ 90 มีงานทำ”
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 23 สิงหาคม 2567 กำหนดวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 8 สิงหาคม 2567
เอกสารแนบ: ข้อมูลสําคัญทางการเงินของเอสซีจี
ผลประกอบการไตรมาส 2 ประจำปี 2567 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 128,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ กำไรสำหรับงวด 3,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากไตรมาสก่อน จากรายได้เงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากยอดขายของเอสซีจี เคมิคอลส์และเอสซีจีพี กำไรสำหรับงวดลดลงร้อยละ 54 และกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) ลดลงร้อยละ 29 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลง ประกอบกับค่าใช้จ่ายของโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์
ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2567 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 252,461 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน จากยอดขายที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง เนื่องจากสถานการณ์ตลาดในไทยที่อ่อนตัว ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณขายของเอสซีจี เคมิคอลส์และเอสซีจีพีเพิ่มขึ้น กำไรสำหรับงวด 6,133 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 75 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในครึ่งปีแรกของปี 2566 มูลค่า 14,822 ล้านบาท และกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) ลดลงร้อยละ 37 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลง ประกอบกับค่าใช้จ่ายของโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีมูลค่า 949,478 ล้านบาท โดยร้อยละ 46 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (นอกเหนือจากไทย)
ผลประกอบการแยกตามรายธุรกิจ
- เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ไตรมาส 2 ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 52,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น มีขาดทุนสำหรับงวด 1,241 ล้านบาท ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ร้อยละ 33 แต่ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,982 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้ค่าใช้จ่ายของโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ และรับรู้การขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 363 ล้านบาท ขณะที่ ครึ่งปีแรกของปี 2567 มีรายได้จากการขาย 97,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขาดทุนสำหรับงวด 3,107 ล้านบาท ลดลง 5,204 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาขายที่ลดลง ประกอบกับค่าใช้จ่ายของโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์
- เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ไตรมาส 2 ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 19,831 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวด 774 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 35 จากไตรมาสก่อน แต่ยังสามารถรักษาระดับกำไรให้เท่ากันกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดปูนซีเมนต์โดยรวมในประเทศไทยที่หดตัว ซึ่งมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า และความต้องการที่อ่อนตัวในภาคครัวเรือนระดับกลางและล่างรวมถึงภาคเอกชนขณะที่ ครึ่งปีแรกของปี 2567 มีรายได้จากการขาย 41,230 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวด 1,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการเรื่องต้นทุน
- เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล ไตรมาส 2 ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 35,266 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวด 576 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 81 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ท่ามกลางตลาดผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่หดตัว จากตลาดในภาคครัวเรือนที่มีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการปล่อยกู้ของธนาคารที่ยังเข้มงวด ขณะที่ ครึ่งปีแรกของปี 2567 มีรายได้จากการขาย 73,668 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวด 1,158 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) ครึ่งปีแรกของปี 2567 มีรายได้จากการขาย 13,350 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวด 541 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 167 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- เอสซีจีพี (SCGP) ครึ่งปีแรกของปี 2567 มีรายได้จากการขาย 68,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวด 3,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
SCG Announces Q2/2024 and H1/2024 Operating Results with Sustained Growth and Strategic Enhancements in Business Agility, Cost Management, and Products and Innovations Delivery to Navigate Economic Challenges in H2
BANGKOK: 25 July 2024 – SCG announced its operating results for Q2/2024, demonstrating continuous improvement with increased sales and profit compared to the previous quarter, driven by economic recovery in Vietnam and Indonesia. SCG has enhanced business agility to navigate economic challenges, including a slow and concentrated domestic economic recovery and geopolitical conflicts. The company is increasing the use of alternative fuels, focusing on cost management, targeting high-potential businesses, leveraging AI to boost production efficiency, and offering attractive solutions to customers across ASEAN. Low Carbon Cement is being introduced to the global market, and the Vietnam petrochemical complex will resume testing operations in September.
Thammasak Sethaudom, President and CEO of SCG, said, “SCG's operating results for Q2/2024 have improved from the previous quarter due to increased sales volume from SCG Chemicals and stronger spending power in the ASEAN market, particularly in Vietnam and Indonesia. Furthermore, dividend income from SCG Investment contributed to a total revenue of 128,195 MB, an increase of 3% q-o-q, with a profit of 3,708 MB, up 53% q-o-q. For the first half of 2024, revenue was 252,461 MB, close to last year's figure. The sales composition included 39% from SCG Chemicals, 27% from SCGP, 16% from SCG Cement and Green Solutions, 13% from SCG Smart Living & SCG Distribution and Retail, and 5% from SCG Decor.
Despite SCG being impacted by the petrochemical trough and tensions from geopolitical conflicts, intense market competition from Chinese imports, and a slow domestic economic recovery due to weak spending power among the middle to low-income groups, SCG has actively enhanced its business agility and operational resilience through several strategic measures: 1.) Energy Cost Management, for example, the cement business in Thailand has increased the use of alternative fuels to 47%; 2.) Focus on Growth Potential Business, such as comprehensive solar energy solutions for residential markets, plants, and industrial estates; 3.) Improvement of Storage, Transportation, and Distribution of Products by employing technology for delivery planning and goods receipt to reduce work time, minimize damage, and reduce errors in the receipt and delivery process; 4.) Application of Artificial Intelligence (AI) for Operation Efficiency, where SCG Chemicals utilizes AI solutions from REPCO NEX to precisely manage machinery maintenance, achieving 100% reliability; and 5.) Deliver solutions that meet both the functional and pricing needs of customers, such as CPAC’s compact concrete mixer trucks, which are designed for urban construction with narrow alleys, capable of transporting up to 2 cubic meters of concrete per trip, facilitating efficient cement usage and reducing waste.”
In the first half of 2024, New Products Development (NPD) achieved sales of 38,690 MB, accounting for 20% of total sales. High-Value Added Products & Services (HVA) registered sales of 77,037 MB, constituting 39% of total sales, while SCG Green Choice, environmentally friendly products, recorded sales of 136,124 MB, representing 54% of total sales.
SCG’s revenue from operations outside of Thailand, combined with export sales from Thailand for H1/2024, registered 111,367 MB, constituting 44% of total Revenue from Sales.
For the second half of 2024, the overall economic landscape remains challenging, but SCG is prepared to respond with agility and stability. The company holds cash and cash under management totaling 78,907 MB, along with innovative solutions that meet comprehensive customer needs.
Cement and construction related businesses are benefiting from the strong economic recovery in Vietnam and Indonesia. Spending power is rebounding, driven by the Indonesian Government's initiatives to accelerate infrastructure development and the establishment of the new capital, “Nusantara.” Additionally, the Vietnamese Government is promoting Foreign Direct Investment (FDI). In contrast, Thailand’s recovery remains sluggish due to seasonal demand declines and delayed government budget allocations.
SCG Cement and Green Solutions is accelerating the promotion of Low Carbon Cement Generation 2, which can reduce carbon dioxide emissions by 15-20% compared to conventional cement. This product is being expanded into international markets, including the United States and Australia, where it has already gained confidence in its quality, resulting in exports exceeding 1 million tons to the United States. Recently, SCG launched the first low-carbon cement in Vietnam, “SCG Low Carbon Super Cement.” In Thailand, the market continues to grow, with the usage of low-carbon cement replacing conventional cement by more than 86%. This growth is supported by increasing government construction projects. Additionally, SCG has introduced various models of cement that are of appropriate to better meet the needs of our customers, such as the “5 STAR” brand in Cambodia, “BEZT” in Indonesia, “ADAMAX” in Vietnam, and “Rad” in Thailand.
SCG Distribution and Retail is delivering home improvement products and services through more than 87 retail stores across ASEAN. In the first half of the year, the company expanded the modern trade Mitra10, a retail market expert in Indonesia which offers over 65,000 products. It added two new branches in Sumatra and West Java, regions with large populations, serving more than 1 million customers per month. The goal is to reach 100 branches by 2030. To date, 50 branches are currently operational.
SCG Smart Living is introducing landscape decorative materials, such as SCG pavement tile, to cater to tourism industry. These tiles can be custom-designed with unique patterns using a specialized shot blasting technique, like the peony pattern for sidewalks in the Chinatown area. Additionally, the brand ONNEX by SCG Smart Living has launched the Air Scrubber system, an innovative HVAC system for small spaces designed for buildings and offices with areas less than 3,500 square meters. This service will be expanded to cover ASEAN and the Middle East.
SCG Decor (SCGD) is pushing a plan to double its revenue by 2030, beginning with operational commencement of SPC LT by COTTO plant, with a production capacity of 1.8 million square meters per year, targeting revenue of 500 MB. Furthermore, another 3 main projects related to High-Value-Added and durable Glazed porcelain tiles in Vietnam and Thailand are currently under construction which expected to commercialized by this year.
Meanwhile, SCG is expanding its construction materials market to India. SCG International, in collaboration with BigBloc Construction Limited, has invested in establishing the first 'Autoclaved Aerated Concrete (AAC) Wall' factory, which produces lightweight wall panels, in Gujarat using the brand 'ZMARTBUILD WALL by NXTBLOC' for its commercial operations. Gujarat, India is a region with high and continuous growth in construction value.
SCG Chemicals (SCGC) has improved due to increased sales volume from the resumption of operations at the Rayong Olefins (ROC) plant. However, in the second half of the year, the industry remains challenging due to lower global demand and new supply additions. SCGC is accelerating the push of its green innovation, SCGC GREEN POLYMERTM, to meet high-demand markets, such as the consumer goods sector. Recently, in collaboration with Dow, SCGC developed a plastic recycling business across the entire value for the first time in the Asia-Pacific region. The goal is to develop recycling technology to convert over 200,000 tons of plastic waste per year in Southeast Asia into valuable circular products by 2030.
The Long Son Petrochemicals (LSP) project will restart and test run of both upstream and downstream operations in August-September 2024 and will begin commercial operations in October 2024.
SCGP is focusing on expanding its production capacity to meet the packaging demand from the tourism and service sectors. This includes managing raw materials and energy costs, as well as driving growth in high-potential businesses. Recently, SCGP has expanded its packaging business into medical supplies and labware by investing in VEM (Thailand) Co., Ltd., a manufacturer of high-performance polymer injection molding parts. This investment will enhance the production capabilities of Deltalab, S.L. and Bicappa Lab S.r.L., member of SCGP, to meet demand and broaden SCGP's international customer network more comprehensively.
SCG’s new business, SCG Cleanergy, is growing well according to plan, aiming to increase the proportion of solar energy installations for high-demand industrial customers. In the first half of 2024, the total production capacity reached 522 megawatts. Recently, SCG Cleanergy partnered with Seagate Thailand, signing a power purchase agreement for a 20.96 megawatt solar rooftop at Seagate's factory in Nakhon Ratchasima province. For the Rondo Heat Battery, which stores thermal heat from green electricity sources, the construction of the world's first unit for the cement industry is underway at the SCG cement plant in Saraburi province. This unit is expected to begin operations in 2025 and will serve as a model for other industries.
Thammasak concluded, “SCG recognizes the economic situation that affects the livelihoods on a wide scale. Therefore, in collaboration with the Federation of Thai Industries, Saraburi Chapter, SCG has launched the Go Together project to educate and build networks among SME entrepreneurs, starting with the Saraburi plant and expanding to other provinces where SCG has plants, such as Kanchanaburi, Lampang, Khon Kaen, and Nakhon Si Thammarat. This project aims to enhance competitiveness by improving and integrating technology into production processes, reducing costs, and repurposing waste into useful materials and fuels. Additionally, it promotes the use of clean energy to reduce greenhouse gas emissions. Meanwhile, the SCG Foundation is promoting the LEARN to EARN concept, focusing on learning for employment. The foundation grants approximately 3,000 scholarships per year to children and youth, both in and out of the formal education system, in fields that meet market demands, such as nursing assistants and dental assistants, with over 90% securing employment.”
In addition, the Board of Directors of SCG has approved the H1/2024 interim dividend payment of 2.50 Baht per share (3,000 MB), which is payable on August 23, 2024, with the XD-date on August 7, 2024, and the record date on August 8, 2024.
Attachment: Key Financial Information of SCG
SCG's operating results for Q2/2024 registered the Revenue from Sales at 128,195 MB, an increase of 3% q-o-q, driven by higher sales volumes from SCG Chemicals. The Profit for the Period was 3,708 MB, an increase of 53% q-o-q, attributed to dividend income from SCG Investment. Compared to the same period last year, the Revenue from Sales increased by 3%, driven by sales from SCG Chemicals and SCGP. However, the Profit for the Period decreased by 54%, and the Profit excluding extra items decreased by 29%, due to lower chemicals spreads and the Long Son Petrochemicals project expenses.
For H1/2024, SCG reported Revenue from Sales of 252,461 MB, which was similar to the previous year, due to a decline in sales from businesses related to cement and construction, affected by weak market conditions in Thailand, despite an increase in sales from SCG Chemicals and SCGP. The Profit for the Period was 6,133 MB, a decrease of 75% y-o-y, due to fair value adjustments of investments in H1/2023 amounting to 14,822 MB. The Profit excluding extra items decreased by 37% y-o-y due to lower chemicals spreads and the Long Son Petrochemicals project expenses.
SCG's total assets as of June 30, 2024, amounted to 949,478 MB, of which 46% represented assets in ASEAN (excluding Thailand).
The Q2/2024 and H1/2024 operating results by business units are as follows:
- SCG Chemicals (SCGC): For Q2/2024, SCGC recorded Revenue from Sales of 52,491 MB, an increase of 16% q-o-q and an increase of 8% y-o-y due to increased sales volumes. Loss for the Period was 1,241 MB, an improvement of 33% q-o-q, but a higher loss compared to the same period last year by 1,982 MB. This was mainly due to the recognition of expenses from the Long Son Petrochemicals project and the recognition of a loss from inventory valuation adjustments of 363 MB. For H1/2024, SCGC reported Revenue from Sales of 97,867 MB, an increase of 2% y-o-y. Loss for the Period was 3,107 MB, a decrease of 5,204 MB compared to the same period last year, due to lower selling price spreads and the Long Son Petrochemicals project expenses.
- SCG Cement and Green Solutions: For Q2/2024, SCG Cement and Green Solutions reported Revenue from Sales of 19,831 MB, a decrease of 7% q-o-q and y-o-y. Profit for the Period was 774 MB, a decrease of 35% q-o-q but was flat y-o-y. This amid the overall decline in domestic market of grey cement demand in Thailand, which resulted from delayed government budget disbursements and softer demand from the low to medium segment residential and private sectors. For H1/2024, the business reported Revenue from Sales of 41,230 MB, a decrease of 7% y-o-y. Profit for the Period was 1,965 MB, an increase of 24% y-o-y, due to effective cost management.
- SCG Smart Living & SCG Distribution and Retail: For Q2/2024, SCG Smart Living & SCG Distribution and Retail recorded Revenue from Sales of 35,266 MB, a decrease of 8% q-o-q and 5% y-o-y. The Profit for the Period was 576 MB, similar to the previous quarter but an increase of 81% y-o-y, amidst a contraction in the construction product market due to increased household debt and stringent bank lending. For H1/2024, Revenue from Sales was 73,668 MB, a decrease of 4% y-o-y. The Profit for the Period was 1,158 MB, an increase of 62% y-o-y.
- SCG Decor (SCGD): For H1/2024, SCGD reported Revenue from Sales of 13,350 MB, a decrease of 7% y-o-y. The Profit for the Period was 541 MB, an increase of 167% y-o-y.
- SCGP: For H1/2024, SCGP recorded Revenue from Sales of 68,182 MB, an increase of 3% y-o-y. The Profit for the Period was 3,178 MB, an increase of 17% y-o-y.