ฟิทช์ เรทติ้งส์คงอันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงินไทยประกันชีวิต ที่ระดับ AAA แนวโน้มมีเสถียรภาพ ผลจากเงินกองทุนสูง
ฟิทช์ เรทติ้งส์คงอันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงินไทยประกันชีวิต ที่ระดับ AAA แนวโน้มมีเสถียรภาพ ผลจากเงินกองทุนสูง การลงทุนมีประสิทธิภาพ มีเครือข่ายตัวแทน สาขาจำนวนมาก ผสานความเข้มแข็งของพันธมิตร เมจิ ยาซึดะฯ เอื้อต่อการขยายตลาดและรองรับความเสี่ยงในอนาคต
นางวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันจัดอันดับเครดิตทางการเงินระดับโลก ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ได้ประกาศคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS) ของไทยประกันชีวิต ที่ระดับ AAA(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (International Insurer Financial Strength : IFS) ที่ระดับ BBB+
โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ระบุว่าปัจจัยที่สนับสนุนให้ไทยประกันชีวิตมีความแข็งแกร่งทางการเงิน คือ บริษัทฯ มีโครงสร้างธุรกิจที่ดี อัตราส่วนเงินกองทุนแข็งแกร่ง และมีการบริหารการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ความเสี่ยงต่ำ รวมถึงบริษัทฯ มีเครือข่ายตัวแทนและพันธมิตรที่เข้มแข็ง และมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่หลากหลาย เอื้อต่อการขยายตลาดและการรองรับความเสี่ยงในอนาคต
ไทยประกันชีวิตมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี สะท้อนจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อทรัพย์สินเฉลี่ยระหว่างปี 2558 - 2560 อยู่ที่ 2.3% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ของธุรกิจ และสามารถรักษาฐานะเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงทางธุรกิจ รองรับเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงระยะที่ 2 ที่คาดว่าจะประกาศใช้ในปี 2562 ได้ โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 บริษัทฯ มีสัดส่วนเงินกองทุนที่ต้องดำรงไว้ตามกฎหมาย (RBC) อยู่ที่ 356% สูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้ที่ 140%
นอกจากนี้ ไทยประกันชีวิตมีการบริหารจัดการการลงทุนอยู่ในระดับที่ดี โดยมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่มีคุณภาพดีที่ประมาณ 53% ขณะที่การลงทุนในตราสารทุนมีสัดส่วนประมาณ 11% โดยความแตกต่างระหว่างอายุสินทรัพย์และหนี้สิน (Duration Gap) มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีระยะเวลาการลงทุนยาวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของบริษัทฯ จากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย และความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
ทั้งนี้ ไทยประกันชีวิตดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 76 ปี มีส่วนแบ่งทางการตลาดผ่านช่องทางตัวแทนเป็นอันดับ 2 ของธุรกิจประกันชีวิต มีสาขาและศูนย์บริการลูกค้ารวมกว่า 300 แห่ง ซึ่งมากที่สุดในธุรกิจ มีตัวแทนรวมกว่า 70,000 คน ประกอบกับการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท เมจิยาซึดะ ไลฟ์อินชัวรันส์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น และพันธมิตรทางการตลาดที่หลากหลาย เอื้อให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์ด้านต่างๆ ทั้งการบริหารความเสี่ยง การบริหารจัดการการลงทุน การส่งเสริมการตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์
“บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางการเงิน และการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้เอาประกันได้รับความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์อย่างครบถ้วน เป็นธรรม รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต่างๆ เพื่อรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและการบริการ การพัฒนาบุคลากร โดยมุ่งสร้างความมั่นใจและสร้างประโยชน์ที่มากกว่าการประกันชีวิตแก่ผู้เอาประกัน” นางวรางค์กล่าว