“กองทุนน้ำมันคือเครื่องมือกำบังกำไรแฝงของธุรกิจน้ำมัน !?!”

“กองทุนน้ำมันคือเครื่องมือกำบังกำไรแฝงของธุรกิจน้ำมัน !?!”

 

 

 

 

 

CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล

 

“กองทุนน้ำมันคือเครื่องมือกำบังกำไรแฝงของธุรกิจน้ำมัน !?!”

 

นโยบายเรื่องสนับสนุนพลังงานทดแทนจากน้ำมันเอทานอลที่กลั่นจากพืชผลทางการเกษตรนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นวิสัยทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 ที่ทรงมีสายพระเนตรยาวไกลในการช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ท่านในการลดภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าน้ำมัน ดังพระราชดำริที่ว่าให้เติมเอทานอลในเบนซิน 10% จะสามารถลดราคาลงได้50สตางค์ต่อลิตร เป็นการผ่อนเบาภาระของประชาชน

แต่พอวิสัยทัศน์นี้ถูกนำมาดำเนินการเป็นนโยบายของภาครัฐที่ถูกทุนครอบงำก็จะกลายพันธุ์ เหมือนดังสำนวนเสียดสีที่ว่า “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา”

เอทานอลที่ได้จากกากน้ำตาลและมันสำปะหลังทุกวันนี้ มีราคาแพงกว่าเบนซินล้วนๆ

ขอให้ดูโครงสร้างราคาน้ำมันวันที่23 พ.ค 2561

ราคาเนื้อน้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 19.1971บาท
เอทานอลลิตร 23.59 บาท เมื่อนำเอทานอลจำนวน85% มาเติมในเบนซินE85 จึงมีเนื้อน้ำมันแพงกว่าเบนซิน95ถึงลิตรละ 3.2947บาท และในE20 ก็แพงกว่าเบนซิน95 ลิตรละ.8347 บาท

น้ำมันผสมเอทานอลหากมีราคาแพงกว่าน้ำมันเบนซินล้วนๆมากขนาดนี้ หากปล่อยตามกลไกตลาดย่อมไม่มีใครซื้อ รัฐจึงกำหนดนโยบายบังคับด้วยการเก็บเงินคนใช้น้ำมันเอามาใส่กองทุนน้ำมัน แล้วเอามาชดเชยราคาน้ำมันผสมเอทานอล2ชนิด คือ E20 และ E85 ที่ถูกทำให้แพงเกินจริง การชดเชยให้ถูกลงกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ จึเป็นการพรางตาว่าน้ำมันผสมเอทานอลมีราคาถูกกว่าน้ำมันทุกชนิด

การชดเชยเช่นนี้คือการบิดเบือนราคาตลาด แต่ก็ยังอ้างว่าราคาน้ำมันของประเทศไทยเป็นไปตามกลไกตลาด!!!

สมัยของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ท่านเคยกำหนดนโยบายน้ำมันว่า “ต้องทำให้มีราคาถูกที่สุด ด้วยประสิทธิภาพ” การทำให้น้ำมันราคาถูกด้วยการล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันประเภทหนึ่งมาชดเชยคนใช้น้ำมันอีกประเภทหนึ่ง เข้าตำราเตี้ยอุ้มค่อมที่นำไปสู่การไม่พัฒนาประสิทธิภาะ และที่ร้ายแรงที่สุดนำไปสู่การทุจริต หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่กรณีเรื่องน้ำมัน ไม่ใช่เตี้ยอุ้มค่อม แต่เป็น”เตี้ยที่อุ้มทุนที่อ้วนด้วยไขมัน”มากกว่า

ลองมาดูกันว่าเหตุใดจึงเป็น “เตี้ยอุ้มอ้วน” เพราะการเอากองทุนน้ำมันมาชดเชยไม่ได้ชดเชยแค่ราคาเอทานอลที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ชดเชยไปถึงค่าการตลาดที่ตั้งไว้สูงลิบลิ่วด้วย ใช่หรือไม่

E85 ได้ชดเชยลิตรละ 9.35บาท

E20 ได้ชดเชยลิตรละ 3บาท

ทำไมชดเชยมากกว่าราคาเอทานอลที่เพิ่มขึ้นมา !?!

ลองมาดูค่าการตลาดของE85 จะพบว่ามีค่าการตลาดสูงถึง 6.0035 บาทต่อลิตร E20 มีค่าการตลาดสูงถึงลิตรละ 3.0735 บาท

เมื่อเอาราคาเอทานนอลที่เพิ่มเข้ามารวมกับค่าการตลาดของE85 จะเป็นจำนวนเงิน 9.2982บาท และE20 จะเป็นเงิน4.5697 บาท เลยเอากองทุนน้ำมันมาชดเชยE85ลิตรละ 9.35บาท และ E20 ชดเชย 3บาท

การชดเชยค่าการตลาดก็คือชดเชยกำไรของโรงกลั่นน้ำมันและปั๊มน้ำมันที่บวกเข้าไปในราคาน้ำมัน นี่คือชดเชยกำไรของธุรกิจน้ำมันที่ถูกทำให้สูงเกินกว่าความเป็นจริง เป็นราคาที่ไม่ได้เกิดจากการแข่งขัน แต่เป็นราคาที่เกิดจากนโยบายรัฐที่เปิดทางให้กลุ่มทุนพลังงานผูกขาดหักคอประชาชนกำหนดราคาตามอำเภอใจ ใช่หรือไม่

เมื่อวันที่23 พ.ค 2561 วันเดียวกับที่กระทรวงพลังงานประกาศโครงสร้งราคานี้ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช บอสใหญ่ของปตท.ให้สัมภาษณ์สื่อว่า

“ปตท. จะดูแลค่าการตลาดน้ำมันให้อยู่ในระดับเหมาะสม ที่ระดับประมาณ 1 บาท 60 สตางค์ ถึง 1 บาท 80 สตางค์ต่อลิตร “

ขอให้ท่านทั้งหลายดูค่าการตลาดในโครงสร้างราคาน้ำมัน จะเห็นว่า ค่าการตลาดของน้ำมันทุกชนิดสูงกว่าคำพูดของซีอีโอท่านนี้ ใช่หรือไม่

กองทุนน้ำมันจึงเป็นกองทุนล้วงกระเป๋าประชาชนและเป็นตัวกำบังสายตาของสังคม ไม่ให้เห็นได้โดยง่ายว่าข้ออ้างการชดเชยนั้นไม่ใช่ชดเชยในยามที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแกว่งตัวสูง จึงเอามาชดเชยราคาน้ำมันสำเร็จรูปไม่ให้สูงเกินไปจนประชาชนเดือดร้อน แต่กองทุนน้ำมันถูกถ่ายเทจากกระเป๋าประชาชนคือมาชดเชยกำไรแฝงที่บวกเข้าไปในราคาเอทานอล และค่าการตลาดของโรงกลั่นน้ำมันจนสูงเกินจริงใช่หรือไม่

ภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะเก็บเงินประชาชนต้องผ่านการอภิปรายในสภาว่าเก็บได้สูงสุดกี่บาท แต่กองทุนน้ำมันไม่มีกฎหมายรองรับ แต่เก็บเงินประชาชนเท่าไหร่ก็ได้ตามอำเภอใจ ชดเชยน้ำมันอะไรในจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ เพราะมีอำนาจรัฐกดหัวประชาชนไว้

ท่านรัฐมนตรีพลังงาน ดร.ศิริ จิระพงศ์พันธ์ออกมาประกาศว่าจะใช้กองทุนน้ำมันที่มีเงินเหลืออยู่3หมื่นล้านบาทมาชดเชยดีเซล ไม่ให้เกิน30บาท ท่านควรกลับไปดูว่าโครงสร้างราคาน้ำมัน มีค่าการตลาดและกำไรแอบแฝงอะไรบ้างที่ควรตัดออกไปเสียก่อน ก่อนที่จะเอากองทุนน้ำมันที่เป็นเงินอีกกระเป๋าของประชาชนมาใช้อุดหนุนกำไรแฝงของกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ที่ได้กำไรเกินควรเหมือนเดิม เพียงแต่ประชาชนจ่ายจาก2กระเป๋า แต่ในราคาที่ถูกเอาเปรียบเหมือนเดิม

อย่าให้ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าบ้านเมืองนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีคนพูดกับดิฉันว่าประชาชนถูก

“ปล้นกลางแดด แดกด้วยนโยบาย”
ใช่หรือไม่!!??

รสนา โตสิตระกูล
26 พ.ค 2561

https://www.springnews.co.th/view/267717

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1696275223782367&id=236945323048705