“ป.ป.ช หยุดยื้อเวลาสอบนาฬิกาบิ๊กป้อม ก่อนที่ประชาชนจะหยุดศรัทธา??!!

“ป.ป.ช หยุดยื้อเวลาสอบนาฬิกาบิ๊กป้อม ก่อนที่ประชาชนจะหยุดศรัทธา??!!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล

 


“ป.ป.ช หยุดยื้อเวลาสอบนาฬิกาบิ๊กป้อม
ก่อนที่ประชาชนจะหยุดศรัทธา??!!

 

เมื่อวานนี้ (20 ก.ค 2561) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีองค์การต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ตั้งข้อสังเกตว่ามีการยื้อเวลาการตรวจสอบเรื่องการถือครองนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่าเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นความเห็นของบุคคล แต่ถือเป็นสิ่งที่ดีที่มีการช่วยเตือน ช่วยแนะนำ

ประธาน ป.ป.ช.ยืนยันไม่ได้ยื้อ แต่อ้างยังหาข้อมูล “ซีเรียลนัมเบอร์” ในตัวแทนจำหน่ายในไทยไม่ได้ ต้องขอไปที่บริษัทแม่ในต่างประเทศยังไม่รู้เมื่อไหร่จะได้

เมื่อนักข่าวถามว่า เหตุใดจึงไม่สามารถขอข้อมูลนาฬิกาจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยได้ ทั้งที่ ป.ป.ช.มีอำนาจทำได้ ประธาน ป.ป.ช.กล่าวว่า เท่าที่รับฟังจากกรรมการ ป.ป.ช.ที่รับผิดชอบ “ไม่ใช่ว่าขอไม่ได้ แต่เพราะตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยเขาไม่มีข้อมูล โดย ป.ป.ช.ได้สอบถามข้อมูลถึง
ซีเรียลนัมเบอร์ของนาฬิกาเรือนต่างๆ แต่เขาแจ้งว่าไม่มีข้อมูล ไม่ได้ขายนาฬิการุ่นนี้ “

น่าผิดหวังที่ประธานป.ป.ช เคยเป็นถึงอดีตนายตำรวจใหญ่ เมื่อมาเป็นประธานมือสอบทุจริตในองค์กรตรวจสอบการทุจริตแห่งชาตินั้น ไม่น่าจะจนแต้มเอาง่ายๆกับการตรวจสอบคดีนาฬิกา เว้นแต่ต้องการยื้อเวลาการตรวจสอบให้ยืดยาวออกไปมากกว่า ใช่หรือไม่

เมื่อบริษัทตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาในไทย.ยืนยันว่าไม่ได้จำหน่ายนาฬิการุ่นนี้ก็แสดงว่านาฬิกาดังกล่าวมิได้มีการนำเข้าโดยตัวแทนจำหน่าย ดังนั้นป.ป.ช ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปรอซีเรียลนัมเบอร์จากตัวแทนในต่างประเทศ ที่ไม่มีความแน่นอนว่าจะได้หรือไม่

สิ่งที่ประธานป.ป.ช ควรบัญชาการให้ดำเนินการต่อไปโดยเร่งด่วนคือ

1)แจ้งให้ศุลกากรตรวจสอบว่ามีการนำเข้านาฬิกา25เรือนดังกล่าวมาหรือไม่ และมีการเสียภาษีหรือไม่ ถ้าในกรมศุลกากรไม่มีประวัติว่ามีการนำเข้านาฬิกาหรูเหล่านี้ และมีการเสียภาษีถูกต้อง ก็แสดงชัดเจนว่าเป็น “นาฬิกาลักลอบนำเข้า” จะต้องถูกดำเนินคดีและยึดนาฬิกาให้ตกเป็นของแผ่นดินไม่ว่านาฬิกานั้นจะเป็นของใครก็ตาม

2)กรณีที่พล.อ ประวิตรกล่าวอ้างว่านาฬิกา 25เรือนนั้น มิใช่นาฬิกาของตน แต่ยืมผู้อื่นมาใช้ ย่อมเข้าประเด็นการได้รับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000บาท ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่ต้องพิสูจน์อีกแล้ว เพราะพล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างชัดเจนว่า “ยืมเพื่อนมาใส่วนกันไป”

เพียงประเด็นการรับประโยชน์จากบุคคลอื่นใดเกิน3,000บาท ก็สามารถชี้ได้แล้วว่ามีการกระทำที่ขัดต่อบทบัญัติของพ.ร.บ ป.ป.ช 2561 มาตรา 128

“มาตรา ๑๒๘ ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณ เป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และจํานวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด”

และในการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติพ.ร.บ ป.ป.ช มาตรา128 นั้น ก็มีความผิดตามมาตรา 129 อีกด้วย ใช่หรือไม่

“มาตรา ๑๒๙ การกระทําอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติในหมวดนี้ให้ถือว่าเป็นการกระทําความผิด ต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม”

เพียงความผิดในกรณีการรับผลประโยชน์อื่นใดจากบุคคลอื่น ที่คำนวณเป็นเงินเกิน 3,000 บาท ป.ป.ช ก็สามารถชี้ได้แล้วว่ามีการกระทำผิดหรือไม่

ส่วนหลังจากนี้ก็คือพิสูจน์ว่า นาฬิกาดังกล่าวเป็นของพล.อ ประวิตร หรือยืมคนอื่นมาจริง ถ้าเป็นของตนเอง แล้วไม่แจ้งก็จะมีความผิดฐานปกปิดแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ และอาจมีความผิดไปถึงข้อหาการร่ำรวยผิดปกติหรือการรับสินบนด้วยใช่หรือไม่

การตรวจสอบคดีง่ายๆที่ไม่มีความซับซ้อนอะไรแต่ป.ป.ช ทำดูเหมือนยากเย็น ใช้เวลาไปกว่า7เดือน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสรุปผลการสอบสวนได้เมื่อไหร่นั้นย่อมส่อเจตนา ทำให้สังคมเห็นชัดเจนว่า ป.ป.ช ต้องการถ่วงเวลาเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่???

ขอบอกว่าประชาชนคงจะไม่อดทนให้เวลาอีกต่อไปกับใครก็ตามที่พยายามถ่วงเวลาคดีทุจริตใหญ่ที่สังคมเห็นอยู่ตำตา !!!

รสนา โตสิตระกูล
21 ก.ค 2561