รสนาพบผู้ป่วยติดเชื้อ กทม. ระบาดหนักกว่าตัวเลขรายงาน จี้รัฐบาลเร่งแก้ไขขยายแนวร่วมก่อนชาติพัง

รสนาพบผู้ป่วยติดเชื้อ กทม. ระบาดหนักกว่าตัวเลขรายงาน จี้รัฐบาลเร่งแก้ไขขยายแนวร่วมก่อนชาติพัง

 

 

 

 

 

 

 

 

CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล

 

รสนาพบผู้ป่วยติดเชื้อ กทม. ระบาดหนักกว่าตัวเลขรายงาน จี้รัฐบาลเร่งแก้ไขขยายแนวร่วมก่อนชาติพัง

 

ข่าววันนี้เรื่องคลองเตยวิกฤติและหวั่นจะเป็นคลัสเตอร์ใหม่ในการแพร่ระบาด เนื่องจากมีชาวชุมชนคลองเตยที่มีผู้อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ประกอบกับระบบการตรวจการติดเชื้อต้องรอคิวนาน และเมื่อตรวจพบการติดเชื้อแล้ว ก็ไม่มีร.พ สนามหรือฮอสพิเทลเพียงพอที่จะรองรับได้ ทำให้คนติดเชื้อต้องอยู่บ้าน ซึ่งทำให้เกิดการแพร่ระบาดให้กับสมาชิกในครอบครัว และลุกลามออกไปในชุมชน

 

ถ้าว่ากันตามกฏหมายควบคุมโรคติดต่อร้ายแรงแล้ว ผู้ติดเชื้อที่ไม่เข้ารับการกักตัวของรัฐย่อมมีความผิด แต่ถ้ารัฐไม่มีสถานที่สำหรับกักโรคเสียเอง ก็ต้องระวังเรื่องการกระทำผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา57 ด้วยเช่นกัน

 

สภาพการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ชุมชนคลองเตยเท่านั้น จากการที่ดิฉันได้นำยาฟ้าทะลายโจรกระจายให้ชาวชุมชนทั่วกทม.โดยผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขใน

 

กรุงเทพฯได้รับคำบอกเล่าเช่นเดียวกันว่ามีคนยากจน หาเช้ากินค่ำที่ตรวจพบว่าติดเชื้อแล้วแต่ไม่มีสถานที่กักตัวของรัฐ ทำให้เกิดการแพร่เชื้อขยายเป็นวงกว้างจาก บุคคลสู่ครอบครัวและลุกลามไปสู่ชุมชนอย่างรวดเร็ว ทำให้การระบาดของเชื้อโควิดในระลอก3 ไม่อาจหยุดลงอย่างง่ายดาย
ข้อเสนอต่อรัฐบาล

 

1)ขอให้มีการสำรวจผู้ป่วยที่ติดเชื้อทั้งหมดที่ต้องอยู่บ้าน ให้ถือว่าสมาชิกในบ้านเป็นผู้มีติดเชื้อด้วย และให้แก้ไขกฎหมายโดยเร่งด่วนเพื่อให้สามารถใช้บ้าน ใช้วัด หรือโรงเรียนที่ปิดการสอนแล้วสำหรับเป็นที่กักตัว โดยอาศัยพลังของอาสาสมัครสาธารณสุขในชุมชนที่ได้รับการอบรมฝึกฝน และการสนับสนุนเครื่องไม้เครื่องมือจากภาครัฐในการช่วยเหลือดูแลผู้ติดเชื้อที่อยู่บ้านหรืออยู่ในชุมชนอย่างมีมาตรฐานในการดูแลรักษาและความปลอดภัยไม่ให้โรคแพร่ระบาดออกไปจากสถานที่กักโรค

 

2)รัฐบาลต้องจัดยาฟ้าทะลายโจรให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการน้อยถึงปานกลางให้ใช้ทั้งครอบครัว เพื่อระงับการลุกลามของเชื้อโรคจนอาการทรุดหนัก เป็นภาระต่อระบบสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้มีความจำกัดด้านบุคลากรและอุปกรณ์ช่วยชีวิต

 

นอกจากนี้ให้รัฐบาลต้องจัดหาอาหารส่งให้กับครอบครัวที่ถูกกักตัวทั้งหมดโดยอาศัยชุมชนในการทำอาหาร และส่งอาหาร3มื้อ รวมทั้งเครื่องบริโภค อุปโภคที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นรายได้ของชาวชุมชนในระหว่างนี้

 

3)ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องระดมสรรพกำลังของภาคประชาสังคมให้เข้ามาร่วมมือ โดยอาศัย อาสาสมัครสาธารณสุข เครือข่ายชุมชนวัด เข้ามาช่วยดูแลทั้งเรื่องการจัดส่งอาหาร สิ่งของจำเป็นประจำวัน และการติดตามอาการของผู้ถูกกักตัวรวมทั้งให้ความช่วยเหลือเด็ก

 

ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียงด้วยโรคอื่นๆในพื้นที่ชุมชนคนมีรายได้น้อยด้วย โดยเฉพาะอาหารสำหรับเด็กนักเรียนที่เคยได้รับวันละ2มื้อ เมื่อหยุดเรียนอยู่บ้าน ก็ไม่ได้รับอาหาร และกลายเป็นภาระของครอบครัวคนจนที่ขาดรายได้ในช่วงวิกฤตโควิด

 

4)รัฐบาลควรระดมบุคลากรแพทย์ สาธารณสุขนอกภาครัฐ รวมทั้งแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ แพทย์พื้นบ้าน แม้เกษียณอายุแล้ว แต่ยังแข็งแรงอยู่ ออกมาช่วยเหลือดูแลรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานทางวิชาชีพของตน เพื่อเเบ่งเบาภาระแพทย์ พยาบาล สาธารณสุขในระบบที่งานล้นมืออยู่แล้ว

 

5)รัฐบาลควรระดมอาสมัครแพทย์ที่เกษียณแล้วหรือแพทย์อาสาสมัครมาช่วยดูแลผู้ป่วย โดยใช้การปรึกษาและประสานงานผ่านระบบวีดีโอคอลเพื่อให้สามารถครอบคลุมการดูแลผู้ป่วยจำนวนมากได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว

 

ด้วยการระดมสรรพกำลังของสังคมทั้งหมด กระจายการมีส่วนร่วมลงไปทุกภาคส่วน เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอก3 เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องทำให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนการแพร่กระจายเชื้อและการป่วยหนักของประชาชนจะเกินขีดที่ระบบสาธารณสุขของภาครัฐจะรองรับได้
 
 
ไม่ว่ากี่นายกฯ กี่รัฐมนตรีก็เอาโควิดไม่อยู่ การออกกฎหมายมาไล่จับ ปรับคนไม่ใส่แมสก์อย่างรุนแรงแบบอำนาจนิยมรวมศูนย์ ที่ล้าสมัย ไม่มีทางหยุดยั้งการระบาดของโควิดระลอกนี้ได้ มีแต่ต้องใช้แนวทางการบริหารจัดการที่ดึงเอาพลังอำนาจที่แท้จริงของภาคประชาสังคมให้เข้ามามีบทบาทอย่างเข้มแข็งเท่านั้น
ประเทศไทยจึงจะชนะสงครามโควิดได้
รสนา โตสิตระกูล
25 เมษายน 2564