ฟ้าทะลายโจรเพื่อต้านโควิด -19 ต้องไม่ถูกผูกขาดโดยอุตสาหกรรมยาขนาดใหญ่
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
ฟ้าทะลายโจรเพื่อต้านโควิด -19 ต้องไม่ถูกผูกขาดโดยอุตสาหกรรมยาขนาดใหญ่
ในเอกสารการใช้ฟ้าทะลายโจรทดลองกับ Vero Cells ที่ติดเชื้อไวรัสได้สูง กับโควิด-19 ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าสารสกัดจากผงหยาบฟ้าทะลายโจรดีกว่าสารตัวเดี่ยวแอนโดรกราโฟไลด์ในการยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อโควิด-19 เมื่อดูจากค่า IC50 (ความเข้มข้นของฟ้าทะลายที่มีฤทธิ์ยับยั้งจำนวนเชื้อโควิด-19ได้ครึ่งหนึ่ง) สารสกัดจากผงหยาบใช้น้อยกว่าสารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์ตัวเดียว ถึง15เท่า ซึ่งแสดงนัยยะสำคัญว่าฟ้าทะลายโจรที่เป็นผงหยาบจากส่วนเหนือดิน มีสรรพคุณดีกว่า สารสำคัญแอนโดรกราโฟไลด์ตัวเดียว
ในการทดลองทางปฏิบัติกับคนไข้ติดเชื้อโควิด-19ของกรมการแพทย์แผนไทยฯไม่ได้ใช้ผงรวมฟ้าทะลายโจรในการทดลองรักษาคนไข้ติดเชื้อโควิด-19 แต่กลับใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์เป็นตัวกำหนดถึง180 มก./วัน โดยไม่มีที่มาที่ไปว่า 180มก./วันมาจากไหน มีผลวิจัยอะไรมารองรับหรือไม่ หรืออ้างเพียงว่าประเทศออสเตรเลียใช้ และสิ่งที่ดิฉันได้รับทราบมาคือปริมาณ180มก./วัน เป็นปริมาณ3เท่าของการใช้ปกติและเป็นปริมาณสูงสุดที่ไม่เป็นอันตรายต่อตับของคนไข้
ดิฉันเห็นว่าในฐานะของกรมการแพทย์แผนไทยฯ สมควรที่จะศึกษาเปรียบเทียบว่า
1)ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ปริมาณน้อยที่สุดที่จะได้ผลดีที่สุดอยู่ที่เท่าไหร่ โดยการทดลองในปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 60มก./วัน 120มก./วัน และ180มก./วันในรูปแบบของผงยาที่โรงพยาบาลและประชาชนส่วนใหญ่ใช้กันอยู่ในการรักษาคนไข้ติดเชื้อโควิด-19ที่ไม่มีอาการ และมีอาการน้อย-ปานกลาง
จากการเก็บข้อมูลเบื้องต้นของดิฉัน พบว่าคนไข้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีเตียงรพ.ต้องกักตัวเองอยู่ที่บ้าน ใช้ผงฟ้าทะลายโจรบรรจุแคปซูลยี่ห้อไหนก็ได้ผลในการลดไข้ ไอ เจ็บคอทั้งสิ้น และหายเป็นปกติ ทำให้ดิฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดกรมการแพทย์แผนไทยฯจึงไม่จัดรูปแบบในการทดลองที่หลากหลายโดยเริ่มจากปริมาณที่ประชาชนใช้กันโดยทั่วไปและได้ผลดีอยู่แล้ว
2)กรมการแพทย์แผนไทยฯสมควรทดลองกับคนไข้ติดเชื้อโควิด-19ในรูปแบบของยาแผนไทยที่เป็นผงฟ้าทะลายโจรบรรจุแคปซูล แทนที่จะเป็นสารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์เป็นตัวกำหนด 180มก./วัน เพราะการทดลองสารสกัดที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ควรเป็นภารกิจของกรมอื่นซึ่งไม่ควรเป็นภาระหน้าที่ของกรมการแพทย์แผนไทยฯที่ต้องสนับสนุนการพัฒนารูปแบบของยาไทยในการใช้กับวิกฤตโควิด-19 ซึ่งอาจรวมถึงตำรับยาไทยอื่นๆด้วยเช่นยาห้าราก ยาเขียว ยาขาว เป็นต้น
ดิฉันอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ฟ้าทะลายโจรอาจจะถูกไฮแจ็คผ่านกระบวนการทดลองทางคลินิกที่ใช้เฉพาะสารสกัดที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ 180มก./วัน โดยมีธุรกิจผลิตยาขนาดใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทดลองในขณะนี้ด้วย ใช่หรือไม่ ที่ตั้งคำถามเพราะมีบริษัทยาบางแห่งโฆษณาสินค้ายี่ห้อตัวเองด้วยการดิสเครดิตผงฟ้าทะลายโจร ว่ามีสารAP3 ที่จะทำให้ผู้บริโภคกล้ามเนื้ออ่อนแรง และอวดอ้างว่าสารสกัดยี่ห้อของตนดีกว่าผงฟ้าทะลายโจร เพราะได้สกัดสาร AP3 ออกไปแล้ว เป็นการแอบอ้างโดยไม่มีข้อมูลวิจัยมารองรับ มีแต่การสร้างความสับสน และความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนในการใช้ฟ้าทะลายโจร และการโฆษณาเช่นนี้น่าจะผิดกฎหมายการโฆษณาของ อ.ย แต่กลับไม่มีการลงโทษทั้งที่ความผิดสำเร็จไปแล้ว ใช่หรือไม่
ดังนั้นในอนาคตสารสกัดฟ้าทะลายโจรเพื่อร่วมรักษาโควิด อาจจะถูกผูกขาดโดยบริษัทยาขนาดใหญ่และยาก็จะแพงมากขึ้นจนชาวบ้านเข้าถึงได้ยาก รวมทั้งการสูญเสียการพึ่งตัวเองในระดับครัวเรือนหรือชุมชน อย่างในปัจจุบันฟ้าทะลายโจรที่เป็นสารสกัดมีราคาแพงกว่าผงฟ้าทะลายโจรบรรจุแคปซูล 5-6เท่า ขนาดยังไม่ได้ประกาศใช้ร่วมกับการรักษาโควิด-19ยังแพงขนาดนี้ ถ้าสารสกัดฟ้าทะลายโจร 180มก./วัน ถูกประกาศว่าให้ใช้ร่วมรักษากับโควิด-19 ได้ สารสกัดฟ้าทะลายโจรจะแพงกว่านี้ขนาดไหน และจะถูกผูกขาดโดยบริษัทยาใหญ่ๆอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่
จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้ส่งเสริมฟ้าทะลายโจรในรูปแบบยาไทย ซึ่งนอกจากง่ายต่อการที่จะผลิตได้อย่างหลากหลายแล้ว ยังเป็นความมั่นคงทางยาและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่ผลิตภัณฑ์ยาในวิกฤตเศรษฐกิจ มีราคาถูก เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ในการดูแลสุขภาพช่วงสถานการณ์โควิด-19
ดิฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งหากรัฐบาลจะสนับสนุนให้มีงานวิจัยฟ้าทะลายโจในระดับสากล ต่อยอด เพื่อการส่งออกยาสมุนไพรไทยในฐานะยาต้านโควิด-19 เพื่อสร้างพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ให้กับประเทศไทย แต่โปรดอย่าปล่อยให้มีบางบริษัทฉวยโอกาสมาปล้นทรัพย์สินทางปัญญาของประชาชน
รสนา โตสิตระกูล
21 พ.ค 2564