สตรีทไอโซเลชั่น กักตัวข้างถนนหนีโควิด CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
สตรีทไอโซเลชั่น กักตัวข้างถนนหนีโควิด
วันนี้ดูข่าวทีวีได้เห็นหญิงวัย60ปี ใช้มุ้งครอบนอนอยู่ข้างสน.นางเลิ้ง ข่าวรายงานว่าหญิงผู้นั้นติดเชื้อโควิด แต่ไม่มีที่กักตัวในรพ.ต้องกักตัวที่บ้าน แต่เกรงว่าจะแพร่เชื้อให้คนในบ้าน จึงต้องออกมากักตัวเองข้างถนน ข่าวระบุว่าโชคดีมีรถรพ.มารับตัวไปรักษาแล้ว
ในที่สุดบ้านเมืองมาถึงจุดนี้จนได้ ที่คนติดเชื้อต้องออกมากักตัวข้างถนนกัน เพราะไม่ได้เตรียมระบบให้มีการกักตัวที่บ้าน หรือกักตัวในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพไว้ล่วงหน้า จึงมีแต่หลักเกณฑ์ที่เพิ่งเพิ่งเขียนขึ้นมาแต่ยังปฏิบัติไม่ได้
ดิฉันมีโอกาสคุยกับเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เรื่องการเตรียมพร้อมให้คนติดโควิดกักตัวในบ้าน หรือกักตัวในชุมชน เพราะหากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังยืดเยื้อและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ระบบรองรับในรพ.และรพ.สนามจะไม่เพียงพอ การเตรียมระบบให้คนกักตัวที่บ้านและที่ชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพจะป้องกันไม่ให้เกิดความแตกตื่น อลหม่านในหมู่ประชาชน และไม่ปล่อยสถานการณ์ให้เป็นไปตามยถากรรมดังที่เป็นอยู่รายวัน
เลขาธิการสปสช.ได้บอกดิฉันว่าการกักตัวที่บ้านหรือในชุมชนสามารถทำได้โดยให้มีรพ.หรือศูนย์บริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลสุขภาพตำบล(รพ.สต.)ที่เป็นระดับปฐมภูมิรับดูแลผู้ติดเชื้อเป็นรายๆที่ขึ้นทะเบียนกับรพ.หรือสถานพยาบาลปฐมภูมิและให้พยาบาลหรืออาสาสมัคร (อสส.) กทม.หรือ
อสม.เข้าไปดูแลคนป่วยแต่ละคน ซึ่งสามารถเบิกรายจ่ายจากสปสช.ได้ทั้งหมดทั้งอุปกรณ์เช่นเครื่องวัดอ๊อก
ซิเจน เครื่องวัดอุณหภูมิ ฯลฯและอาหาร3มื้อ เบี้ยเลี้ยงของคนดูแล เพราะสปสช.ต้องจ่ายเงินผ่านหน่วยงานแพทย์สาธารณสุขของรัฐและเอกชนเท่านั้น ไม่สามารถจ่ายผ่านชุมชนหรือบุคคล
ในกรณีของชุมชนแออัดที่มีอยู่จำนวนมากในกทม.การกักตัวที่บ้านไม่สามารถทำได้เพราะต้องอพยพสมาชิกในบ้านไปอยู่ที่อื่น ดังนั้นการแยกตัวผู้ติดโควิดไปกักตัวในชุมชน แทนรพ.และรพ.สนามจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งสามารถใช้วัด มัสยิด หรือโรงเรียน หรือพื้นที่ของหน่วยราชการที่ไม่ได้ใช้งานระหว่างนี้เป็นที่กักตัวระดับชุมชน โดยระดมอาสาสมัครชุมชน(อสช.)เข้ามาช่วยดูแลผู้ติดเชื้อที่กักตัว และมีรพ.ในกทม.รับผิดชอบซึ่งสามารถเบิกค่าใช้จ่ายจากสปสช.ได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ กทม.ยังมีงบประมาณส่งเสริมสุขภาพที่ได้รับการจัดสรรจากสปสช.ประมาณ 1,500 ล้านบาทที่สามารถนำมาใช้ดูแลอาหารการกิน เครื่องอุปโภค บริโภคให้กับครอบครัวที่มีคนติดเชื้อและถูกกักตัว
ดิฉันเคยเสนอเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน เมื่อเกิดคลัสเตอร์คลองเตยติดเชื้อโควิดใหม่ๆ ว่าถ้าหยุดการติดเชื้อให้รวดเร็วคือการตรวจเชิงรุกด้วยการสวอปแบบ swab rapid test ค้นหาผู้ติดเชื้อให้มากที่สุดโดยเร็วที่สุด และแยกตัวผู้ติดเชื้อออกมากักตัวระดับชุมชน โดยมีรพ.รับผิดชอบศูนย์กักตัวระดับชุมชนและล็อคดาวน์คลองเตย เป็นเวลา 1 เดือน โดยกทม.หรือรัฐบาลจ่ายเงินชดเชยค่าเสียโอกาสในการทำมาหากินให้5,000 บาท เพื่อหยุดการเคลื่อนที่ของคนในคลองเตย ซึ่งจำนวนคนในคลองเตยประมาณ 120,000คนใช้เงินชดเชยเพียง 600 ล้านบาท ถ้าหยุดการระบาดในชุมชนคลองเตยได้ จะลดการแพร่ระบาดในกทม.ได้มาก
หากทำได้สำเร็จ เราก็จะสามารถนำคลองเตยโมเดลนี้ไปใช้ในชุมชนอื่นหรือคลัสเตอร์อื่นที่ติดเชื้อโควิด แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้มีการทำดังที่นพ.วิรุฬ ได้โพสต์ไว้ https://www.facebook.com/100000765594790/posts/4005763489459131/?d=n
แต่ยังไม่สายเกินแก้ถ้ารัฐบาล และกทม.จะรีบตั้งหลักใหม่เตรียมระบบการกักตัวที่บ้าน และชุมชน ถ้าหากยังละเลยไม่ทำ ก็จะเกิดการกักตัวกันเองเร่ร่อนตามท้องถนนเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่คนมีบ้านแต่ไม่ต้องการแพร่เชื้อให้คนในบ้านเท่านั้น มีหลายกรณีที่คนติดเชื้อถูกไล่ออกจากบ้านเช่าออกมาเร่ร่อนอยู่ตามท้องถนน แพร่เชื้อต่อไปอีก เป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลและกทม.ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นตามยถากรรม
ข้อเสนอถึงรัฐบาลและกทม.
1)รีบจัดระบบการกักตัวที่บ้าน และจัดระบบการกักตัวในชุมชน โดยใช้วัด มัสยิด โบสถ์ โรงเรียน หน่วยราชการ ฯลฯ เป็นที่กักตัวโดยมีรพ.และสถานพยาบาลปฐมภูมิเป็นแม่ข่าย ลูกข่าย โดยมีอสม.และอสส.กทม.
หรืออสช.เข้ามาร่วมดูแลผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด
2) ให้รพ.ที่เป็นแม่ข่ายมีระบบดูแลผู้ป่วยทางไกล และลูกข่ายมีอุปกรณ์วัด oxigen อุณหภูมิ ระบบswab rapid test เพื่อค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก
3)ประสานชุมชนในการดูแลทะเบียนผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัว และมีระบบส่งอาหารให้กับคนไข้ที่กักตัว และสมาชิกครอบครัวผู้ติดเชื้อที่อาจเป็นกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก คนพิการ คนไข้ติดเตียง โดยจัดส่งอาหารวันละ 3 มื้อ
4)ประสานการรับส่งต่อผู้ป่วยกรณีผู้ป่วยมีอาการหนักขึ้นกับรพ.ที่เป็นแม่ข่าย
5)ใช้ฟ้าทะลายโจรในการร่วมรักษาอาการผู้ติดเชื้อ
โควิด และมีการตรวจเชื้อเมื่อครบ8 วัน อ้างอิงจากการศึกษากรณีการให้ยาฟ้าทะลายโจรในเรือนจำพิเศษกรุงเทพของนพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง พบว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรกับผู้ต้องขัง 5วัน และสวอปตรวจเชื้อวันเว้นวัน พบว่าผู้ต้องขังเชื้อเป็นลบในเวลา 8วัน หากเชื้อเป็นลบ รัฐบาลและกทม.สามารถหยุดการกักตัวได้
กรณีการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ป่วยติดโควิด5วันและตรวจเชื้อใหม่ภายใน8 วัน ควรนำมาปฏิบัติกับแคมป์คนงาน หน่วยธุรกิจ หากวิธีนี้ใช้ได้ผล ควรให้เปิดแคมป์ และเปิดการค้าขายได้ ไม่ควรมีการประกาศล็อคดาวน์แบบเหวี่ยงแห ซึ่งมีแต่ทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมเสียหายมากขึ้น เพระถึงอย่างไรรัฐบาลก็ไม่สามารถชดเชยได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง
รัฐบาลและกทม.ควรประชาสัมพันธ์ให้แคมป์คนงานและร้านค้าเข้มงวดในการเฝ้าระวังคนติดเชื้อในพื้นที่ของตน ให้เหมือนกับการเข้มงวดตรวจจับปรับคนไม่สวมแมส เพราะตัวอย่างการเฝ้าระวังที่ได้ผลคือที่เรือนจำปากพนัง จังหวัด นครศรีธรรมราชที่ดิฉันส่งฟ้าทะลายโจรไปให้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ที่เรือนจำจะเฝ้าระวังอาการหวัด ไข้ ไอ เจ็บคอของผู้ต้องขังใครมีอาการจะให้กินฟ้าทะลายโจรทันที และดิฉันได้รับข้อมูลว่า เรือนจำปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังไม่มีผู้ต้องขังติดโควิดเลย
หากรัฐบาล และกทม.มีการจัดระบบอย่างดี และแยกผู้ป่วยอาการน้อยให้ยาฟ้าทะลายโจรทันที และถ้าผู้ติดเชื้อโควิดส่วนใหญ่หายจากการติดเชื้อได้ภายใน 8 วัน รัฐบาล และกทม.จะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยหนักที่ต้องไปเพิ่มภาระให้บุคลากรสาธารณสุข และอุปกรณ์การช่วยชีวิตที่มีอยู่จำกัดได้ เป็นการแบ่งเบา และรักษาระบบสาธารณสุขไม่ให้ล่มสลายเพราะคนป่วยมากเกินพิกัดจนรับไม่ไหว และเทผู้ป่วยออกมากักตัวเองเร่ร่อนตามท้องถนน ในใจกลางกรุงเทพมหานคร ชั้นใน !!
ณ วินาทีนี้ ทุกฝ่ายต้องร่วมกันท่องสโลแกนว่า ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ แต่ถ้าแย่แล้ว ก็ต้องรีบช่วยกันแก้ให้ทันเวลา
รสนา โตสิตระกูล
30 มิถุนายน 2564