จับตานายกฯ และรมต.ส.ธ เรื่องจัดซื้อ ยาฟาวิฯและ ATK โปร่งใสหรือไม่ !?
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
จับตานายกฯ และรมต.ส.ธ เรื่องจัดซื้อ ยาฟาวิฯและ ATK โปร่งใสหรือไม่ !?
ดิฉันได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่18 สิงหาคม 2564 หาก ครม.จะยอมรับมาตรฐานของ ATK Lepu ก็ขอให้นายกฯสั่งการองค์การเภสัชกรรม (อภ.)ให้มีการประมูลราคา Antigen Test Kit (ATK ) Lepu ใหม่ เพราะการตั้งราคากลางในการประมูล ATK ไว้ที่ 120 บาทนั้นเป็นราคากลางสำหรับ ATK ที่เป็น Professional Grade ไม่ใช่ราคา ATK แบบ home use อุปมาเหมือนการตั้งราคากลางสำหรับประมูลซื้อรถยุโรป แต่ดันไปซื้อรถเอเชีย แล้วอ้างว่าที่ประมูลมีราคาถูกกว่าที่ตั้งไว้ตั้ง 40% มันจะถูกต้องหรือไม่ขอให้ดูตัวอย่างการโฆษณาขายของในปัจจุบันทั้งหม้อไหกระทะ ที่ตั้งราคาให้สูงลิบลิ่วเกินความเป็นจริง แล้วก็ลดราคาหลอกผู้บริโภคว่าขายในราคาถูก
องค์การเภสัชกรรมเป็นรัฐวิสาหกิจที่เคยมีบทบาททำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ประชาชนในการกำหนดราคายาและเวชภัณฑ์ที่เหมาะสมทั้งเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกซื้อยาและเวชภัณฑ์คุณภาพในราคาถูก และอีกด้านหนึ่งเป็นการป้องกันเอกชนตั้งราคายาเอาเปรียบประชาชนที่ไม่มีทางเลือก องค์การเภสัชมาทำหน้าที่ประมูลATKให้ประชาชน จึงต้องมีหูตา กว้างไกลในการตรวจสอบราคาATK ที่เหมาะสม เป็นการรักษาผลประโยชน์ชาติ ไม่ให้ประชาชนถูกต้มซื้อของถูกในราคาแพง ไม่ควรทำตัวซื่อบื้อ พิจารณาแค่ระเบียบราคากลาง120 บาทเพียงอย่างเดียว แล้วอ้างว่าATK Lepu ประมูลได้ต่ำกว่าราคากลางถึง 40% ทั้งที่ราคาATK Lepu ในท้องตลาดมีราคาเพียง1ดอลลาร์ หรือ 33 บาทเท่านั้น อาลีบาบายังระบุว่าถ้าซื้อตั้งแต่ 5 หมื่นชิ้นขึ้นไปสามารถต่อรองราคาให้ต่ำลงได้อีกด้วย
ถ้าองค์การเภสัชฯยอมทำสัญญาจัดซื้อ ATK 8.5 ล้านชิ้นในราคาชิ้นละ 70บาท แพงกว่าราคาตลาดถึงเท่าตัว ไม่ใช่ถูกกว่าราคากลาง 40% ถ้าทำหน้าที่ได้เพียงแค่นี้ ควรพิจารณาตัวเองว่ายังสมควรมาทำหน้าที่ต่อรองราคารักษาผลประโยชน์ของชาติต่อไปอีกหรือไม่
อย่างไรก็ตาม อภ.ก็เคยถูกนักการเมืองใช้เป็นเครื่องมือในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ราคาแพงกว่าท้องตลาดมาแล้วในสมัยทุจริตจัดซื้อยาเเละเวชภัณฑ์1,400 ล้านในยุคต้มยำกุ้งเมื่อปี2542 เพราะสถานะความเป็นราชการขององค์การเภสัชกรรมเคยถูกใช้เป็นเสื้อคลุมปกป้องพวกนักการเมืองและข้าราชการขี้ฉ้อมาแล้ว ต้องรอดูต่อไปว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกหรือไม่ !?
ก่อนหน้านี้ดิฉันดูการสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี สธ.ต่างสวนกันคนละหมัดระหว่างการจัดซื้อ ATK Lepu และการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ 424ล้านเม็ดโดยในวันที่ 7 สิงหาคม ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่าจะมีการสำรองฟาวิพิราเวียร์เพิ่ม 420ล้านเม็ด เพราะคนติดเชื้อโควิดเพิ่มมากขึ้น วันเดียวกัน รมต.สธ.ให้สัมภาษณ์ ว่าฟาวิพิราเวียร์มีสำรองในระดับจังหวัดและเขตสุขภาพเพียงพอแล้ว ขอเพิ่มได้ตลอด ที่ผ่านมายังไม่พบปัญหาการขาดแคลนยาฟาวิพิราเวียร์เลย
ต่อมาวันที่12สิงหาคม รัฐบาลยืนยันมีนโยบายให้ประชาชนที่ติดเชื้อโควิดเข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์อย่างรวดเร็ว และวันเดียวกันปลัดสธ.ในฐานะประธานบอร์ดองค์การเภสัชฯสั่งชะลอการทำสัญญา ATK ของLepu
ต่อมาวันที่13สิงหาคม นายกฯตั้งคณะกรรมการฟ้าทะลายโจรแห่งชาติ โดยมี พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณเป็นประธานแทนนายอนุทิน ชาญวีรกุล และในวันเดียวกันปลัดสธ.ลงนามในหนังสือสั่งการให้จัดหาฟาวิพิราเวียร์ 424ล้านเม็ด ตั้งแต่สิงหาคม-ธันวาคม วันที่14 สิงหาคม นายกฯ สั่งย้ำจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ให้เพียงพอ ตามนโยบายผู้ป่วยต้องเข้าถึงยา โดยที่ ต.ค.-ธ.ค. ส่งมอบยาเดือนละ 100 ล้านเม็ด
ต่อมาวันที่17 สิงหาคม นายกสั่งให้จัดหา ATK ต้องมีมาตรฐานที่WHO รับรอง 22สิงหาคม รมต.สธ. ยืนยันฟาวิพิราเวียร์มีผลการรักษาดี และATK ไม่มีการล็อคเสปกและวันนี้ 24 สิงหาคม นายกกลับลำ ไม่ต้องใช้ATK ที่WHO รับรอง
การที่ดิฉันเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีวันที่ 18 สิงหาคม ขอให้ท่านนายกฯบัญชาสั่งให้อภ.ประมูล ATK Lepu ใหม่ให้ราคาถูกลงตามราคาจริงในท้องตลาด หลังจากนายกฯประกาศว่า ATK ที่จะจัดซื้อต้องมีมาตรฐาน WHO รับรอง ดิฉันคาดเดาไว้แล้วว่าในที่สุดการเบรกกันไปมา ระหว่างเรื่องATK Lepu และการสำรองฟาวิพิราเวียร์ 424 ล้านเม็ด ก็คงเหมือนละครไทยประเภทตบ-จูบ ตบ-จูบ ที่ในที่สุดลงท้ายด้วยประชาชนโดนตบทั้งซ้าย ทั้งขวา ส่วนนักการเมืองเขาก็ตกลงกันได้ ก็เท่านั้นเอง
สิ่งที่ประชาชนจะได้คือประโยชน์แบบไม่คุ้มค่าเม็ดเงิน ทั้งการใช้ฟาวิพิราเวียร์แทนฟ้าทะลายโจรในกลุ่มผู้ป่วยโควิดสีเขียวที่มีราคาแพงหลายเท่าตัว และ ATK Lepu ที่มีราคาแพงกว่าท้องตลาดเท่าตัว ที่อาศัยองค์การเภสัชฯจัดซื้อนั้น ประชาชนจะถูกหลอกให้หลงไปดูที่ราคากลาง120 บาทหรือไม่ และหลงไปว่าได้ซื้อของราคาถูกกว่าราคากลางตั้ง40% หรือไม่ ประชาชนจะถูกหลอกสำเร็จหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
ส่วนองค์การเภสัชกรรมในอดีตที่เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือทุจริตจัดซื้อยาแพงหูฉี่ และโอนส่วนต่างให้นักการเมืองตามหลักฐานในบันทึกอยู่ในคำให้การของปปช.นั้น จะเกิดซ้ำรอยอีกครั้งในวิกฤตโควิด ปี2564 หรือไม่ ก็ต้องติดตามกันต่อไปอีกเช่นกัน
ดิฉันหวังให้วิกฤตของบ้านเมืองในครั้งนี้ ผู้บริหารจะมีสำนึกและทำให้มีการบริหารจัดการที่ดี มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว โดยไม่มีค่าหัวคิวในการจัดซื้อ! และก็ได้แต่ภาวนาให้พวกท่านทั้งหลายจะไม่ต้องประสบชะตากรรมถูกดำเนินคดีตามมาตรา 157 เหมือนพวกฉ้อราษฎร์บังหลวงในอดีตที่ดิฉันเกาะติดตรวจสอบอยู่ 6ปี จนอดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขได้รับวิบากกรรมถูกจำคุกและถูกยึดทรัพย์ในคดีทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ราคาแพง รวมทั้งอดีตข้าราชการในระดับบริหารอีกหลายคนที่ได้รับวิบากกรรมตามโทษานุโทษ
รสนา โตสิตระกูล
24 สิงหาคม 2564