โฆษก ก.พลังงานปฏิเสธเวที ”คุยให้รู้เรื่อง”ช่อง11 เรื่องน้ำมันแพงร่วมกับรสนา เพราะเหตุใด!?

โฆษก ก.พลังงานปฏิเสธเวที ”คุยให้รู้เรื่อง”ช่อง11 เรื่องน้ำมันแพงร่วมกับรสนา เพราะเหตุใด!?

 

 

 

 

 

 

 

CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล

 

โฆษก ก.พลังงานปฏิเสธเวที ”คุยให้รู้เรื่อง”ช่อง11 เรื่องน้ำมันแพงร่วมกับรสนา เพราะเหตุใด!?
 
 
 
ดิฉันได้รับการติดต่อจาก “รายการคุยให้รู้เรื่อง” ของNBT หรือช่อง11 มาพูดคุยเรื่องราคาน้ำมันแพง ในวันจันทร์ที่11 ตุลาคม 2564 เวลา 21.30น. แต่วันนี้เจ้าหน้าที่ที่ติดต่อดิฉัน บอกขออภัยที่ต้องยกเลิกรายการนี้ไปก่อน เพราะโฆษกกระทรวงพลังงานไม่พร้อมออกรายการกับดิฉัน กำลังหาวิทยากรรายอื่นที่โฆษกกระทรวงพลังงานจะยอมพูดด้วย ดิฉันรู้สึกแปลกใจมากที่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงพลังงานไม่พร้อมพูดคุยกับดิฉันเพื่อตอบคำถามให้ประชาชนคนดูได้เข้าใจเหตุผลของราคาน้ำมันแพงเพราะอะไร !? ทั้งที่ดิฉันเองมีสถานะเคยเป็นรองประธานในคณะกรรมาธิการพลังงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ
 
เมื่อไม่มีโอกาสนำข้อเสนอต่อท่านโฆษกของกระทรวงพลังงานผ่านไปถึงผู้บริหารและรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ดิฉันก็ขอใช้เฟซบุ๊ค และเพจ นำเสนอข้อคิดเห็นในการลดราคาน้ำมัน ที่ให้ความเป็นธรรมต่อประชาชน ไม่ใช่อุ้มแต่ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันเท่านั้น
 
วันนี้เป็นวันแรกของการปรับลดสูตรผสมจาก B7 และ B10 เหลือเป็น B6 ตามที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานประกาศทดลองใช้ในระยะสั้น ตั้งแต่11-31 ตุลาคม น่าจะเรียกว่ามาตรการลดกระแสความไม่พอใจสังคม แต่ไม่มีอะไรยั่งยืน และวันนี้คณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) ก็ประกาศลดราคาน้ำมันดีเซล B7 และ B10 ลง2บาท/ลิตร โดยเอากองทุนน้ำมันจากกระเป๋าคนใช้เบนซินมาชดเชยให้คนใช้ดีเซลเพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลคุมราคาดีเซลไม่เกิน 30บาทได้สำเร็จ
 
มาตรการลดราคาเพิ่มราคาน้ำมัน อย่างการจัดการให้ดีเซลให้มีราคาไม่เกิน30บาท ครั้งนี้ เป็นอีกครั้งที่เป็นประจักษ์พยานว่าราคาน้ำมันของประเทศไทยไม่ใช่กลไกตลาดเสรีอย่างที่กล่าวอ้างกันอยู่เสมอ แต่เป็นกลไกการจัดการเล่นกลด้านราคาที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มทุนพลังงานเป็นหลัก เป็นกลไกราคาที่เกิดจากการคิดคำนวณ บวก ลบ คูณ หาร แต่เป็นการคิดบวกลบคูณหารที่เอาจากกระเป๋าประชาชนให้มากที่สุด ใช่หรือไม่ !?
 
กองทุนน้ำมันที่เคยถูกวิจารณ์ว่าเป็นกองทุนรักษาระดับกำไรของกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งเคยเป็นกองทุนที่ผิดกฎหมาย ที่เก็บเงินคนใช้น้ำมันโดยไม่มีกฎหมายอนุญาตให้เก็บ ในที่สุดเมื่อประชาชนตรวจสอบและผู้ตรวจการแผ่นดินทำหนังสือไปถึงพล.อประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี แจ้งว่าตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นกองทุนที่ไม่มีอำนาจเก็บเงินจากคนใช้น้ำมัน ทำให้เกิดการยกร่างและผ่านเป็นกฎหมายพรบ.กองทุนน้ำมัน2562 ขึ้นมาเพื่อเก็บเงินประชาชนต่อ แต่ในกฎหมายบัญญัติชัดเจนว่าให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯเมื่อเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งหมายถึงการนำเงินที่เก็บสะสมจากผู้ใช้น้ำมันไปใช้เมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้นจนเกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ และกำหนดในบทเฉพาะกาลบัญญัติว่าการชดเชยน้ำมันชีวภาพในช่วงเปลี่ยนผ่านให้ทำได้3ปี (ถ้าจำเป็นให้ต่อได้อีก2ครั้ง ครั้งละ2ปี) และต้องลดการชดเชยลงไปทุกปี ซึ่งนอกจากไม่มีการปฏิบัติแล้ว ยังล้วงเงินกองทุนน้ำมันชดเชยไม่มากขึ้นอย่างไม่บันยะบันยัง เรียกว่าดูดเงินจากกองทุนน้ำมันมาอุ้มโรงกลั่นและผู้ประกอบการด้านแก๊สแอลพีจี หรือก๊าซหุงต้มเต็มที่ ภ้าเงินในกองทุนฯไม่พอก็เตรียมกู้เพิ่ม เป็นการดูดซับเงินประชาชนเต็มที่ก่อนที่จะหมดอายุตามกฎหมายกองทุนน้ำมันฯ ใช่หรือไม่?!
 
ในยุคของพล.อประยุทธ์ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกถูกมากจนไม่ต้องชดเชยราคาน้ำมันให้ประชาขน แต่ก็เป็นโอกาสให้รัฐบาลได้ถอนขนห่านทองคำ เก็บเป็นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ก็ทำให้ประชาชนไม่มีโอกาสใช้น้ำมันราคาถูกในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง และเอากองทุนน้ำมันไปชดเชยน้ำมันชีวภาพที่ราคาแพงกว่าน้ำมันหลักคือเบนซินกับดีเซล และยังแพงกว่าน้ำมันชีวภาพในตลาดโลก เรียกว่ายิ่งผสมก็ยิ่งแพง ปี2563 ที่เกิดสถานการณโควิด ราคาน้ำมันเบนซิน ดีเซลเหลือลิตรละ5บาท แต่เอาเอทานอลราคา20กว่าบาทมาผสมเบนซิน เอาบี100ราคา 30กว่าบาทมาผสมดีเซล และล้วงเงินกองทุนน้ำมันไปจ่ายชดเชย จนไม่เหลือสำรองไว้ชดเชยให้น้ำมันดีเซลจากตลาดโลกในช่วงที่ราคาน้ำมันโลกขาขึ้น มีความเป็นธรรมกับประชาชนแล้วหรือ!?
 
การลดราคาB7และ B10 ลงลิตรละ2บาท โดยดึงเงินจากกองทุนน้ำมันที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินไปชดเชยน้ำมันดีเซลผสม เป็นกลไกตลาดเสรีหรือไม่!?
 
การใช้กองทุนน้ำมันมาชดเชยราคาน้ำมัน B100 ที่มีราคาอ้างอิงสูงถึง42.87บาท/ลิตร ทั้งที่กบง.รู้ดีว่าโรงกลั่นซื้อบี100โดยการประมูลที่ราคาต่ำสุด แต่ให้เบิกชดเชยเต็มที่ตามราคาอ้างอิง เคยตรวจสอบไหมว่าส่วนต่างตกอยู่ในกระเป๋าใคร ?!
 
กลไกหลอกลวงประชาชนด้วยการล้วงกองทุนน้ำมันที่เป็นเงินของประชาชนมาชดเชยดีเซล 2บาทต่อลิตร เป็นการชดเชยทั้งน้ำมันชีวภาพ 42.87 บาทและชดเชยเนื้อน้ำมันดีเซลหน้าโรงกลั่นที่บวกต้นทุนเทียมเอาไว้ 70สต.-1 บาทต่อลิตร เรียกว่าเป็นการผ่องถ่ายเงินประชาชนอุ้มโรงกลั่น ใช่หรือไม่
 
ค่าการตลาดดีเซลที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ 1.40บาท ก็สามารถยักย้ายขึ้นลงได้ตามใจเพื่อกำหนดราคาปลายทางที่หน้าปั๊ม แต่ก็แสดงให้เห็นว่าค่าการตลาดของดีเซล ลิตรละ50สต.ก็อยู่ได้แล้ว หรืออีกทางหนึ่งก็แสดงว่าจะเอาไว้โยกย้ายราคาเนื้อน้ำมันมาใส่ในค่าการตลาดได้ทันที ถ้าไม่ต้องการลดราคาที่หน้าปั๊ม ใช่หรือไม่?
 
 
 
 
 
 
สิ่งที่ดิฉันขอเรียกร้องต่อรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคือ โปรดพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างราคาน้ำมัน และการใช้กองทุนน้ำมันให้เป็นธรรมต่อประชาชน ดังนี้
 
1)ขอให้การลดราคาดีเซล2 บาทวันนี้ ลดด้วยการลดเก็บสรรพสามิตน้ำมันลง2บาท แทนที่จะล้วงเงินกองทุนน้ำมันที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินไปชดเชย
 
การที่รัฐบาลสนับสนุนน้ำมันชีวภาพด้วยนโยบายเพื่อช่วยเกษตรกรปลูกปาล์มน้ำมัน ปลูกอ้อย ปลูกมันสำปะหลัง และเพื่อช่วยสิ่งแวดล้อม รัฐบาลและกระทรวงพลังงานจึงควรใช้ภาษีสรรพสามิตในการกำหนดราคาน้ำมันผสมให้ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน ดีเซลที่ไม่ผสมเพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนใช้ โดยควรตรวจสอบราคาที่โรงกลั่นซื้อจริง และกำหนดราคาน้ำมันกลุ่มผสมน้ำมันชีวภาพ ด้วยมาตรการภาษีของรัฐบาลเอง โดยไม่ใช้กองทุนน้ำมันไปชดเชยอีก
ปัจจุบันมีการเก็บภาษีสรรพสามิตในกลุ่มดีเซลผสมน้ำมันชีวภาพสูงมาก ดีเซลB7ลิตรละ 5.99บาท B10 ลิตรละ5.80 บาทและB20 ลิตรละ 5.15บาท ถ้าลดลงลิตรละ2บาท รัฐบาลยังได้ภาษีลิตรละ 3 บาทกว่า รัฐบาลยังได้ภาษีปีละกว่าแสนล้านบาท นี่เป็นภาษีเฉพาะน้ำมันดีเซลสูตรผสมยังไม่ได้รวมภาษีของเบนซิน บางรัฐบาลช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกสูง รัฐบาลเคยเก็บภาษีสรรพสามิตของดีเซลได้แค่ลิตรละ 1สต.เท่านั้นเอง การเอาเงินคนใช้น้ำมันประเภทหนึ่งมาลดราคาน้ำมันอีกประเภทหนึ่ง จึงไม่เป็นธรรมและแสดงว่าไม่มีการลดราคาจริง สิ่งนี้ควรเรียกว่ากลไกเสรี หรือกลไกตบตาชาวบ้านกันแน่ !?
 
ในพรบ.กองทุนน้ำมัน 2562 ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่าในช่วงเปลี่ยนผ่าน3ปี 2562-2565 ต้องลดการชดเชยน้ำมันชีวภาพลงไปจนไม่ต้องเอากองทุนน้ำมันไปชดเชย ที่ผ่านมามีแต่แผนยุทธศาสตร์ แต่ไม่มีการปฏิบัติ รมว.พลังงานและรมว.คลังที่รักษาการ พรบ.กองทุนฯ ฉบับนี้ จึงควรเริ่มทำตั้งแต่บัดนี้ด้วยการใช้มาตรการภาษีสรรพสามิตในการจูงใจคนใช้น้ำมันสูตรน้ำมันผสมที่มีราคาถูกเพระรัฐบาลลดภาษีให้ เพื่อลดภาระการเอากองทุนน้ำมันฯ ไปชดเชยอุ้มโรงกลั่น ซึ่งก็คือลดภาระบนหลังของประชาชนไปด้วยในตัว
 
2)ควรยกเลิกน้ำมันE 85 ซึ่งล้วงเงินกองทุนน้ำมันมาชดเชยถึงลิตรละ 7.13บาท แต่ลดราคาเนื้อน้ำมันผสมได้แค่ 27สต.ต่อลิตรเท่านั้นเมื่อเทียบกับราคาเนื้อน้ำมันผสมที่หน้าโรงกลั่น กับราคาขายปลีกหน้าปั๊ม เงินส่วนใหญ่ชดเชยเป็นภาษีของรัฐบาล 2.70บาท/ลิตร และค่าการตลาดของโรงกลั่นและปั๊ม 4.15บาทต่อลิตร
 
3)สมควรยกเลิกต้นทุนเทียมในราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นลิตรละ 70สต.-1บาทต่อลิตร ที่มาจากตัวเลขสมมติ กล่าวคือ น้ำมันสำเร็จรูปของไทยกลั่นในประเทศไทย แต่กลับสมมติว่ากลั่นที่สิงคโปร์และนำเข้าจากสิงคโปร์ ที่มีต้น
ทุนเทียมที่เป็นค่าขนส่ง บวกค่าประกันภัย บวกค่าน้ำมันหกหล่นระหว่างทางเอาไว้ด้วย
 
 
 
 
รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานควรปฏิรูปโครงสร้างราคาน้ำมันเพื่อให้ประชาชนได้จดจำว่ายังมีรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานที่ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอยู่ ในเมื่อรัฐมนตรีกระทรงการคลังไม่ยอมลดภาษีสรรพสามิต 5บาทช่วยประชาชนระหว่างวิกฤตการณ์โควิด และวิกฤตการณ์น้ำท่วม ก็ไม่ควรใช้เงินประชาชนมาอุ้มโรงกลั่น อุ้มน้ำมันชีวภาพราคาแพง อุ้มต้นทุนเทียมในเนื้อน้ำมันจึงจะเป็นธรรม ใช่หรือไม่??
 
รัฐมนตรีคลังและรัฐมนตรีพลังงานเป็นผู้รักษาการ พรบ.กองทุนน้ำมัน 2562 จึงควรปฏิบัติตามกฎหมายในการแก้ไขโครงสร้างราคาน้ำมันที่บิดเบี้ยว ที่มาเป็นภาระกองทุนน้ำมันให้เสร็จสิ้นก่อนบทเฉพาะกาลบัญญัติให้ยุติการเอาเงินกองทุนฯไปชดเชยน้ำมันชีวภาพจะถึงกำหนดในปี2565 และไม่ควรต่ออายุการใช้กองทุนน้ำมันฯมาชดเชยน้ำมันชีวภาพราคาแพงหลังปี2565อีกต่อไป ขอให้การชดเชยน้ำมันชีวภาพราคาแพงเป็นการชดเชยโดยใช้มาตราการภาษีสรรพสามิตน้ำมันของรัฐบาลเอง จึงจะเป็นธรรมต่อประชาชนที่ใช้น้ำมันและไม่เป็นภาระที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน
รสนา โตสิตระกูล
11 ตุลาคม 25