รัฐบาลจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการเมืองด้วยน้ำมันเถื่อนหรือ !?
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
รัฐบาลจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการเมืองด้วยน้ำมันเถื่อนหรือ !?
คดีจับน้ำมันเถื่อน 1.2 ล้านลิตรเมื่อวันที่16ตุลาคม และจับอีก 400,000 ลิตรเมื่อวันที่19 ตุลาคมที่ผ่านมา จนป่านนี้ยังเงียบกริบ หรือว่าเล่นละครจบแล้ว น้ำมันเถื่อนที่จับได้ก็ขายไปแล้วได้เงินเข้าหลวงแล้ว เป็นอันปิดจ๊อบให้เรื่องกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง ใช่หรือไม่
น้ำมันเถื่อนที่จับได้ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เป็นยอดภูเขาน้ำแข็งของหนึ่งในกระบวนการค้าของเถื่อน และ การทุจริตที่เป็นวงจรการสมประโยชน์กันระหว่างคนค้าน้ำมันเถื่อนกับนักการเมืองท้องถิ่นและนักการเมืองระดับชาติ รวมทั้งความเสื่อมของระบบราชการที่มีทั้งความไร้น้ำยาและการสมประโยชน์กันในวงการราชการ ประเภทหัวส่าย หางเลยกระดิกกันเป็นแถว ใช่หรือไม่
กรณียึดน้ำมันเถื่อน1.2ล้านลิตร และ400,000ลิตรเป็นน้ำมันที่มีมาร์คเกอร์สีเขียว แสดงว่าไม่ใช่น้ำมันเถื่อนนำเข้ามาขายจากนอกประเทศ แต่เป็นน้ำมันสำหรับส่งออกจากไทยเรานี่เอง การที่ตำรวจน้ำจับน้ำมันเถื่อนได้ที่สมุทรปราการ และใกล้เกาะสีชังซึ่งถือว่าเป็นหน้าบ้านของกรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต แต่เจ้าของบ้านไม่รู้ว่ามีโจรมาลอยลำเรือน้ำมันเถื่อนเหยียบจมูกตัวเองอยู่หน้าบ้าน และปล่อยให้ตำรวจน้ำที่เป็นหน่วยงานอื่นมาจับโจรถึงหน้าบ้านตัวเอง โดยที่ทั้ง 2 กรมภาษีของกระทรวงการคลังก็มีกองกำลังปราบปรามผู้หนีภาษีซึ่งมีฤทธานุภาพพอๆฝ่ายตำรวจ และควรจะเป็นเจ้าภาพในการจับกุมน้ำมันเถื่อนดังกล่าวโดยตรง อธิบดีกรมศุลกากร และ อธิบดีกรมสรรพสามิตรู้สึกเสียหน้าบ้างหรือไม่ ก้นร้อนบ้างหรือไม่ !? หรือว่าอธิบดีทั้ง2กรม รวมถึง รมว.กระทรวงคลังยังรู้สึกชิวๆไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบอะไร ใช่หรือไม่ !?
เหตุการณ์จับน้ำมันเถื่อนแสดงให้เห็นอะไรบ้าง
1)แสดงว่ามีรูรั่วมโหฬารในการดูแลการเก็บภาษีที่เป็นงบประมาณแผ่นดินของกรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต ที่ปล่อยให้มีเรือขนน้ำมันเถื่อน 1.2ล้านลิตร ซึ่งเท่ากับรถบรรทุก10ล้อ ถึง30คัน และ 400,000 ลิตร เท่ากับรถบรรทุก10ล้อ10 คันที่ขนน้ำมันเถื่อนมาจอดอยู่หน้าบ้าน โดยเจ้าของบ้านไม่รู้ไม่เห็น ได้อย่างไร (รถ10ล้อบรรทุกน้ำมันได้คันละประมาณ 4หมื่นลิตร) ทั้งที่มีหน่วยปราบปรามใหญ่โต แสดงว่ากินเงินเดือนแต่ไม่ได้ทำงานกันเลยหรืออย่างไร หรือที่เลวร้ายกว่านั้น คืออาจเป็นการทุจริตสมประโยชน์กัน ตามที่มีคำกล่าวว่าช่วงนี้เป็นช่วงทะเลหวาน คือหวานคอแร้งของพวกค้าน้ำมันเถื่อน ใช่หรือไม่
2)ทั้งกรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตต้องสาวไปให้ถึงเจ้าของเรือ ว่าไปรับน้ำมันจากคลังไหน ทั้ง2กรมรู้ข้อมูลเรื่องการนำเข้า ส่งออกน้ำมันละเอียดที่สุด หากจับคนผิดรวมทั้งเครือข่ายใต้ดินเหล่านี้มาลงโทษไม่ได้ อธิบดีทั้ง2กรม รมว.กระทรวงคลัง และนายกฯจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร
3)ผบตร.ที่ออกมาจัดการจับน้ำมันเถื่อนโชว์ในครั้งนี้ ต้องสอบสวนจริงจังให้เหมือนการสอบการค้ายาเสพติด เพราะการค้าน้ำมันเถื่อนครั้งนี้อยู่ในข่าย”ความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน “อย่างแน่นอน เรื่องนี้ต้องให้ ปปง.เข้ามาตรวจสอบดำเนินการจนสิ้นกระแสความ อย่าจบแค่ยึดน้ำมันมาขายทอดตลาดและเอาเงินเข้าหลวงเท่านั้น ประชาชนจะสงสัยได้ว่าเป็นแค่ระดับสั่งสอนคู่ขัดแย้งทางการเมืองแบบเบาะๆ แล้วก็ปล่อยไป ใช่หรือไม่
ในช่วงที่ราคาน้ำมันแพงเป็นช่วงโอกาสทองของผู้ค้าน้ำมันหนีภาษี โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์คือ กลุ่มธุรกิจมืด
และกลุ่มนักการเมืองสีเทาที่มีอิทธิพลเหนือข้าราชการประจำ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจค้าน้ำมันที่สุจริตและกลุ่มธุรกิจขนส่ง รวมทั้งผู้บริโภคน้ำมันถ้วนหน้า ต้องแบกรับราคาและภาษีน้ำมันที่ไม่เป็นธรรม
ซ้ำเติมในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
สิ่งที่รัฐบาลควรทำโดยรีบด่วนคือไม่ทำให้ดีเซลราคาหน้าปั๊มแพงจนกลายเป็นการทำการตลาดให้น้ำมันเถื่อน ราคาน้ำมันเถื่อนขายได้ในราคาลิตรละ 21-22บาท ดีเซลรัฐบาล 25บาทต่อลิตร จึงสามารถทำได้ ซึ่งจะลดแรงจูงใจซื้อขายน้ำมันเถื่อน พร้อมกันนั้น รัฐบาลต้องขันน๊อตกรมที่ดูแลภาษีทั้งกรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตให้ทำงานแข็งขัน ในการตรวจจับและลงโทษพวกผู้ค้าน้ำมันเถื่อนอย่างจริงจัง
รัฐบาลในอดีตเมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้น รัฐบาลลดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงเหลือเก็บแค่ 1สตางค์/ลิตร สิ่งที่เครือข่ายผู้บริโภคเรียกร้องรัฐบาลไม่ถึงกับให้เก็บภาษีสรรพสามิตเหลือแค่ 1สตางค์/ลิตร เสนอให้รัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตลง5บาท จากที่เคยเก็บลิตรละ 6บาท ในระยะนี้เป็นการชั่วคราว และไปดำเนินการตรวจจับเข้มงวดไม่ให้ภาษีรั่วไหลจากการค้าน้ำมันเถื่อน ก็จะเป็นการช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชน และธุรกิจการขนส่งที่ส่งผลต่อราคาสินค้าโดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลจะเปิดประเทศให้คนจับจ่ายใช้สอย เดินทางท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาพใหญ่ ซึ่งรัฐจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีอื่นๆจากประชาชนผู้ประกอบสัมมาชีพทั่วทั้งแผ่นดินเมื่อประชาชนแข็งแรงขึ้นก็จะมีกำลังจ่ายภาษีเพื่อขับเคลื่อนชีวิตเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าต่อไปอย่างเข้มแข็ง
รสนา โตสิตระกูล
26 ตุลาคม 2564