ความเดิมของเรื่องคือคอนเดนเซท (ปิโตรเลียมเหลว) ที่ผลิตจากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (Joint Development Area: JDA) เป็นรายได้ของไทย และมาเลเซียแบ่งกันคนละ 50% หากมีการขายให้ไทยและมาเลเซียจะไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าขายให้ประเทศที่3 ต้องเก็บภาษี 10% ปรากฎว่าบริษัท Carigali-PTTEP Operating Sdn Bhd (CPOC) และ Carigali-Hess Operating Company Sdn Bhd (CHESS) ได้สำแดงเอกสารเท็จว่าส่งคอนเดนเซทมาขายไทยจึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ปรากฎบริษัทCPOC และ CHESS ได้ขายให้กับบริษัทประเทศที่3 ก่อนที่บริษัทประเทศที่ 3 จะส่งมาขายประเทศไทย ทั้งที่ CPOC และ CHESS สามารถขายตรงมาที่ไทยโดยไม่ต้องขายผ่านตัวกลางแต่ประการใด

 

 

คดีนี้มีข้าราชการไทยพยายามช่วยตีความว่าบริษัทเอกชนไม่ต้องเสียภาษี ในเมื่อจุดหมายปลายทางคือประเทศไทย ไม่ว่าจะมีการขายผ่านตัวกลางกี่ทอดถือว่าไม่ต้องเสียภาษี ถ้าจุดหมายปลายทางคือประเทศไทย ทั้งที่การเสียภาษีเกิดขึ้นที่จุดของการส่งมอบสินค้า (Tax Point) ไม่ใช่ที่จุดหมายปลายทาง ถ้าผู้รับมอบไม่ใช่บริษัทไทยแต่เป็นบริษัทประเทศที่3 ก็ต้องเสียภาษีทั้งสิ้น แต่มีความพยายามของข้าราชการไทยที่จะตีความในการช่วยผู้ค้าน้ำมันเอกชนซึ่งถ้าการตีความถูกบิดเบือนจากข้อกฎหมายที่บัญญัติไว้ ประเทศไทยจะเสียประโยชน์ที่จะไม่ได้ภาษีจากการขายน้ำมันดิบและคอนเดนเซทในแหล่งJDAตลอดไป ใช่หรือไม่

 

โชคดีที่คดีนี้พนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI )เห็นควรสั่งฟ้องดำเนินคดีอาญากับบริษัท CPOC และ CHESS และอัยการสูงสุดก็เห็นชอบด้วย

 

 

 

 

ต่อมาปรากฎตามเอกสารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2564 ว่าสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักอัยการสูงสุดมีหนังสือแจ้งคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับบริษัทที่เกี่ยวข้องเพราะ คดีขาดอายุความ เนื่องจากมีการสอบสวนและดำเนินคดีล่าช้าทำให้ข้อหาสำแดงเท็จหลีกเลี่ยงภาษีขาดอายุความ

 

แต่คดีนี้ยังมีอีกหลายข้อหา และอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องไปแล้วตั้งแต่ 14 กันยายน 2563 คำสั่งฟ้องล่วงเลยมาปีกว่าแล้ว เหตุใดกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงไม่นำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องศาลเพื่อให้อายุความหยุดลง หรือจะปล่อยให้ทุกคดีหมดอายุความก่อน !? เป็นที่น่าสงสัยว่าคดีนี้จะซ้ำรอยคดีนายบอส.กระทิงแดงหรือไม่?

 

กรณีนี้เป็นการแสดงอย่างชัดเจนถึงความล้มเหลวของระบบราชการในการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ใช่หรือไม่

รสนา โตสิตระกูล

16 พย. 2564