“ขบวนการสมคบคิดถ่ายโอนกิจการบุหรี่ของรัฐไปให้เอกชนผูกขาดแทน” ส่อเจตนาทำลายประโยชน์ของรัฐอย่างร้ายแรง ใช่หรือไม่???

“ขบวนการสมคบคิดถ่ายโอนกิจการบุหรี่ของรัฐไปให้เอกชนผูกขาดแทน” ส่อเจตนาทำลายประโยชน์ของรัฐอย่างร้ายแรง ใช่หรือไม่???

 

 

 

 

CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล  



“ขบวนการสมคบคิดถ่ายโอนกิจการบุหรี่ของรัฐไปให้เอกชนผูกขาดแทน”
ส่อเจตนาทำลายประโยชน์ของรัฐอย่างร้ายแรง ใช่หรือไม่???



คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลได้เขียนบทความ2ตอน ว่า “ใครวางแผนฮุบที่ดิน โรงงานยาสูบ 321 ไร่?" โดยพูดถึงบันได3ขั้น ในการทำลายกิจการของโรงงานยาสูบที่มีกำไรมาตลอด78ปี ให้ขาดทุนได้ในชั่วเวลาปีเดียว ผ่านการวางแผนบันได3ขั้นคือ 1) เปลี่ยนวิธีจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ทำให้บุหรี่นอกถูกกว่าบุหรี่ไทย และสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจนทำให้โรงงานยาสูบขาดทุนทันที 2) ออกพรบ.การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.)เพื่อแปลงสภาพโรงงานยาสูบเป็นนิติบุคคล 3)อาศัยกระบวนการเปลี่ยนโรงงานยาสูบมาเป็นนิติบุคคล ถ่ายโอนทรัพย์สินของโรงงานยาสูบที่เดิมอยู่กับกรมธนารักษ์มาเป็นของนิติบุคคล ซึ่งมีที่ดินแปลงงามหลังศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ 321ไร่ติดมาด้วย เป็นการวางแผนให้สามารถนำทรัพย์สินดังกล่าวไปให้เอกชนเช่าระยะยาวหาประโยชน์ได้ในอนาคต


นับว่าคุณธีรชัยสามารถอ่านเจตนาของการกำหนดนโยบายที่ทำให้โรงงานยาสูบขาดทุนได้อย่างมีเหตุมีผลน่ารับฟัง


การกำหนดนโยบายของรัฐบาลคสช.ในครั้งนี้ที่ทำให้โรงงานยาสูบขาดทุนทันที น่าจะเข้าข่ายเป็นการบ่อนเซาะจากภายในที่ไม่ได้มุ่งหมายเพียงที่ดินแปลงงาม 321ไร่ แปลงนี้เท่านั้น แต่น่าจะรวมไปถึงเจตนาที่จะถ่ายโอนกิจกรรมผลิต และถ่ายโอนกิจการขายยาสูบที่เคยทำกำไรให้รัฐปีละหมื่นล้านบาทไปให้เป็นกิจการของกลุ่มทุนเอกชนผูกขาดอีกด้วย ใช่หรือไม่??


การค้าบุหรี่เป็นกิจการผูกขาดของรัฐ และเป็นการค้าที่มีการควบคุมเข้มงวดเพื่อไม่ให้มีการเพิ่มผู้บริโภคหน้าใหม่เข้ามา แม้มีการควบคุมเข้มงวด แต่ก็ยังสามารถทำกำไรให้โรงงานยาสูบราวหมื่นล้านบาทต่อปี และเป็นแหล่งรายได้ให้รัฐบาลปีละกว่า8พันล้านบาท กิจการผลิตบุหรี่ของรัฐบาลได้หล่อเลี้ยงเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบกว่า5หมื่นครอบครัว และยังหล่อเลี้ยงแรงงานที่อยู่ในสายการผลิตรวมแล้วเป็นแสนคน


กิจการดังกล่าวน่าจะเป็นที่หมายปองของกลุ่มทุนเอกชนที่อยากได้ไปบริหาร เหมือนกิจการสุราที่อดีตเคยเป็นกิจการผูกขาดของรัฐ แต่ปัจจุบันถูกยกไปให้เป็นกิจการของบริษัทเอกชนผูกขาดไม่กี่ราย


กิจการค้าบุหรี่มีการควบคุมเข้มงวดโดยผู้ค้าต้องมาขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพสามิต และขอใบอนุญาตค้าบุหรี่ซึ่งแบ่งประเภทผู้ค้าบุหรี่เป็น3กลุ่ม

กลุ่มที่หนึ่ง (ป1 ) คือร้านค้าที่เป็นเอเยนต์ในแต่ละจังหวัด สามารถขายบุหรี่ได้ไม่จำกัดจำนวน

กลุ่มที่2 (ป2)คือผู้ค้าส่งช่วงในแต่ละอำเภอที่ซื้อต่อมาจาก ป1 จะถูกควบคุมจำนวนครอบครองบุหรี่ไว้คราวละไม่เกิน1พันมวน

และกลุ่มที่3 (ป3) คือร้านค้าปลีกที่ปัจจุบันมีอยู่5แสนราย จะซื้อจากกลุ่มป2 และถูกจำกัดจำนวนการครอบครองไว้คราวละ 2ห่อ (20ซอง)


ระบบการควบคุมการจำหน่ายบุหรี่กระทำผ่านผู้ค้าบุหรี่ใน3กลุ่มมาอย่างยาวนาน ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2560 ทางโรงงานยาสูบได้ออกประกาศรับสมัครผู้ประกอบการค้าเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้ขายส่งยาสูบให้กับโมเดิร์นเทรด (ม1)ขึ้นมาใหม่อีกกลุ่มโดยเข้ามาแทรกกลางอยู่ระหว่างเอเยนต์ (ป1)และผู้ค้าส่งช่วง(ป2 )


ผู้ขายส่ง ม1 สามารถซื้อบุหรี่โดยตรงจาก ยสท. ในราคาใกล้เคียงกับทางเอเย่นต์(ป1) และได้ราคาที่ถูกกว่า ร้านขายส่งช่วง (ป2 )ซึ่งโดยปกติของการค้าบุหรี่ของร้านค้าโมเดิร์นเทรด(modern trade)และร้านค้าส่ง(ป2) ต้องซื้อจากเอเยนต์คือป1 ในจังหวัดนั้นๆ และการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นก็จัดเก็บผ่านร้านเอเยนต์ป1 แต่การออกประกาศของยสท.ตั้ง ม1 ขึ้นมาเป็นตัวแทนจำหน่ายบุหรี่ให้ร้านโมเดิร์นเทรด จึงเป็นการออกแบบให้ร้านโมเดิร์นเทรดมาชิงส่วนแบ่งการตลาดของเอเยนต์ (ป1 ) และมีแนวโน้มเบียดขับเอเยนต์ป1ในอนาคต โดยร้านค้าส่ง(ป2 ) และร้านค้าปลีก(ป3 ) สามารถมาซื้อบุหรี่ได้โดยตรงจากร้านโมเดิร์นเทรด (ม1)


การที่ร้านค้าส่ง ม1 มาซื้อบุหรี่โดยตรงจาก ยสท. ที่ กรุงเทพฯ ทำให้ร้านค้าส่ง ม1 ไม่ต้องชำระค่าภาษีท้องถิ่นให้กับอบจ.เหมือนเอเยนต์ ป1 เนื่องจาก กทม.ยังไม่ได้ออกกฎหมายท้องถิ่นของตนเองในการเก็บภาษีบุหรี่


การตั้งม1 เข้ามาแทรกกลางระหว่าง ป1 และป2 จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเอื้อประโยชน์เพื่อเปิดทางให้กับกลุ่มทุนใหญ่ทั้งโมเดิร์นเทรดและกลุ่มธุรกิจสุรา เข้ามาในวงการค้ายาสูบ โดยมีร้านค้าปลีก(ป3) 5แสนรายทั่วประเทศเป็นเป้าหมาย ใช่หรือไม่


ในการค้าบุหรี่ผ่านผู้ค้าส่งแต่ละช่วง จะต้องเสียภาษีให้กับท้องถิ่น แต่การซื้อบุหรี่ผ่านระบบของโมเดิร์นเทรด (ม1 )จะไม่มีการเสียภาษีให้ท้องถิ่นเพราะเป็นการซื้อตรงที่กทม. จึงน่าจะกระทบต่อการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นในอนาคต


นอกจากนี้ ในอดีตการขอใบอนุญาตการค้ายาสูบ(ป.3) จะต้องมีใบอนุญาต 2ใบ คือใบอนุญาตขายบุหรี่ไทย
1 ใบ และใบอนุญาตขายบุหรี่ต่างประเทศอีก 1 ใบแต่ปัจจุบันข้อกำหนดถูกเปลี่ยนให้เหลือการขอใบอนุญาตการจำหน่ายยาสูบเพียงใบเดียว ที่สามารถจำหน่ายได้ทั้งบุหรี่ไทยและบุหรี่ต่างประเทศ


ผลจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะเกิดความย่อหย่อนในการจัดเก็บภาษีจากบุหรี่ต่างประเทศ และเป็นการส่งเสริมโดยทางอ้อมให้คนหันไปสูบบุหรี่นอกมากกว่าบุหรี่ไทย เพราะมีราคาถูกกว่าหรือใกล้เคียงบุหรี่ไทย


การเปลี่ยนแปลงนโยบายการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเป็นจุดเริ่มต้นที่เปิดทางให้บุหรี่นอกเข้ามาตีตลาดบุหรี่ไทย ซึ่งเปลี่ยนจากเป็นกิจการที่มีกำไร กลายเป็นขาดทุน และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปสู่อาชีพของชาวไร่ยาสูบ เพราะยอดขายที่ลดลงทำให้กระทบถึงโควต้ารับซื้อใบยาสูบ จนขณะนี้ชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ชาวไร่ยาสูบรายเล็กรายน้อยกำลังถูกทำให้หมดอาชีพ ที่ทำกันต่อเนื่องมาถึง4ชั่วรุ่น กว่า80ปี และอาจต้องถึงกาลอวสาน และต้องเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น ซึ่งทำได้ยากมากเพราะการเปลี่ยนความเชี่ยวชาญและการเปลี่ยนฐานลงทุนในการผลิตใบยาสูบไปทำธุรกิจอื่นแทบเป็นไม่ได้เลยในระยะ10ปีนี้ และในอนาคตอาจมีแผนการนำเข้าใบยาสูบราคาถูกจากจีนแทนการปลูกเอง รวมทั้งการผลิตอาจเปลี่ยนมือไปสู่กลุ่มทุนที่พร้อมเข้ามาร่วมทุนกับ ยสท.ตามกฎหมายใหม่ที่เปิดช่องให้ในระยะเริ่มแรก และอาจจะเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการการผลิต การจำหน่ายบุหรี่แทนรัฐบาลในที่สุด ก็ย่อมเป็นได้ ไม่ต่างจากในอดีตที่รัฐบาลเลิกโรงงานผลิตสุรา และยกกิจการให้เอกชนเป็นผู้ผลิต ผู้จำหน่ายแทนรัฐทั้งหมด ซึ่งกลายเป็นกิจการที่สร้างความร่ำรวยให้เอกชนอย่างมหาศาล


หากการขาดทุนของโรงงานยาสูบเกิดขึ้นโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของรัฐบาลคสช. และหากไม่ใช่เกิดจากความจงใจที่จะบริหารให้ขาดทุน เพื่อเป็นเส้นทางไปสู่การยกกิจการนี้ให้เอกชน รัฐบาลคสช.ก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย เพียงกลับไปใช้ระบบภาษีแบบเดิม ก็จะสามารถฟื้นฟูกิจการของโรงงานยาสูบให้กลับมามีกำไรอย่างเดิมได้ และสามารถแก้ไขปัญหาชาวไร่ยาสูบนับแสนทั่วประเทศไปพร้อมกัน


แต่ถ้ารัฐบาลคสช.เห็นผลเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ แล้วไม่แก้ไข ยังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อให้กิจการดังกล่าวต้องขาดทุนจนลล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา ย่อมต้องถูกตั้งคำถามว่าที่กระทำเช่นนี้เป็นกระบวนการวางแผนถ่ายโอนกิจการที่ได้กำไรของรัฐบาล ไปให้เอกชนร่ำรวยแทน ใช่หรือไม่??


พฤติกรรมเช่นนี้ คงไม่ต่างจากเสนาบดีในอดีตที่กระทำตนเป็นไส้ศึก บ่อนเซาะจากภายในด้วยการลักลอบส่งเสบียงให้กับข้าศึก ที่ปัจจุบันคือธุรกิจบุหรี่นอก และกลุ่มทุนผูกขาดเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ใช่หรือไม่??


นโยบายที่รัฐบาลคสช.ดำเนินการตลอด1ปี ที่ผ่านมา ย่อมไม่ต่างจากการเปิดประตูเมืองให้กลุ่มทุนใหญ่เข้ามาโจมตีผลประโยชน์ของประเทศจนทำให้เศรษฐกิจแบบรวยกระจุก จนกระจาย เลวร้ายยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมใช่หรือไม่ ??


และในที่สุด วิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่ที่คนไทยไม่คาดคิดว่าจะได้พบเห็นอีก ก็อาจจะประทุขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!!!?

รสนา โตสิตระกูล
26 ต.ค 2561