เรียกร้องสตง. ร่วมกับ กกต. และ ป.ป.ช เรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

เรียกร้องสตง. ร่วมกับ กกต. และ ป.ป.ช เรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

 

 

CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล 

 

เรียกร้องสตง. ร่วมกับ กกต. และ ป.ป.ช เรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อหยุดยั้งความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ
 
 
นักเศรษฐศาตร์การเงินท่านหนึ่งให้ความรู้ดิฉันว่า เงินดิจิตอล Wallet 560,000 ล้านบาท ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จะถูกจำแนกเป็นเงินเลว (Bad Money) คือเป็นเงินที่เลวกว่าเงินบาทธรรมดา เพราะใช้ได้ในเวลาจำกัดแค่ 6 เดือน ใช้ในพื้นที่จำกัด ในรัศมี 4 กิโลเมตร และใช้กับคนที่ลงทะเบียนรับได้เท่านั้น มีข้อจำกัดห้ามใช้มากมาย เช่นห้ามเอาไปจ่ายหนี้ ห้ามเอาไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟ เป็นต้นฯลฯ โดยสรุปมันคือเงินบาทที่เลวกว่าเงินบาทในระบบเศรษฐกิจ
 
และตามทฤษฎีมันก็จะต้องถูก ดิสเคาท์ (ลดมูลค่า) เช่น อาจจะเหลือมูลค่าเพียงแค่ 70% หรือ 60% หรือ 50% หรือ 40% ด้วยซ้ำ แต่รัฐบาลต้องออกงบประมาณหรือกู้เงินมาโปะเต็มจำนวน 100% 560,000 ล้านบาท
 
และตามทฤษฎีคนจะรีบใช้เงินเลวนี้ก่อนเงินดี คนจะแย่งกันใช้แบบไม่ลืมหูลืมตาเหมือนมีคูปองต้องรีบฉีกใช้ให้หมดภายในเวลาที่กำหนดไว้ 6 เดือน ทำไมต้องเอาเงินดี ๆ 560,000 ล้านบาท มาแลกเงินเลว ๆ แบบนี้ ถ้าไม่มีอะไรแอบซ่อนอยู่ ใช่หรือไม่ การทำอะไรที่ซับซ้อนให้คนตามไม่ทัน น่าสงสัยว่าจะมีการทุจริตซ่อนอยู่ ใช่หรือไม่
 
ผลที่ตามมาในระยะสั้นคนขายของที่ได้รับเงินเลวนั้นก็จะดิสเคาท์ค่าเงินนั้นหรือในทางตรงกันข้าม ก็จะขึ้นราคาสินค้าทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ที่นายกฯบอกว่าจะทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นพายุหมุนที่พัดพาบ้านเรือนพังพินาศมากกว่า ใช่หรือไม่
 
รัฐบาลพรรคนี้ที่มีอดีตนายกฯที่อ้างว่าสามารถหยิบเงินที่อยู่ในอากาศมาใช้นั้น ตอนนี้กำลังจะเอาเงิน 560,000 ล้านบาทที่เป็นเงินดีจากภาษีประชาชน ไปเปลี่ยนเป็นเงินเลวที่รัฐบาลเสกออกมาจากอากาศ แบบมายากล ใช่หรือไม่
 
อดีตผู้ว่าฯแบงค์ชาติเคยบอกเงินดิจิทัลที่จะแจก 560,000 ล้านบาทจะทำให้ค่าเงินบาทขาดเสถียรภาพ เพราะจะทำให้เกิดเงินบาท 2 แบบ (2 tier system) ในเมืองไทยและทำให้เงินบาททั้งระบบด้อยค่าไม่มีเสถียรภาพ
 
เงิน 560,000 ล้านบาทเทียบกับปริมาณเงินในระบบฐานเงินทั้งหมดที่มีอยู่ 19 ล้านล้านบาทคิดเป็นประมาณ 3% ดังนั้น ชาวต่างชาติจึงรีบเทขายเงินบาททิ้ง ทำให้เงินบาทอ่อนค่าจาก 35 บาทเป็น 37 บาทคิดเป็นประมาณ 5%
 
ดังนั้น คนไทยทั้งประเทศเสียค่าโง่ไปเรียบร้อยล่วงหน้าแล้ว คือทั้งประเทศจนลงไป เพราะค่าเงินล่วงหน้าแล้วประมาณถึง 5% จากนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาลนายเศรษฐา ใช่หรือไม่
 
ดิฉันขอเรียกร้องไปถึงคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โปรดดำเนินการตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน 2561 ที่บัญญัติว่า
 
มาตรา 8 เพื่อประโยชน์ในการระงับยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ ให้ผู้ว่าการเสนอผลการตรวจสอบการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรงต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณา
 
ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นพ้องด้วยกับผลตรวจสอบตามวรรคหนี่ง ให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อปรึกษาหารือร่วมกัน ในกรณีที่ประชุมมีมติเห็นพ้องกับผลการตรวจสอบดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการที่ลงคะแนน ให้ประธานกรรมการ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ร่วมกันลงนามในหนังสือแจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบโดยไม่ชักช้า และให้เปิดเผยผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อประชาชนเพื่อทราบด้วย
 
มาตรา 8 ดังกล่าว ได้มีการบรรจุไว้ในพรป. การตรวจเงินแผ่นดิน 2561 เพื่อป้องกันความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ที่เคยเกิดขึ้นกับนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลก่อนหน้านี้ แต่โดยที่ในสมัยนั้นยังไม่ข้อกฎหมายใดหยุดยั้งนโยบายจำนำข้าว องค์กรอิสระจึงทำได้แค่เตือน แต่เมื่อรัฐบาลไม่ฟังจนเกิดความเสียหาย จึงทำได้แค่การเอาผิดนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเท่านั้น แต่ไม่สามารถหยุดยั้งความเสียหายต่อการเงินการคลังของประเทศได้ แม้จะมีรัฐมนตรีในคดีทุจริตจำนำข้าวต้องติดคุก 48 ปี ส่วนนายกรัฐมนตรีต้องหนีคดีไปต่างประเทศ
 
สำหรับกรณีแจกเงินดิจิทัล10,000 บาท นักวิชาการ และอดีตผู้ว่าแบงค์ชาติเตือน และบอกถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น แต่รัฐบาลไม่ฟัง ดึงดันจะทำให้ได้ จึงไม่ควรปล่อยให้เกิดความเสียหายซ้ำรอยเดิมอีก ไม่ควรปล่อยให้วัวหายค่อยล้อมคอก เพราะเวลานี้ มีกฎหมายให้องค์กรตรวจสอบสามารถตรวจสอบ และหยุดยั้งได้ เรียกว่าสามารถล้อมคอกก่อนวัวหาย
 
ขณะนี้รัฐบาลไม่รับฟังเสียงคัดค้านของนักวิชาการ อดีตผู้ว่าแบงค์ชาติ และประชาชน มีเพียงทางเดียวที่จะหยุดยั้งความเสียหายต่อการเงินการคลังของประเทศได้ คือองค์กรตรวจสอบทั้งหลายจะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ ด้วยการหาข้อมูลจากอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และนักวิชาการทั้งในเรื่องที่ขัดต่อกฎหมายและโอกาสเกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ก่อหนี้สาธารณะโดยไม่จำเป็น และต้องทำหน้าที่สะกัดกั้นความเสียหายต่อการเงินการคลังของประเทศ เป็นการล้อมคอกก่อนวัวหายอย่างที่เคยเกิดขึ้น