"แม่สุมาลี โสภณสิริ" แม่ผู้เป็นสุดยอดสตรี

"แม่สุมาลี โสภณสิริ" แม่ผู้เป็นสุดยอดสตรี

 

"แม่สุมาลี โสภณสิริ" แม่ผู้เป็นสุดยอดสตรี
 
 
แม่สุมาลี โสภณสิริ เป็นครูเด็กอนุบาล ทั้งที่วุฒิครูของแม่ สามารถไปสอนเด็กชั้นมัธยมได้ แต่แม่เชื่อว่าเด็กเล็กเป็นไม้อ่อนที่สามารถดัดได้ง่าย อบรมให้มีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่แรกเริ่มเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า
 
แม่เป็นหญิงแกร่งที่เลี้ยงลูก ๘ คนมาอย่างอดทนด้วยเงินเดือนของครูน้อยคนหนึ่ง แม้ได้รับเงินจากพ่อผ่อง แต่ความที่ลูกหลายคน มีหลาน ๆ ญาติมาอยู่ด้วย บางช่วงก็ไม่เพียงพอ แม่ต้องทำขนมขาย พับถุงขายแม่ค้า เพื่อมีรายได้พิเศษ แม่ต้องออกไปสอนแต่เช้า และกระเตงลูกขึ้นรถเมล์ไปเรียนหนังสือด้วย จนมาถึงชั้นหลาน แม่ต้องเหนื่อยมาตลอดกว่าลูกๆ จะโต พึ่งตัวเองได้ เมื่อแม่เกษียณอายุ ก็กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดที่บ้านเหล่าเสือโก้ก จังหวัดอุบลราชธานี
 
 
 
ดิฉันเข้ามาเป็นสะใภ้ของแม่ และเมื่อคลอดลูกตอนปี ๒๕๓๘ แม่ก็ออกปากว่ายินดีมาช่วยดูแลหลานให้ แม่ย้ายจากอุบลฯ มาอยู่กับครอบครัวเราตอนลูกอายุประมาณ ๕-๖ เดือน เท่ากับว่าแม่ได้มาเป็นครูสอนลูกตั้งแต่แรกเริ่ม
ขวัญอ่านอักษร กไก่ ขไข่ นับเลขได้ตั้งแต่อายุประมาณ ๒ ขวบ แม่ได้ใช้วิชาครูอนุบาลสอนหลานคนนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มเลย แม่ได้สอนเรื่องอื่นๆ เช่นการรู้จักเซท คือเอาของเหมือนกันมาจัดหมวดหมู่เดียวกัน นอกจากสอนให้รู้จักตัวอักษร และตัวเลขแล้ว แม่ก็อ่านนิทานให้ฟัง นับเป็นคุณูปการที่สำคัญมากสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนที่ได้คุณย่ามาสอนแบบตัวต่อตัว ที่จะหาไม่ได้จากที่ไหนแล้ว แม่เคยแอบพาขวัญขึ้นรถเมล์ไปทัศนศึกษาที่เขาดินตอนขวัญอายุประมาณ ๖-๗ ขวบโดยไม่บอกให้เราขับรถพาไป ขวัญมาบอกภายหลังว่าคุณย่าล้มเข่ากระแทกพื้น โชคดีที่แม่ไม่เป็นอะไรมาก หลังจากนั้น แม่ก็เลิกพาหลานนั่งรถเมล์ไปทัศนศึกษาที่ไหนอีก
 
ดิฉันจำได้ว่าสมัยที่ทำเรื่องตรวจสอบคดีทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข ดิฉันถูกฟ้องหลายคดีจากรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข จากปลัดกระทรวงสาธารณสุข รู้ว่าเป็นการฟ้องปิดปาก ให้เราเลิกยุ่งแต่ดิฉันก็ไม่เลิกทำเรื่องนี้ จนมีคนโทรศัพท์มาขู่ที่บ้าน มาวางระเบิดสำนักงาน แต่วางผิดที่ วันนั้นแม่เป็นคนรับสาย คนที่โทรมา บอกกับแม่ว่า “ให้บอกลูกสาวนะว่าอย่าซ่า จะถูกเก็บไม่รู้ตัว” และคงด่าอีกหลายคำ แม่ก็ถามกลับไปเรียบๆ ว่า “คุณเป็นคนหรือเป็นสัตว์ ทำไมมาขู่ผู้หญิงแบบนี้ เป็นผู้ชายเสียเปล่า ไม่ควรมาขู่ผู้หญิงแบบนี้นะ” คนโทรมาขู่ ฟังแล้วคงอึ้ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร เลยกระแทกหูโทรศัพท์ไป เมื่อแม่มาเล่าให้ฟัง ดิฉันรู้สึกตกใจว่าแม่กล้าพูดตอบโต้แรงกับคนแบบนี้ โดยไม่กลัวอันตราย และไม่ได้ด่าผรุสวาทหยาบคายตอบ แต่คำตอบโต้ของแม่น่าจะเจ็บแสบมากกว่าด่าหยาบคาย เรียกว่าด่าสั่งสอนแบบครูเลยทีเดียว
 
 
 
แม่มาอยู่กับครอบครัวเรา ตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ และต่อมาหนึ่งกับจอมพอจบชั้น ป.๔ กับ ป.๖ ที่อุบลฯ ก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านทาวเฮ้าส์ในเขตทวีวัฒนา จนเมื่อปี ๒๕๕๐ เราได้มาซื้อที่ดินขนาด ๑๕๐ ตารางวา หลังพุทธมณฑลใกล้วัดญาณเวศกวัน เพื่อปลูกบ้านเอง ซึ่งเป็นบ้านที่มีบริเวณ เป็นบ้านหลังแรกของดิฉันเช่นกัน เราสร้างบ้านหลังนี้เสร็จในปี ๒๕๕๔
 
แม่เคยอยากได้อยู่ในบ้านที่มีบริเวณบ้านของตนเอง แม้จะไม่ได้ทำความฝันตนเองได้สำเร็จก่อนเกษียณ แต่ในที่สุดเราก็ได้มีบ้านหลังที่สร้างเองให้แม่อยู่ในที่สุด
 
 
 
กิจวัตรหนึ่งของแม่สมัยที่ยังมีกำลังวังชา นอกจากสวดมนต์เช้า-เย็น แล้ว ก็ทำบุญใส่บาตรพระทุกเช้า และแม่จะบริจาคเงินช่วยมูลนิธิทางศาสนา และการศึกษาเด็กเสมอๆ แม่เคยส่งเสียเด็กระดับ ป.๖ ของมูลนิธิศุภนิมิตร เด็กนักเรียนที่แม่ช่วยอุปถัมภ์เคยส่ง ส.ค.ส มาขอบคุณแม่ในแต่ละปี แม่จะไม่รั้งรอที่จะบริจาคแม้เพียงเล็กน้อยให้กับการช่วยเหลือการพระศาสนา และเด็กๆ เสมอมา เงินที่ดิฉันให้แม่ทุกๆ เดือน แม่เก็บสะสมไว้ และเคยช่วยลูกและญาติเวลาเดือดร้อน หรือช่วยค่าเดินทางของหลานไปต่างประเทศ รวมแล้วเป็นแสน แม่มีจิตใจเอื้อเฟื้อช่วยญาติ รวมถึงการไถ่ถอนที่นามรดกของยายที่เคยถูกนำไปจำนอง เมื่อไถ่ถอนกลับมาแล้ว ก็ไม่ครอบครองเป็นของตนเอง ยังแบ่งที่ดินให้น้องๆ ตามความต้องการของยาย
 
 
แม่เป็นคนมีบุญ พอแม่เริ่มกำลังถดถอยลงก็มีนุกหลานสาวจากอุบลฯ มาอยู่ดูแลคุณย่าตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ เมื่อแม่เริ่มชราภาพลงไปมาก ก็ได้พี่น้อยลูกชายที่ออกจากการอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดมาอยู่ดูแลแม่ตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ เหมือนมาเปลี่ยนมือรับช่วงจากนุก เมื่อนุกแต่งงานในปี ๒๕๖๒ พี่น้อยได้ดูแลแม่อย่างพิถีพิถัน
 
แม่ไปรักษาตัวที่ รพ.พระมงกุฎฯเมื่อ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๖ แม่มีอาการหนักมากต้องใช้เครื่องช่วยหายใจทางปาก แม่มองดูพวกเราด้วยสายตาวิงวอน ไม่อยากอยู่ในสภาพนี้ในโรงพยาบาล พวกเราตัดสินใจพาแม่กลับบ้านเพื่อมาใช้ชีวิตวาระท้ายที่บ้านตั้งแต่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ แม่ได้รับการดูแลอย่างดีทั้งจากพี่น้อย จากปิยาลูกสาว และนุกที่กลับมาจากอุบลมาดูแลแม่รวมเป็นเวลา ๙ เดือนกับอีก ๓ วัน จนแม่จากไปในคืนวันที่ ๑๙ ก.ค. ๒๕๖๗ เวลา ๒๓.๑๕ น. เป็นวันโกนก่อนวันพระใหญ่
 
 
 
แม่เคยบอกกับพี่น้อยว่า แม่รักบ้านหลังนี้ แม่ตายก็จะอยู่บ้านนี้แหละดิฉันหวังให้แม่ได้ปล่อยวางทุกสิ่ง ไปสู่ที่นิรทุกข์คือพระนิพพานที่เราต่างปรารถนา
 
รสนา โตสิตระกูล
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ วันอาสาฬหบูชา