" เผด็จการเสียงข้างเดียวใช้อำนาจขัดข้อบังคับ'ล้มมวย'ในการผ่านร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ??"
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
" เผด็จการเสียงข้างเดียวใช้อำนาจขัดข้อบังคับ'ล้มมวย'ในการผ่านร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ??"
รัฐบาลจากการเลือกตั้งในอดีตที่อาศัยสภาเสียงข้างมากผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยฉบับลักหลับประเทศไทย ผ่านกฎหมายเงินกู้2ล้านล้านบาทที่เขียนว่าเงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน และผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ถูกขนานนามว่ารัฐธรรมนูญทรพีฉบับลูกฆ่าแม่ ที่หักดิบฝ่ายค้านเสียงข้างน้อย จนสภาจากการเลือกตั้งถูกขนานนามว่าเป็น "สภาเผด็จการเสียงข้างมาก" และมีการประท้วงของประชาชนจนนำมาสู่จุดจบของรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
หลังการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเลือกโดยรัฐบาลคสช.ทั้งหมด การผ่านร่างกฎหมายจำนวนมากเป็นไปในระบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เพราะเป็นสภาที่ไม่มีฝ่ายค้าน หรือเป็น"สภาเสียงข้างเดียว"นั่นเอง
ร่างพ.ร.บ ปิโตรเลียม(ฉบับที่...)พ.ศ...เป็นร่างกฎหมายฉบับแรกที่ภาคประชาชนติดตาม จับตาอย่างใกล้ชิด เรียกได้ว่ามีความเป็นมาตั้งแต่การคัดค้านการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่21 ในปี2554 ที่อยู่ในสมัยรัฐบาลจากการเลือกตั้ง สิ่งที่ประชาชนเรียกร้องคือ ก่อนเปิดให้มีการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ ควรมีการแก้ไขพ.ร.บ ปิโตรเลียม 2514 ที่ใช้มานานกว่า40ปีแล้ว และเป็นกฎหมายที่ใช้ระบบเดียวคือระบบสัมปทาน
เจตนารมณ์ของสัมปทานในยุคแรก คือให้เอกชนนำความรู้ทางเทคโนโลยี่มาพัฒนาการสำรวจและผลิต โดยรัฐยอมให้เอกชนผูกขาดปิโตรเลียมที่ค้นพบในยุคแรก และวางรากฐานให้มีการถ่ายทอดความรู้ให้คนไทยเพื่อรับช่วงต่อหลังหมดอายุสัมปทาน ดังที่รัฐบาลในอดีตสมัยพล.อ เปรม ติณสูลานนท์ได้ตั้งปตท.สผ.และซื้อแหล่งบงกชคืนจากบริษัทน้ำมันต่างชาติ และจ้างบริษัทโททาลมาฝึกสอนคนไทย จนสามารถบริหารกิจการต้นน้ำได้เอง แต่พอคนไทยทำเองได้ ปตท.สผ.ก็ถูกแปรรูปไปเป็นของเอกชน รวมถึงการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยก็ถูกแปรรูปไปเป็นของเอกชน
ด้วยเจตนารมณ์ที่จะให้คนไทยรับช่วงต่อเมื่อให้สัมปทานเกิน50ปีแล้ว ในกฎหมายปิโตรเลียม 2514 จึงได้ระบุไว้ในมาตรา26 ว่าการให้สัมปทานการผลิตให้ต่ออายุได้เพียงครั้งเดียว คือ10ปี หลังจากนั้นห้ามต่ออายุสัมปทานอีก แสดงว่าต้องมีระบบอื่นที่ไม่ใช่สัมปทานมาใช้กับการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมต่อไปในแหล่งที่หมดอายุสัมปทาน แต่ยังมีปิโตรเลียมเหลืออยู่ ซึ่งสัมปทาน2แหล่งแรกที่เข้าเงื่อนไขห้ามต่ออายุสัมปทานอีกคือแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกช โดยแหล่งเอราวัณเมื่อครบอายุสัญญาในปี2566 นับจากปี2514 ก็เป็นเวลาถึง52ปี
การคัดค้านการเปิดสัมปทานรอบ21 ยืดเยื้อมาจนหลังเกิดรัฐประหาร จากการที่ประชาชนเรียกร้องให้ใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต และระบบจ้างผลิต ซึ่งเป็นระบบที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการให้คนไทยสามารถควบคุมการบริหารกิจการปิโตรเลียมต้นน้ำได้ด้วยตัวเองหลังหมดอายุสัมปทานแล้ว จึงต้องมีบรรษัทพลังงานแห่งชาติมาเป็นกลไกปฏิบัติงานของระบบแบ่งปันผลผลิต และ ระบบจ้างผลิต หรือจ้างบริการ
นายกรัฐมนตรีพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นผู้สั่งเลื่อนการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ21ออกไปจนกว่าจะแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียม และมอบหมายให้กรรมาธิการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (กมธ.สนช.)ศึกษาจุดอ่อนของพ.ร.บ ปิโตรเลียม 2514 และพ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม 2514 ซึ่งกมธ.สนช. ใช้เวลาศึกษามากกว่า2ปี และมีข้อเสนอการแก้ไขเป็นรายงานของสนช. แต่ปรากฎว่าร่างแก้ไขพ.ร.บ. ปิโตรเลียม(ฉบับที่...)พ.ศ...ของกระทรวงพลังงานไม่ได้ยกร่างตามผลการศึกษาของกมธ.สนช.
ร่างกฎหมายปิโตรเลียมเมื่อเสนอเข้าสู่สนช. ใช้เวลาถึง9เดือนเพราะเกิดจากร่างกฎหมายที่เสนอเข้าสู่สภายังมีข้อบกพร่องที่ไม่ได้แก้ไขตามผลการศึกษาของกมธ.สนช.และยังมีช่องโหว่เรื่องการจัดเก็บรายได้ที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ และประเด็นที่มีการเพิ่มระบบแบ่งปันผลผลิต และจ้างบริการ แต่ไม่มีโครงสร้างและกลไกสำหรับระบบใหม่ ประเด็นการมีบรรษัทพลังงานแห่งชาติเป็นประเด็นที่มีปัญหา และมีการหารือไปยังครม.จึงมีมติคณะรัฐมนตรีออกมา2ครั้ง โดยครั้งแรกออกในวันที่ 7กุมภาพันธ์ 2560 และครั้งที่2ออกในวันที่28กุมภาพันธ์ 2560 ให้บรรจุบรรษัทพลังงานแห่งชาติเป็นมาตรา10/1 ในร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ
กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ ปิโตรเลียม(ฉบับที่...) พ.ศ...จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา10/1 ขึ้นมาความว่า "ให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเมื่อมีความพร้อม โดยพิจารณาจากผลการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของรูปแบบและวิธีการดำเนินการจัดตั้ง”
มาตรา10/1 เขียนไว้อย่างหลวมๆว่าให้จัดตั้งเมื่อมีความพร้อม ซึ่งไม่ได้กำหนดเงื่อนไขว่าต้องจัดตั้งให้เสร็จก่อนการเปิดประมูลแหล่งเอราวัณและบงกช ซึ่งกระทรวงพลังงานก็ประกาศชัดเจนว่าจะเปิดประมูลในเดือนกรกฎาคม 2560 โดยที่2แหล่งดังกล่าวหากใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตแต่ไม่มีบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ มาเป็นหน่วยงานปฏิบัติ รูปแบบที่ใช้กับเอราวัณและบงกช ก็จะกลายเป็นระบบสัมปทานจำแลงนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าบริษัทเอกชนที่เป็นเจ้าของสัมปทานเดิมยังต้องการได้ประโยชน์จากสัมปทานในรูปแบบเดิม จึงคัดค้านบรรษัทน้ำมันแห่งชาติอย่างเต็มที่ เห็นได้จากการพาสื่อระดับใหญ่ประมาณ 15คนไปเที่ยวอเมริกา และแวะเยี่ยมดูบริษัทน้ำมันแห่งชาติของเม็กซิโก หลังจากกลับมาสื่อต่างๆพากันประโคมข่าวปูพรมว่าบรรษัทน้ำมันแห่งชาติจะนำความล้มเหลวมาให้ประเทศไทยเหมือนเม็กซิโก และเวเนซูเอล่า แต่ไม่กล่าวถึงบริษัทปิโตรนัสของมาเลเซียที่เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติที่ประสบความสำเร็จและอยู่ใกล้ประเทศไทย
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ออกมาแถลงข่าวในจังหวะสุดท้ายก่อนการประชุมสนช.3วัน และมีจดหมายเปิดผนึกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 เรียกร้องให้สนช.ผ่านร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียมโดยขอให้ตัดมาตรา10/1 ออกไป
และก็ปรากฎว่าในวันที่30 มีนาคม 2560 ประธานสนช.ได้ถามชี้นำกับประธานกรรมาธิการวิสามัญว่า "มีอยู่อย่างเดียวว่าควรจะเขียนไว้ในกฎหมายหรือไม่ หรือเขียนเป็นข้อสังเกต เขาก็อภิปรายกันแต่เฉพาะประเด็นกฎหมาย ถ้าเขียนมันจะสมบูรณ์ไหม กลับไปเขียนเป็นข้อสังเกตอย่างไหนมันดีกว่ากัน แต่ว่าท่านสมาชิกอภิปรายกัน 5 - 6 ชั่วโมงไปถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย และทำให้มันบานปลาย ตอนนี้เอาสรุปว่า ท่านสมชายถามกรรมาธิการตรงๆ ว่าจะเป็นข้อสังเกตได้ไหม โดยให้กระทรวงพลังงาน ผมยังไม่เห็นกระทรวงพลังงานพูดเลย”
การที่ประธานสนช.กล่าวชี้นำขนาดนี้ ทำให้ประธานกรรมาธิการยอมตัดมาตรา10/1ออกไปใส่ในข้อสังเกตที่ไม่มีผลทางกฎหมาย โดยไม่เปิดโอกาสให้สมาชิกสนช.ลงมติว่าจะเห็นด้วยกับกับการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา10/1 ของคณะกรรมาธิการวิสามัญที่แก้ไขตามที่มีมติครม.หรือไม่
การใช้อำนาจสภาเสียงข้างเดียวตัดมาตรา10/1 ออกไปโดยไม่มีการโหวต เพราะหากมีการโหวต สมาชิกต้องโหวตผ่านให้มาตรา10/1เป็นมาตราที่อยู่ในกฎหมายปิโตรเลียมอย่างแน่นอน เพราะยังไม่เคยมีประวัติที่สนช.โหวตคว่ำมาตราในร่างกฎหมายใดๆที่กรรมาธิการแก้ไขเพิ่มเติมมาก่อน ซึ่งย่อมขัดกับคำขอของม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ใช่หรือไม่
แต่ถ้าหากมีการล้อบบี้ให้สนช.โหวตคว่ำมาตรา10/1 ก็จะกลายเป็นว่าสมาชิกสนช.ไม่เห็นชอบกับหลักการของรัฐบาลที่เป็นผู้เสนอให้กรรมาธิการบรรจุมาตรา10/1ไว้ในกฎหมายปิโตรเลียม ซึ่งไม่เคยปรากฎเช่นกันว่าสนช.เคยโหวตคว่ำมาตราใดในร่างกฎหมายที่รัฐบาลเสนอเข้ามาให้สนช.พิจารณา
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับสนช.ที่ไม่ต้องมีการโหวตให้อิหลักอิเหลื่อ จึงใช้วิธี "ล้มมวย" ด้วยสภาเสียงข้างเดียว ซึ่งเป็นการใช้อำนาจละเมิดกระบวนการพิจารณาการแก้ไขกฎหมายของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่ถูกรองรับด้วยมติครม. ความเห็นของนักวิชาการ และประชาชนที่ส่งผ่านคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
เป็นการใช้อำนาจ2นาทีของ"สภาเสียงข้างเดียว"ที่หักดิบการขับเคลื่อนต่อสู้ของประชาชนที่เรียกร้องการปฏิรูปพลังงานมาตั้งแต่ปี2554 เพื่อให้เป็นไปตามคำขอของม.ร.ว ปรีดิยาธร เทวกุล และความต้องการของกลุ่มทุนพลังงาน ใช่หรือไม่?
ต้องขอถามว่าอดีตสมาชิกสนช.ที่เคยคัดค้านต่อสู้กับเผด็จการเสียงข้างมากในสภาก่อนหน้านี้ มาวันนี้ท่านอยู่ในสภาเสียงข้างเดียว สมควรแล้วหรือจะใช้อำนาจไม่ต่างจากเผด็จการเสียงข้างมากในสภา ที่ใช้อำนาจผ่านกฎหมายโดยขาดหลักความโปร่งใส และขัดหลักนิติธรรม โดยไม่คำนึงถึงหลักการสำคัญในฐานะที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับบัญญัติว่า " สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์"
การอ้างว่าที่ตัดมาตรา10/1 ในร่างกฎหมายปิโตรเลียมเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม จะฟังขึ้นละหรือ หากขั้นตอนการพิจารณากฎหมายไม่เป็นไปตามข้อบังคับและกระบวนการทางนิติบัญญัติที่ถูกต้องโปร่งใส ซึ่งก็จะไม่ต่างจากสภาเผด็จการเสียงข้างมาก ที่ก็มักจะอ้างเช่นกันว่าการผ่านกฎหมายในสภาล้วนเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมทั้งสิ้น
รสนา โตสิตระกูล
1 เมษายน 2560