"เมื่อไหร่ท่านนายกฯจะจัดการเรียกเก็บภาษีและเบี้ยปรับบริษัทน้ำมัน
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
"เมื่อไหร่ท่านนายกฯจะจัดการเรียกเก็บภาษีและเบี้ยปรับบริษัทน้ำมัน และดำเนินคดีกับข้าราชการที่ช่วยเอกชนหนีภาษี?"
กรณีที่ผู้บริหารในกรมศุลกากรตอบข้อหารือถึงผู้บริหารบริษัทเชฟรอน(ไทย)จำกัดเรื่องการนำน้ำมันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะเป็นการส่งออกตามหนังสือตอบข้อหารือวันที่2พฤษภาคม 2554 และ 9 เมษายน 2558นั้น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พิจารณาเห็นว่า การส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ที่แท่นขุดเจาะตามข้อเท็จจริงไม่ถือเป็นการส่งออก แต่ถือเป็นการค้าชายฝั่งที่ต้องเสียภาษีอากรตามปกติ
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจึงได้มีหนังสือถึงท่านนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เมื่อ30 กันยายน 2559 ขอให้ท่านนายกฯสั่งการให้มีการดำเนินการ2ประการ คือ
1)สั่งให้กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิตเรียกเก็บภาษีอากรพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย นอกจากนี้ให้เรียกเงินภาษีอากรที่มีการคืนให้บริษัทเชฟรอน(ไทย)จำกัดไปแล้ว
กลับคืนเป็นรายได้แผ่นดิน
2)ให้ดำเนินการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทั้งทางอาญา แพ่ง และวินัยราชการด้วย
แต่ท่านนายกฯก็ยังไม่ได้สั่งการแต่ประการใด ต่อมาทางกระทรวงคลังแทนที่จะรีบดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายกลับทู่ซี้ส่งเรื่องนี้ให้ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความอีกว่า การส่งน้ำมันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะนั้นถือเป็นการส่งออกหรือเป็นการค้าชายฝั่งกันแน่
ทางคณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะพิเศษ)ได้วินิจฉัยข้อหารือนี้ในเดือนมกราคม 2560 ความตอนหนึ่งระบุว่า
"หากเป็นการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์น้ำมันจากในราชอาณาจักรไปยังแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมที่ตั้งอยู่บนไหล่ทวีปเพื่อใช้ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมตามที่ขอหารือมา พ.ร.บ ปิโตรเลียมฯ ได้กำหนดนิยามของคำว่า
"ราชอาณาจักร" ไว้เป็นการเฉพาะ ดังนั้นการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์น้ำมันจากชายฝั่งในราชอาณาจักรไปยังแท่นขุดปิโตรเลียมซึ่งตั้งอยู่ในเขตไหล่ทวีปนอกทะเลอาณาเขต
12ไมล์ทะเล จึงต้องถือตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ กล่าวคือ ถือว่าการขนของไปใช้ในการสำรวจและการผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ดังกล่าวเป็นการประกอบกิจการปิโตรเลียมในราชอาณาจักร หากมีภาระภาษีใดๆเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการดังกล่าว ก็ต้องมีการจัดเก็บภาษีเช่นเดียวกับการประกอบกิจการในราชอาณาจักรด้วย"
เมื่อมีการวินิจฉัยอย่างชัดเจนจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วว่า การส่งน้ำมันไปใช้ที่แท่นขุดเจาะเป็นการค้าชายฝั่งที่ต้องเสียภาษีตามปกติ บริษัทเชฟรอนจึงต้องเสียภาษีและเบี้ยปรับตามที่สตง.ได้รายงานต่อท่านนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่นับจากเดือนมกราคม 2560 จนถึงบัดนี้ หน่วยงานที่มีหน้าที่ต้องจัดการเรื่องภาษีก็ยังทอดหุ่ยไม่ดำเดินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ส่วนท่านนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่มีการสั่งการให้มีปู้ใต้บังคับบัญชาของท่านเร่งรีบดำเนินการแต่ประการใดเช่นกัน
การที่ท่านนายกฯเพิกเฉยเช่นนี้ จะเป็นการทำให้ข้าราชการที่กระทำการในทางมิชอบได้ใจและไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และคนกลุ่มเดียวกันนี้ ก็ยังมาวิ่งเต้นช่วยเหลือเอกชนที่มีการส่งน้ำมันจากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วม(เจดีเอ)ให้ไม่ต้องเสียภาษีขาออกอีกด้วย และเหิมเกริมถึงกับเสนอให้ท่านนายกฯใช้มาตรา44 เพื่ออุ้มเอกชนให้ไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐอย่างผิดกฎหมาย และเพื่อให้เอกชนไม่ต้องรับโทษในการหลีกเลี่ยงภาษีอีกด้วย
หากท่านนายกรัฐมนตรีไม่ดำเนินการกับทั้ง2กรณีอย่างถูกต้อง ทั้งที่มีเสียงเตือนมาแล้วอย่างเป็นทางการจาก สตง.อาจจะทำให้ท่าน นายกฯประยุทธ์ต้องตกที่นั่งเดียวกับอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์กรณีจำนำข้าวที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินกรณีปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตที่ทำให้รัฐเสียหาย
จึงใคร่ขอให้ท่านนายกฯโปรดพิจารณาดำเนินการให้มีการเรียกเก็บภาษีให้ถูกต้อง และดำเนินการสอบสวนเอาผิดข้าราชการที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติเพื่อให้รัฐเสียหายตามที่สตง.ได้รายงานมาถึงท่านนายกรัฐมนตรีโดยเร่งด่วนด้วยเถิด
รสนา โตสิตระกูล
22 ตุลาคม 2560
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1465755496834342&id=236945323048705