“ตอบคำชี้แจงของอธิบดีกรมศุลกากรเรื่องยกเลิกใบขนเพื่อทำลายหลักฐานการสมคบคิดเลี่ยงภาษี ใช่หรือไม่”
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
“ตอบคำชี้แจงของอธิบดีกรมศุลกากรเรื่องยกเลิกใบขนเพื่อทำลายหลักฐานการสมคบคิดเลี่ยงภาษี ใช่หรือไม่”
หลังจากบทความดิฉันที่ตั้งคำถามเรื่องข้าราชการในกรมศุลกากรเอื้อประโยชน์ให้เอกชนหลีกเลี่ยงภาษีน้ำมัน ตามรอยอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากรที่แนะนำเอกชนหลีกเลี่ยงการเสียภาษีซื้อขายหุ้นและถูกศาลตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญาไปแล้วนั้น
อธิบดีกรมศุลกากรได้ทำข้อชี้แจง3ข้อดังนี้
1)บริษัทเชฟรอนไทยทำข้อหารือในปี2558มาที่กรมศุลกากรว่าการส่งน้ำมันไปแท่นขุดเจาะเป็นการส่งออกหรือการค้าชายฝั่ง และกรมศุลฯโดยผ.อ สำนักกฎหมาย (สกม.)ได้ตอบข้อหารือเชฟรอนว่าเป็นการส่งออกที่ไม่มีภาษี ต่อมาปี2559 คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการค้าชายฝั่งที่ต้องเสียภาษี กรมศุลฯจึงต้องปฏิบัติตาม แจ้งบริษัทให้เสียภาษี
2)การเพิกถอนใบขนนั้น เป็นไปตามพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาตรา 49 วรรค2 และต้องเพิกถอนภายใน 90 วัน มิฉะนั้นจะเก็บภาษีคืนไม่ได้ และเพื่อป้องกันบริษัทไม่ให้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีที่อ้างว่าทำตามแนวทางการตอบข้อหารือของกรมศุลกากรโดยสุจริต
หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัทมีเจตนาทุจริตจริงและเห็นว่าเป็นความผิดฐานลักลอบ กรมก็ยังสามารถดำเนินคดีได้ เนื่องจาก ได้เกิดความผิดไปแล้วแม้จะมีการแก้ไขให้ถูกต้อง ในภายหลัง
3)การยกเลิกใบขนสินค้าทำตามความเห็นของผู้ว่าสตง.และไม่ได้จะช่วยเอกชนหลบเลี่ยงการเสียภาษี
ดิฉันขอแสดงความเห็นและตั้งคำถามให้ท่านอธิบดีช่วยตอบเพิ่มเติม ดังนี้
1)บริษัทเชฟรอน(ไทย)ไม่ได้เพิ่งมาหารือกรมศุลกากรในปี2558 ที่จริงบริษัทเชฟรอน แต่เคยหารือประเด็นนี้มาตั้งแต่ปี2554 แล้ว และกรมศุลฯก็ตอบว่าเป็นการส่งออก ทำให้บริษัทเชฟรอนไทยนำไปอ้างขอยกเว้นภาษีตั้งแต่ปี2554-2557 จนถูกด่านศุลกากรที่สงขลาจับและยึดน้ำมันเถื่อนได้ 1.6 ล้านลิตร มูลค่า 48ล้านบาท ตั้งแต่ก.พ2557 ผู้บริหารในกรมศุลฯจึงให้บริษัทเชฟรอนกลับไปซื้อน้ำมันแบบชายฝั่งในปี 2557-2558
พอต้นปี2558 บริษัทเชฟรอนไทยก็มาหารืออีก แล้วผ.อ สำนักกฎหมายก็ตอบคำหารือว่าเป็นการส่งออก ไม่ต้องเสียภาษีอีก ทั้งๆที่รู้ว่าบริษัทเชฟรอนไม่ได้ส่งออก แต่เอามาใช้ในประเทศ เพราะเหตุใดจึงตอบคำหารือว่าเป็นการส่งออกอีกทั้งที่เคยให้ไปซื้อแบบการค้าชายฝั่งมาแล้ว?
ท่านอธิบดีชี้แจงประเด็นนี้โดยตัดตอนช่วงเวลาว่าเชฟรอนมาหารือในปี2558 และใช้สิทธิยกเว้นภาษีเฉพาะปี 2558-2559 โดยไม่รวมช่วงที่บริษัทเชฟรอนใช้สิทธิยกเว้นภาษี ระหว่างปี 2554-2557 ซึ่งหมายความว่าท่านอธิบดีเชื่อว่าการตอบข้อหารือในปี2558ว่าเป็นการส่งออกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จนกระทั่งกฤษฎีกามาวินิจฉัยใหม่ว่าเป็นการค้าชายฝั่ง ท่านเลยต้องยอมรับคำวินิจฉัย ใช่หรือไม่ แล้วตกลงบริษัทเชฟรอนต้องจ่ายภาษีที่ได้รับยกเว้นคืนให้รัฐตั้งแต่ปีไหนกันแน่?
1.1)คืนภาษีตั้งแต่2554-2557 และ 2558-2559
1.2)หรือว่าคืนภาษีแค่ปี2558-2559 เท่านั้น ขอให้ช่วยชี้แจงด้วย
ประการต่อมา ผ.อสำนักกฎหมายมีอำนาจปฏิบัติราชการแทนอธิบดีหรือไม่ อาศัยระเบียบข้อใด ช่วยชี้แจง
2)ข้ออ้างที่ว่าต้องเพิกถอนใบส่งออกของเชฟรอน จึงจะสามารถเรียกเก็บภาษี และเพื่อเพิกถอนสิทธิของบริษัทที่อ้างการตอบข้อหารือของกรมศุลฯไปอ้างใช้สิทธิยกเว้นภาษีนั้น ฟังไม่ขึ้น
เพราะบริษัทเชฟรอน(ไทย)ไม่เคยสำแดงการส่งน้ำมันไปแท่นขุดเจาะเพื่อขอยกเว้นภาษีเลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงไม่มีความสัมพันธ์กับการหารือกรมศุลกากรเรื่องส่งน้ำมันไปแท่นขุดเจาะเป็นการส่งออกแต่อย่างใด
บริษัทเชฟรอน(ไทย) สำแดงใบส่งออกไปในในพื้นที่ที่ได้รับยกเว้นภาษี โดยใช้รหัสzz หมายถึงเขตต่อเนื่อง และรหัสyy หมายถึงนอกราชอาณาจักร ไม่มีรหัสไปแท่นขุดเจาะที่เป็นการยกเว้นภาษี เมื่อนายตรวจศุลกากรเห็นรหัสส่งออกที่ได้รับการยกเว้นภาษี จึงตรวจปล่อย และเชฟรอนนำไปขอยกเว้นภาษี จึงเป็นการสำแดงส่งออกเป็นเท็จ ใช่หรือไม่
ส่วนหนังสือตอบข้อหารือของสำนักกฎหมายก็เป็นเพียงเอกสารที่สร้างขึ้นมา เพื่อเอาไว้อ้างคุ้มครองเมื่อถูกตรวจพบความผิดเท่านั้น ว่าทำตามความเห็นของการหารือโดยสุจริต ใช่หรือไม่
ตามพ.ร.บ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มาตรา 49 วรรค2 ได้บัญญัติว่า การเพิกถอนคำสั่งทางปกครองได้ภายใน90วัน “เว้นแต่คำสั่งทางปกครองจะได้ทำขึ้นเพราะการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอก...ที่มิชอบด้วยกฎหมาย” ดังนั้นเอกสารการส่งออกที่เป็นเท็จของเชฟรอนจึงยกเลิกเพิกถอนไม่ได้ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
ดังนั้นกรณีการเรียกเก็บภาษีที่เชฟรอนสำแดงเท็จเพื่อขอยกเว้นไปก่อนหน้านั้น แม้ไม่ยกเลิกใบขนก็เก็บภาษีได้ในเมื่อไม่ใช่การส่งออก แต่เป็นการค้าชายฝั่ง ก็ต้องเสียภาษี ดังนั้นเหตุผลที่ว่าต้องยกเลิกใบขนจึงจะเก็บภาษีได้นั้นจึงไม่ถูกต้อง และการยกเลิกเพิกถอนใบขนส่งออกที่เป็นการสำแดงเท็จจึงน่าจะเป็นเพียงข้ออ้างในการทำลายหลักฐานเพื่อให้บริษัทเชฟรอน (ไทย) จะได้เสียภาษีเฉพาะภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายไม่ครบ แต่จะรอดพ้นจากกฎหมายศุลกากรที่มีโทษปรับผู้สำแดงใบส่งออกเป็นเท็จเพื่อฉ้อภาษีของรัฐ ที่มีโทษปรับสูงถึง4เท่าของมูลค่าสินค้า ซึ่งน่าจะเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท และยังมีโทษทางอาญาอีกด้วย ใช่หรือไม่
ท่านอธิบดีสมควรทราบเป็นอย่างดี ว่าในมาตรา 16 ของ พ.ร.บ.ศุลกากร ฯฉบับที่9 ก็บัญญัติชัดเจนว่าความผิดฐานเลี่ยงภาษีในมาตรา27 และมาตรา99 ให้”ถือเป็นความผิดโดยมิพักต้องคำนึงว่าผู้กระทำ ทำด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อ”
3)การเพิกถอนใบขนสินค้าจึงน่าจะเข้าข่ายเป็นการทำลายหลักฐานทั้งเพื่อช่วยเอกชนไม่ต้องเสียค่าปรับตามกฎหมายศุลกากร และเพื่อเป็นการล้างความผิดของข้าราชการที่มีส่วนช่วยเอกชนในคดีเลี่ยงภาษีนี้ด้วยใช่หรือไม่
หากปล่อยให้มีการยกเลิกใบขนสินค้าได้จริง จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในอนาคต ที่เปิดช่องให้ข้าราชการสามารถให้คำหารือผิดๆเอาไว้คุ้มครองเอกชน ส่วนเอกชนเมื่อถูกจับได้ว่าสำแดงเท็จเพื่อเลี่ยงภาษี ข้าราชการก็จะช่วยเพิกถอนใบส่งออกเป็นเท็จได้ ต่อไปก็จะไม่สามารถจับคนเลี่ยงภาษีได้อีกแล้ว ใช่หรือไม่
ขอให้ท่านอธิบดีช่วยชี้แจงว่าที่ผ่านมาเคยมีการยกเลิกใบขนที่เป็นการสำแดงเท็จในกรณีใดบ้าง ช่วยยกให้เป็นตัวอย่าง หรือว่ากรณีนี้เป็นกรณีแรก?
ข้าราชการที่อยู่ตำแหน่งดูแลการเก็บภาษีให้รัฐเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ ต้องเป็นบุคคลที่มีความสำนึกในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง เพราะการทุจริตของเอกชนจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่อยู่ในตำแหน่งระดับสูงคอยชี้ช่องให้ คอยถ่างช่องว่างของกฎหมายให้เป็นรูใหญ่ขนาดช้างลอดได้เพื่อให้เอกชนได้ประโยชน์จากการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ใช่หรือไม่
ดิฉันก็ขอใช้โอกาสนี้กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี หากท่านไม่เข้ามาแก้ไขขบวนการสมคบกันฉ้อภาษีของรัฐในกรณีนี้ ท้องพระคลังของประเทศก็จะเป็นกะเชอก้นรั่ว เพราะมีข้าราชการเลวที่มีอำนาจเพียงไม่กี่คนสมคบเอกชนคอยเจาะรูรั่วให้กับกระเป๋าเงินของประเทศให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลโดยไม่ต้องรับผิดชอบ หากปล่อยไว้บ้านเมืองก็เกิดจะเสียหายทั้งในปัจจุบันและในระยะยาว
รสนา โตสิตระกูล
18 พ.ย 2560
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1491488050927753&id=236945323048705