Before & After วาสนา นาน่วม “ลับ ลวง พราง” (ภาคพิสดาร)

Before & After วาสนา นาน่วม “ลับ ลวง พราง” (ภาคพิสดาร)

 

 

 

 

 

 

 

 

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : มาโนช ภาชีรัตน์, นพพล ภาคสุทธิผล

แต่งหน้า/สไตลิสต์ : บัณฑิต บุญมี ทำผม : เดชน์ดำรง เพ็งสา

เสื้อผ้า : A/X Armani Exchange รองเท้า : CK กระเป๋า : MULBERRY

สถานที่ : Sofitel Centara Grand Bangkok, หอเกียรติยศรถไฟ

 


Before & After

วาสนา นาน่วม “ลับ ลวง พราง” (ภาคพิสดาร)

 

ลุ้นอยู่ในใจลึกๆ ว่า เจ้าของพ็อกเกตบุ๊กระดับเบสต์เซลเลอร์ติดต่อกันนานนับเดือน “ลับ ลวง พราง” อย่าง เล็ก-วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ จะยินยอมพร้อมใจกับการแปลงโฉมในแบบ ที่เธอเองก็ไม่…แม้แต่จะคิด ด้วยว่าหากไม่นับบุคลิกที่ดูห้าวหาญสมกับเป็นผู้สื่อข่าวสายทหารแล้ว โจทย์ของ Unseen Unheard ฉบับนี้ค่อนข้าง “แรง” สำหรับเธอทีเดียว

แต่หลังจากคุณเล็กเธอตกปากรับคำ  จึงจัดการเมกโอเวอร์ให้เธอกลายเป็นนางแบบสาวสุดเฉี่ยว ก่อนจะเนรมิตให้เธอเป็น ลารา ครอฟต์ นางเอกสุดเซ็กซี่ในภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง Tomb Rider เรียกว่าการแปลงโฉมครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นให้เจ้าตัวและทีมงานพอสมควร

เจ้าของฉายา “หญิงเหล็ก” ผู้มาพร้อมกับผมยาวตรงเป็นเอกลักษณ์ (จนหลายครั้งคนรอบข้างแนะนำให้เธอ อำพรางตัวบ้างเพื่อความปลอดภัย) มายังสถานที่นัดหมาย ณ โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว ระหว่างขึ้นลิฟต์เธอยอมรับว่าระแวงพอสมควร เพราะกลัวจะถูกลวงมาฆ่า เนื่องจากที่ผ่านมาการทำหน้าที่ ผู้สื่อข่าวสายทหารบางครั้งอาจสร้างความไม่พอใจให้ใครต่อใครโดยไม่รู้ตัว จวบจนเมื่อประตูห้องเปิดออกแล้ว พบทีมงานพร้อมกับเสื้อผ้าที่ตระเตรียมไว้ ความระแวงจึงหลุดลอยหายไปในบัดดล...

 

// Before & After แปลงกายตามฝัน

เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนกับกางเกงยีนส์ ดูจะเป็นเสื้อผ้าที่คุ้นเคยของผู้สื่อข่่าวมาดเท่วัย 40 กะรัต แต่หลังผ่านการ แปลงโฉมทั้งเสื้อผ้าหน้าผม พี่เล็กของน้องๆ กลับกลายเป็นสาวหวานขึ้นมาจับใจ แม้เจ้าตัวจะเกิดอาการขัดเขิน ยามต้องโพสท่าต่อหน้ากล้องอยู่บ้าง ทว่าเมื่อได้เสียงเชียร์บวกกับเสียงชม รอยยิ้มและแววตาแห่ง ความสุขก็เปล่งประกายออกมาเป็นระยะ

“มันเป็นเรื่อง ลับ ลวง พราง จริงๆ (หัวเราะ) เพราะชีวิตนี้ได้แต่งหน้าถ่ายรูปก็ตอนรับปริญญากับแต่งงานเท่านั้น แต่พอได้มาเปลี่ยนตัวเองแบบนี้ก็ดี ชีวิตมันแปลกๆ ส่วนตัวเป็นคนชอบดูหนังแนวแอ็กชันฮอลลีวูด พอมาแต่งเป็น Tomb Rider เท่ๆ แบบนี้ ก็โอเคมันเซ็กซี่มาก แต่เรามีไม่ถึงเค้าหรอก (พลางก้มลงดูหน้าอก ของตัวเอง) เหมือนได้ทำตามความฝันเราอย่างหนึ่งที่อยากเป็นนางเอกฮอลลีวูดบ้าง จริงๆ ก็อยากเป็นเดอะ แมทริกซ์นะ แต่อยากแต่งเป็นพระเอกมากกว่า…มันเท่” หญิงสาวกล่าวอย่างอารมณ์ดี

ด้วยบุคลิกในความเป็นหญิงแกร่ง วาสนาจึงชอบสไตล์การแต่งตัวตามแบบขวัญใจ หนุ่ย-อำพล ลำพูน แต่หากเป็นนางเอกสาวละก็ เธอขอเป็น อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ตามแบบละครยอดฮิต “แจ๋วใจร้ายกับ คุณชายเทวดา” ซึ่งเจ้าตัวจะออกตัวว่า คงยากเต็มที

“เปลี่ยนโฉมแบบนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง จะมีคนชมหรือจะโดนด่า ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ นักข่าวจะล้อกันยังไง คิดว่าคนคงเข้าใจว่านี่เป็นการถ่ายหนังสือ ถ้าจะให้แต่งแบบนี้ไปทำข่าวคงไม่มีทางเลย (ลากเสียงยาว) ขนาดกระโปรงที่บ้านจะหาใส่แทบจะหาไม่เจอ ไม่ได้ใส่กระโปรงมาเป็นปีแล้ว ตอนนี้ดีหน่อยทางหน่วยงาน ราชการให้อิสระกับสื่อ อนุญาตให้ใส่กางเกงทำข่าวได้ เพียงแต่ต้องแต่งให้เรียบร้อยเท่านั้น” ว่าแล้วช่างภาพก็แชะภาพเธอขณะโพสท่าสวยในชุดกระโปรงยาวราวกับสาวสังคมกำลังจะออกไปงาน


//ถูกทุบรถ...ปล่อยลมยาง

แม้ครั้งนี้จะเป็นการอำพรางแบบไม่เหลือเค้าของ วาสนา นาน่วม ทว่าเมื่อถึงคราวที่สายลับจำเป็นต้องไป ปฏิบัติภารกิจประจำวัน การอำพรางใบหน้าดูเหมือนเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย เนื่องจากบทบาทการทำงาน ของเธอนั้นเสี่ยงต่อการเป็นเป้าถูกลอบทำร้าย แม้ที่ผ่านมาจะยังไม่เคยเจอเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นเดียวกับ สนธิ ลิ้มทองกุล แต่การถูกทุบรถในขณะที่จอดรถภายในกองทัพบก หรือถูกปล่อยลมยาง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้สื่อข่าวสายทหารเช่นเธอจำเป็นต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น

“ตอนนั้นไม่ได้เขียนข่าวอะไรไม่ดีเลย ทำข่าวที่เนชั่น หรือบางกอกโพสต์ มีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่ง หนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับจะไม่มีคอลัมน์เขียนเชียร์เหมือนหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ฝากลงรูปงานศพ แต่งงานได้หมด ทำข่าวสังกัดบางกอกโพสต์หัวใหญ่ ทางกองทัพเขาไม่สนใจ ทหารมองว่าหนังสือพิมพ์ ภาษาอังกฤษไม่มีใครอ่าน ชาวบ้านก็ไม่สนใจ เขาเลยจะคบแต่หัวใหญ่ๆ ตอนทำข่าวอยู่ในกองทัพ เลยไม่มีใครมาดูแลเป็นพิเศษ เลยชินกับเรื่องนี้ไปแล้ว แต่คิดเสมอว่าเรามาทำหน้าที่นักข่าวไม่ต้องสนใจ ว่าใครจะทำอะไร ขอเป็นนักข่าวแบบเจียมตัว เงียบๆ และไม่เคยกร่าง” นี่เป็นคำพูดกระชับแบบสั้นๆ แต่มีความหมายในตัวเองทีเดียว

ปัจจุบันวาสนายังคงทำหน้าที่นักข่าวประจำกองทัพบกเหมือนเคย ตลอดเวลาเธอได้รับแรงพยาบาท จากนายทหารผู้ทรงอิทธิพลอยู่ไม่น้อย ส่งผลให้คนรอบข้างเตือนให้ระมัดระวังตัว จนเกือบกลายเป็นคนวิตกจริต ไปเสียแล้ว “ที่ผ่านมาเขียนข่าวทหารทั้งแง่ดีและไม่ดี ยังไม่เคยถูกทำร้าย โชคดีมีพี่ทหารหลายคนเข้าใจ รักเรา หวังดี รู้ว่าเรากำลังมีอันตรายก็จะมาเตือน ยิ่งตอนเขียนลับ ลวง พราง ภาคสอง พอดีอดีตนายกฯ ทักษิณมาเปิด ประเด็นเบื้องหลังการปฏิวัติ เรายังเขียนเรื่องเบื้องหลังการปฏิวัติเช่นเดิม ดันไปค้นเรื่องเดียวกัน เลยมีหลายคนหาว่าหนังสือเราเป็นเครื่องมือทักษิณ หาว่าเป็นสีแดง เป็นพวกทักษิณ ทำให้หลายคนเริ่มไม่มั่นใจ ในตัวเรา เริ่มมีคนเกลียด เริ่มมีคนไม่เข้าใจ

“ยิ่งทักษิณออกมาโจมตีองคมนตรี ก็เลยมีผลกระทบมาถึงเราแรง มีคนเตือนเรา เฮ้ย!...ไอ้เล็กระวังนะ โดยเฉพาะนายทหารระดับผู้การผู้พัน ซึ่งก่อนจะมีการสลายม็อบเสื้อแดง ยังถูกเตือนเลยว่าออกไปไหนระวัง เพราะเราถูกกาหัวเอาไว้ว่า นักข่าวสายทหารผมยาว ถ้าเจอไม่รับรองความปลอดภัย จึงมีหลายคนแนะนำให้รวบผมใส่หมวกใส่แว่น แต่เราก็ไม่เคยทำ โดยหน้าที่ตอนสลายม็อบเสื้อแดง ก็ไม่ต้องออกไปตระเวนทำข่าว แต่ทำข่าวอยู่ในกองทัพ และรอบๆ กองทัพเท่านั้น

“จริงๆ เราเองไม่ได้ประมาท ระวังตัวเหมือนกัน แต่ไม่ได้กลัวเสียจนไม่ทำอะไร มีอยู่บ้างเวลาขับรถจะระแวง ว่ามีใครเอาระเบิดมาวางไว้ใต้รถหรือเปล่า (หัวเราะ) ตอนขับรถยังพยายามดูกระจกหลังกระจกข้างตลอดว่า มีมอเตอร์ไซค์ขับตามไหม ก่อนออกจากบ้านจะดูว่ามีใครดักซุ่มดักรอเราอยู่หรือเปล่า ถ้ามีจะต้องเปลี่ยน เส้นทางทันที ทำให้เราเกิดวิตกจริตไปเลย แค่ระแวดระวังตัวมากขึ้น” เธอทำท่าทางก้มลงดูท้องรถ และมองกระจกซ้ายขวาแบบลับลวงพรางจริงๆ

 

// “ลับ ลวง พราง” หนังสือที่ทหารไม่ชอบ

เพราะผลพวงจากงานเขียน “ลับ ลวง พราง” ที่เผยเบื้องหลังการปฏิวัติจนแทงใจใครหลายคน จึงส่งผลให้มีทั้งคนรักและคนชัง โดยเฉพาะบุคคลในเครื่องแบบสีเขียว “บอกได้เลยว่าหนังสือลับ ลวง พราง ออกมามีทหารเกลียดเยอะมาก คนที่ไม่ชอบก็จะมี 2 ประเภท คือ เดินมาด่าเลย เฮ้ยเล็กทำไมเขียนแบบนี้ คนพวกนี้ถือว่าเป็นทหารที่ตรงไปตรงมา เราสามารถชี้แจงได้ อีกประเภทหนึ่งเป็นทหารที่เงียบไปเลย ประมาณเคียดแค้นน่ากลัวไม่แสดงออก บางครั้งเห็นแววตาคนนี้จะรู้ทันทีว่าไม่ชอบเรา”

เมื่อเป็นเช่นนี้ วาสนาจึงมักถูกข่มขู่ด้วยสายตาและวาจาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หนำซ้ำยังมีคำถามจาก นายทหารบางคนเสียดสีว่า “เขียนหนังสือออกมาทำให้กองทัพเสียหาย ทำไมยังมาเดินอยู่ในกองทัพได้” รวมถึงการถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหัวแข็ง และเข้ามาทำข่าวเพื่อจะตรวจสอบกองทัพ

“ข้อกล่าวหาอันนี้ขอเถียงเลย อันไหนไม่ดีก็คือไม่ดี อันไหนดีเราเขียนชมอยู่แล้ว เช่น บทบาททหารเวลาไปช่วย เหลือประชาชนที่อิรักหรือติมอร์ เราตามไปทำให้ตลอด เสี่ยงแค่ไหนเราก็ไป ประมาณเดือนหน้าจะไปทำข่าว สงครามกลางเมืองที่ซูดาน เรียกว่ามีทหารไทยอยู่ที่ไหนเราไปทำข่าว เพื่อให้คนไทยได้รู้ว่าทหารไทย เสี่ยงภัยยังไง เป็นการทำงานตามเนื้อผ้า อย่างภาคใต้ไปอยู่กับทหารมา 2-3 ปี หรือเขาพระวิหารเราก็ขึ้นไป อยู่กับทหารไทยด้วย และอยากบอกว่า รายได้จากการเขียนหนังสือ ลับ ลวง พราง ภาคพิสดารได้บริจาค ให้ทหารทั้งหมด” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกับเผยว่าเงินจำนวน 200,000 บาทแรก ก็บริจาคให้ ครอบครัวทหารที่เสียชีวิตใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปแล้ว”

// ผบ.ทบ. (อนุพงษ์) ดุที่สุด

กว่าจะมาเป็นนักข่าวสายทหารที่คนทั้งประเทศรู้จัก วาสนาเรียนจบคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับสอง เริ่มต้นการเป็นนักหนังสือพิมพ์เมื่ออยู่ชั้นปีที่ 3 เริ่มฝึกงานข่าวสายทหารกับหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ในยุคที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารบก พอขึ้นปี 4 ฝึกงานกับหนังสือพิมพ์แนวหน้า พร้อมกับทำสารนิพนธ์หัวข้อ “ปร.42” กับการสั่งปิดหนังสือพิมพ์แนวหน้า จากนั้นเข้าไปเป็นนักข่าว ที่หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เรียกว่าทำข่าวสายทหารมาโดยตลอด

“ตอนนั้นกำลังมีการปฏิวัติปี 2534 ความสัมพันธ์ของรัฐบาลกับกองทัพก็มีปัญหา ทางผู้ใหญ่ให้มาช่วยพี่นักข่าวอีกคนหนึ่ง เพราะงานข่าวปฏิวัติตอนนั้นกำลังเยอะ แล้วมีปฏิวัติวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 จึงเป็นจุดเริ่มต้นทำข่าวสายทหาร” ขณะเดียวกันเธอเปิดเผยเรื่องหัวใจด้วยว่า ตอนนี้แต่งงานแล้วกับหนุ่มสายงานเดียวกัน มีลูกสาว 1 คน อายุ 3 ขวบเศษ เพื่อความปลอดภัยของครอบครัว เธอจึงไม่ขอลงรายละเอียด แต่ทุกคนในครอบครัวต่างก็เป็นห่วงความปลอดภัยของเธอตลอด

เส้นทางชีวิตนักข่าว วาสนาได้กระทบไหล่ผู้บัญชาการทหารบก 12 คน ประกอบด้วย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ, พล.อ.สุจินดา คราประยูร, พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี, พล.อ.วิมล วงศ์วานิช, พล.อ.ประมณฑ์ ผลาสินธุ์, พล.อ. เชษฐา ฐานะจาโร, พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์, พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์, พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

จึงอาจกล่าวได้ว่า ผบ.ทบ.ทั้งหมดเธอรู้จักเป็นอย่างดี แต่บุคคลที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นในฐานะแหล่งข่าว เห็นจะเป็น พล.อ.ประมณฑ์ ผลาสินธุ์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยเจ้าตัวเล่าว่า “ที่สนิทเพราะท่านเป็น ลูกทุ่งคุยง่าย ยิ่งท่านสนธิจะสนิทกับนักข่าวทุกคน โทร.หาก็รับตลอด พอโทร.ไปถามอะไรท่านจะตอบทุกเรื่อง นักข่าวโทร.หาเป็นสิบๆ สาย ท่านจะรับเอง ก่อนที่ท่านอนุพงษ์จะได้เป็น ผบ.ทบ. ก็ค่อนข้างสนิท แต่พอท่านเป็น ผบ.ทบ. เลยต้องระวังตัวมากขึ้น

“ท่านอนุพงษ์ถือเป็น ผบ.ทบ.ที่ดุที่สุด เป็นคนโมโหร้าย แต่หายเร็ว เรียกว่าโกรธง่ายหายเร็ว ถ้าสนิท อารมณ์ คำพูดก็จะเป็นพ่อขุนรามหน่อย ท่านจะชอบพูดเอ็ง ข้า มึง กู แต่พูดถึงภาพลักษณ์หรือภาพรวมค่อนข้าง จะเป็นคนดี ยิ่งปัจจุบันไม่รู้จะวางตัวยังไง จริงๆ ต้องเข้าใจว่าบทบาททหารกับการเมือง ยากที่จะแยก ออกจากกัน สังเกตได้ว่ายุคหลังปฏิวัติที่ผ่านมา กองทัพจะแยกออกจากการเมือง ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะรัฐบาลปัจจุบันเกิดขึ้นจากการพลิกขั้วของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีทหารช่วยประสาน จึงมีคนมองว่า รัฐบาลชุดนี้มีความใกล้ชิดกับกองทัพ” วาสนากล่าวในฐานะผู้สื่อข่าวที่คลุกคลีกับกองทัพมายาวนาน


// “วาสนา-ทักษิณ ” เหมือนเสือพบสิงห์

นอกจากความคุ้นเคยกับบรรดานายทหารที่มีทั้งชื่นชมและเกลียดชัง บางครั้งเธอก็ถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชิงชังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “กับทักษิณเป็นอะไรที่ซัดกันบ่อยๆ จริงๆ ก็ไม่ได้ว่าซัด แต่เจอหน้ากันบ่อยๆ ไม่มีความประทับใจ มารู้ตอนหลังหมวดเจี๊ยบ (ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต) ไปสัมภาษณ์ทักษิณ มีช่วงหนึ่งคุยถึงเรา หมวดเจี๊ยบเล่าว่าทักษิณพูดถึงว่า วาสนารึ คนนี้เขาเป็นเด็ก พล.อ.สุรยุทธ์ ใกล้ชิดจนโดนครอบงำความคิด มีอะไรเขาเชื่อฟังฝ่ายท่านสุรยุทธ์หมด วาสนาไม่ชอบผมหรอก อาจเป็นไปได้ที่เราเขียนหนังสือถึงท่านสุรยุทธ์ที่เป็นแก๊งเดินป่า เลยเอาแง่มุมต่างๆ เอามาเขียน พ็อกเกตบุ๊ก ทักษิณหรือคนอื่นต่างมองว่าเราเป็นเด็ก พล.อ.สุรยุทธ์ ทั้งที่จริงๆ มันไม่ใช่เลย

“พอท่านสุรยุทธ์กลับไปรับตำแหน่งเป็นองคมนตรี จะโทร.คุยเหมือนสมัยก่อนไม่ได้ ต้องนัดกันเป็นเรื่องเป็นราว เราเป็นนักข่าวสายทหารจะชอบเขียนเรื่องของทหาร ไม่เคยคิดที่จะเขียนเรื่องของทักษิณเลย ถ้าเขียนก็คงเขียนเกี่ยวกับเพื่อนรุ่น 10 เล่าให้ฟังเท่านั้น ด้วยความสัมพันธ์ทักษิณ ไม่ค่อยชอบหน้าเราอยู่แล้ว เขามองว่าเราเป็นพวกทหาร ทำยังไงทักษิณก็ไม่เปิดใจรับเรา” เธอกล่าวราวกับเป็นการตัดพ้อกลายๆ

// “วาสนา” เป็นคนเสื้อแดง?

กระทั่งในเวลาไล่เลี่ยกัน วาสนา ได้เขียน “ลับ ลวง พราง ภาคพิศดาร” พร้อมกับเขียนคำนิยมให้หนังสือ หมวดเจี๊ยบ “ทักษิณ ARE YOU OK?” จนมีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง “จริงๆ มีคนพูดว่าเราเป็นคนเสื้อแดงเยอะมาก ก่อนที่จะเขียนต้องย้อนกลับไปเล่มแรก ‘ทักษิณ WHERE ARE YOU?’ พี่กับน้องนักข่าวอีกคนสนับสนุนให้หมวดเจี๊ยบไปทำ เราถอยออกมาเรื่องสี แต่มองว่า คนสนใจว่าตอนที่ทักษิณหนีการปฏิวัติ ไปอยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตยังไง เรามองในแง่นักข่าว แล้วเราเข้าไม่ถึง แต่หมวดเจี๊ยบอยากไปสัมภาษณ์ เพราะมีช่องทางในการติดต่อ เราต่างเชียร์ให้ไปเลยจะได้รู้ว่าทักษิณ ใช้ชีวิตในต่างแดนยังไง”

นั่นจึงเป็นผลงานที่สร้างความฮือฮาให้กับนักข่าวรุ่นน้อง และทำให้คนในสังคมรู้ว่า อดีตนายกฯ ใช้ชีวิตอย่าง หรูหราในลอนดอน และไม่อนาทรร้อนใจใดๆ ที่สำคัญยังพร้อมจะต่อสู้เพื่อกลับคืนสู่อำนาจ แต่นั่นยังไม่เท่าผลกระทบที่หมวดเจ๊ียบได้รับคือการถูกบีบจากกองทัพ และตีตราว่าเป็นคนของทักษิณ ดังนั้นในฐานะรุ่นพี่ที่สนับสนุนจึงต้องขอมีส่วนรับผิดชอบ

“พอหมวดเจี๊ยบเขียนเล่มสองเลยช่วยน้องเรื่องข้อมูลและประเด็น แต่มีข้อตกลงกับหมวดเจี๊ยบว่า หนังสือเล่มนี้เนื้อหาส่วนใหญ่อาจเป็นบวกกับทักษิณ เราต้องมีแง่มุมในเรื่องที่ทักษิณไม่อยากตอบ แต่ต้องถามคือ เรื่องหย่า เรื่องลีเดีย เรื่องผู้หญิง แล้วก็เรื่องของการใช้ชีวิตที่สุขสบาย เชื่อไหมว่าคนที่ อยู่อีกฝ่ายไม่มีใครคบเจี๊ยบเลย มีแค่น้องนักข่าวอีกไม่กี่คนที่ยังคบกัน เรายิ่งสงสาร เพราะมีส่วนทำให้ชีวิตน้องเป็นแบบนี้ พอมาทำเล่มสองก็เลยช่วยเขียนคำนิยมให้

“มีคนเตือนเหมือนกันว่า เจี๊ยบเป็นฝ่ายทักษิณ ทำไมยังไปคบอยู่ อยากบอกว่าเจี๊ยบก็เป็นน้อง พอเป็นคนของทักษิณ เป็นเสื้อแดงไม่คบก็ไม่ใช่ คือความเป็นพี่น้องยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าคุณเป็นเสื้อแดง จะเป็นพี่น้องไม่ได้ หรือต้องคบเฉพาะเสื้อเหลืองมันก็ไม่ใช่ คิดว่าเราเองไม่ได้อยู่สีไหน แต่คนจะยัดเยียดว่า เราสนิทกับเจี๊ยบ แล้วขุดคุ้ยเรื่องของการปฏิวัติเข้าทางทักษิณเหมือนเราเป็นสีแดง มันก็ไม่ใช่ สังคมมันผลักไสคนมากเกินไป ให้คนเขาอยู่ตรงกลางแบบไม่เลือกข้างบ้างน่าจะดีกว่าไหม” เธอกล่าวน้ำเสียงจริงจัง

//เบื้องหลังปฏิวัติ…เพื่อเป็นบทเรียน

ความเป็นกลางเพื่อให้เกิดความรักความสามัคคีของคนไทยในประเทศ น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ ของการเขียนหนังสือ ลับ ลวง พราง ไม่ว่าจะเป็นภาคไหนๆ ก็ตาม โดยเธอย้ำว่า ต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ให้ มีการปฏิวัติเกิดขึ้น และอยากให้ทุกคนได้เห็นบทเรียนที่ผ่านมาอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติ

“ตั้งแต่บ้านเมืองเราเปลี่ยนการปกครอง มีการปฏิวัติมาแล้ว 17 ครั้ง ฉีกรัฐธรรมนูญไปกี่ครั้งแล้ว ที่สุดยังวนอยู่แบบนี้ ทหารต่างเข้าไปมีบทบาททางการเมือง เรามองว่าการปฏิวัติส่วนใหญ่จะสำเร็จ พอสำเร็จก็มีการวางฐานอำนาจมาตลอด ฉะนั้น ถ้าตรวจสอบการปฏิวัติให้มองจุดอ่อน หรือข้อไม่ดีของการปฏิวัติ ในสถานการณ์หนึ่งอาจมีคนชื่นชมการปฏิวัติมันแก้ปัญหาได้ ที่เกิดจากการเกลียดชังผู้นำที่ทุจริตคอร์รัปชัน การปฏิวัติจึงกลายเป็นทางออกอย่างหนึ่ง

“กรณีทักษิณ มีอำนาจเบ็ดเสร็จมาก มีเงิน มีทุกอย่าง ไม่มีใครสามารถล้มได้ เหมือนไม่มีทางอื่นแล้ว ที่สุดก็ต้องปฏิวัติ การปฏิวัติในสถานการณ์หนึ่งน่าจะเป็นทางออกอย่างหนึ่ง หากย้อนกลับไปจะเห็นว่า ถ้าเกิดอะไรลึกๆ ทหารจะถูกเรียกให้มายุติปัญหา คิดแบบนี้เมื่อไหร่บ้านเมืองจะพัฒนา พอปฏิวัติต่างชาติ ไม่มีใครเอาเลย ปัจจุบันการจัดซื้อรถหุ้มเกราะจากยูเครน เดิมกองทัพบกสั่งซื้อเครื่องยนต์จากเยอรมนี ช่วงนั้นเป็นรัฐบาลปฏิวัติ ทางเยอรมนีไม่ยอมขายเครื่องยนต์ให้กับไทย ทำให้ต้องไปหาเครื่องจากอเมริกา นั่นเป็นการสะท้อนว่าสังคมโลกไม่ยอมรับการปฏิวัติ”

โดยเฉพาะเบื้องหลังของการปฏิวัติที่ส่งผลกระทบความน่าเชื่อถือที่ลดน้อยลง “ประเด็นหลักที่มาเขียนเบื้องหลังปฏิวัติ เพื่อต้องการให้คนได้รู้ทุกแง่ทุกมุมของปฏิวัติ โอเคในแง่ดีมันเป็นการ แก้ปัญหาหนทางหนึ่ง หรือแสดงถึงการวางแผนที่สุดยอดของผู้นำทหาร โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามที่ทักษิณเป็น ผู้นำรัฐบาลไม่รู้เลยว่าจะถูกปฏิวัติ จากแผนกลยุทธ์ลับลวงพรางของท่านสนธิ ในมุมหนึ่งต้องการให้ทุกคน เห็นว่า การปฏิวัติไม่ใช่สิ่งที่บริสุทธิ์ แต่มีเรื่องของผลประโยชน์ เช่น เงินทุนในการปฏิวัติ มีข่าวว่ามีคนจากหลาย ฝ่ายที่ไม่ชอบทักษิณ มีเรื่องของเงินปฏิวัติที่มาไม่โปร่งใส ใครเอาไปทำอะไรยังไงบ้าง พอปฏิวัติเสร็จก็มี การเบิกงบจากรัฐบาลอีก อดมองไม่ได้ว่าเป็นการหาผลประโยชน์จากการปฏิวัติ แต่ถ้าทำเพื่อช่วยบ้านเมือง จริงๆ เราก็สรรเสริญเช่นกัน” เจ้าของพ็อกเกตบุ๊กเลื่องชื่อ กล่าวทิ้งท้ายได้น่าสนใจ พร้อมกับเผย ถึงอนาคตอันใกล้ที่เธอกำลังเตรียมพร้อมสู่การเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ รวมถึงผลงาน “ลับ ลวง พราง” ภาค พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กับเบื้องหลังการยิงถล่ม “สนธิ ลิ้มทองกุล”

ซึ่งทั้งหมดคือแง่มุมแบบ Unseen Unheard ของผู้สื่อข่าวสายทหาร วาสนา นาน่วม ที่ยอมสลัดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบ มาสวมใส่ชุดสวยหลากสไตล์โพสท่าในแบบที่คุณหรือใคร ต่างก็ต้องอึ้งและทึ่งไปตามๆ กัน…