จากนายแบบ...สู่พ่อค้าอาหารเหนือ”เจียงฮาย” “แมค” กฤษณพล ชะฟู สูตรความสำเร็จ “ขยันอดทน”
CHANGE Inspiration เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : ประเสริฐ เทพศรี
จากนายแบบ...สู่พ่อค้าอาหารเหนือ”เจียงฮาย”
“แมค” กฤษณพล ชะฟู
สูตรความสำเร็จ “ขยันอดทน”
ชีวิตลูกชาวนาที่ไม่เคยยอมแพ้ ของ “แมค” กฤษณพล ชะฟู ก้าวสู่อาชีพนายแบบโฆษณา-พิธีกร-วีเจ จากนั้นผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าอาหารเหนือ”เจียงฮาย” ภายใต้แบรนด์ ไส้อั่วแมค-น้ำพริกหนุ่มแมค ส่งขายไปได้ไกลที่ตลาดดูไบ-ซิดนีย์ และเผยสูตรความสำเร็จ “ขยันอดทน”
“ผมไม่ใช่คนแรกที่ประสบความสำเร็จ และผมไม่ใช่คนแรกที่อยากจะสำเร็จ” เพราะทุกๆคนล้วนอยากจะสำเร็จในทุกๆอย่างที่เราทำ อยากก้าวหน้า อยากเติบโต ผมแค่อยากจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากจะลงมือทำอะไรสักอย่างแต่ยังไม่รู้จะเริ่มทำอะไร“ นี่เป็นประโยคบอกเล่าให้ทุกคนอย่ายอมแพ้ก่อนเริ่มต้นสัมภาษณ์ ของ “แมค” กฤษณพล ชะฟู อายุ 35 ปี
-ชีวิตลูกชาวนาที่ไม่เคยยอมแพ้
“แมค” เรียนจบด้านการศึกษาสำนักวิชาศิลปะศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย “ผมเป็นคนจังหวัดเชียงราย พื้นเพที่บ้านค่อนข้างฐานะจน พ่อแม่ผมทำนาและทำกับข้าวถุงขายที่ตลาดเช้าของชุมชมในหมู่บ้าน ผมจำได้ว่าตอนนั้นแม่ทำหลายอย่างมาก เช่น ไข่ลูกเขย ข้าวต้ม ข้าวผัด ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ไข่พะโล้ ราคาที่ขายถุงละ 5 บาท แต่ถ้าส่งให้พ่อค้าแม่ค้าคนกลางราคาจะอยู่ที่ 3 บาท วันหนึ่งได้กำไรไม่เท่าไหร่ หน้าที่ของผมกับพี่สาวคือทุกๆวันหลังเลิกเรียนต้องมัดถุงน้ำจิ้มข้าวมันไก่กับข้าวหมูแดง แกะไข่ต้ม เพื่อเตรียมขายในเช้าอีกวัน และทุกๆตี4 ผมกับพี่ต้องสลับกันตื่นเพื่อมาช่วยแม่ใส่น้ำซุปเป็นถุงๆ ยกหม้อกับข้าวใส่รถเข็นแล้วผมก็เข็นไปที่ตลาด และยิ่งช่วงไหนเป็นฤดูหนาวคือไม่อยากตื่นเลย และชีวิตก็เป็นแบบนี้ทุกวัน แต่แม่สามารถทำอาชีพนี้ส่งให้ผมกับพี่สาวเรียนจบมหาวิทยาลัยได้
“ชีวิตในมหาวิทยาลัยคือตอนนั้นมีระบบเอ็นทรานซ์ซึ่งเป็นปีสุดท้าย ผมขอแม่ว่าอยากไปเรียนที่กรุงเทพฯ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตอยู่แต่เชียงรายมาตลอด ช่วงปีนั้นมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเปิด แม่ขอให้ผมไปสมัครยื่นคะแนนเอ็นทรานซ์ ถ้าติดก็ขอให้เรียนที่นี่ เพราะแม่ไม่อยากให้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ ผมก็เลยมายื่นคะแนนที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยยื่นในสำนักวิชาการจัดการที่ต้องใช่คะแนนวิชาคณิตศาสตร์สูงๆ ซึ่งผมไม่เก่งเลขเลย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเรียน ผลปรากฏว่าคะแนนไปติดสำนักวิชาศิลปศาสตร์ ผมเลยต้องเลยแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่เพราะใจอยากไปไกลๆอยากใช้ชีวิตใหม่ๆบ้าง”
-ทำงานพาร์ทไทม์-กู้เงิน (กยศ.) เพื่อเรียนมหาวิทยาลัย
“ผมก็ทำงานส่งตัวเองเรียนมาตลอดบวกกับกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพราะแม่ให้แม่แค่อาทิตย์ล่ะ 500 บาท ทำงานหลายอย่างมากตอนนั้น ที่จำได้ ทำตักปลาตามงานวัด เพาะหนูแฮมเตอร์ขาย ไปเสิร์ฟอาหารในโรงแรม และมีทำงานพาร์ทไทม์ (Part-time Jobs) ขายจานดาวเทียวของทรูที่ติดตามบ้าน พอเรียนจบช่วงฝึกงานก็เลือกมาฝึกที่กรุงเทพฯ เลือกบริษัทที่ให้เบี้ยเลี้ยง ตอนนั้นผมเลือกฝึกงานที่ บริษัท Dekaveiw เป็นออแกไนซ์ ในช่วงฝึกงานก็ได้มีโอกาสทำพริตตี้บอยกับเอ็มซีไปด้วย เพราะพี่เจ้าของบริษัทอยากให้ลองทำ พอฝึกงานจบก็เรียนจบพอดี ผมเลยไปขอแม่ออกมาหางานทำที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นเช่าห้องอยู่กับเพื่อนแถวประตูน้ำ สมัครงานเท่าไรก็ไม่ได้สักที จนเงินที่มีอยู่ก็จะหมด แต่ช่วงนั้นเรียกว่าผมแย่สุดๆ คือมีวันหนึ่งไปสมัครงานแล้วเกิดหิวข้าวมากๆ ผมจำได้ขึ้นใจเลยว่าระหว่างนั่งรถเมล์ 73 ก. จากประชาสงเคราะห์มาลงตรงราชปรารภ เห็นถุงข้าวเหนียวหมูปิ้งที่คนกินเหลือเสียบตรงหลังเบาะ เลยขโมยหยิบมา พอลงรถก็เอามากินคืออร่อยมากๆ แล้วผมก็พูดกับตัวเองว่า ชีวิตมันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ ไหนๆชีวิตได้มาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว สุดท้ายเลยตัดสินใจไปรับเสื้อยืดที่ประตูน้ำมาขายแบบตัวละ 100 ผมต้องแบกขึ้นรถเมล์แล้วเอามาขายแบบแบกับดินที่ตลาดนัดจตุจักรทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ราคาที่ขายตัวละ 250 บาท”
-ก้าวสู่อาชีพนายแบบโฆษณา-พิธีกร-วีเจ
“ทุกคืนวันศุกร์ผมก็จะแบกไปขายที่ตลาดกลางคืน ตรงที่มีซอกว่างๆ ซึ่งไม่ค่อยมีคนเดินมาถึง แต่ถึงมีคนก็น้อยมาก บางทีก็มืดไม่มีที่ประจำเพราะผมเป็นคนขายจร ก็ทนขายอยู่แบบนั้นตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตี5 พอจะเช้าร้านค้าเค้าจะเปิดผมก็รีบเก็บของกลับมานอน พอตกเย็น บ่าย 4-5โมง ผมก็แบกถุงเสื้อมายืนรอตามหน้าร้าน เพื่อรอร้านเค้าปิดผมจะได้วางแบกับดินขายได้ จริงๆก็ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ผมทนทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่างน้อยไม่ต้องขอเงินที่บ้านเพิ่ม จนมีเงินที่สามารถเช่าหอเองได้ เลยขอแยกตัวออกมาจากเพื่อน ในระหว่างที่ขายเสื้ออยู่เกือบๆปี ก็เจอโมเดลลิ่งให้นามบัตร บอกว่าไปถ่ายรูปแคสโฆษณาให้หน่อย ตอนนั้นก็กลัวโดนหลอกนะ ผมเลยชวนเพื่อนไปด้วย ปรากฏว่าได้ถ่ายโฆษณาชิ้นแรกได้เงินมาก้อนหนึ่งหลายหมื่น ผมดีใจมากๆ ทำให้วันจันทร์ถึงศุกร์ผมก็ไปรับแคสงาน ส่วนเสาร์ อาทิตย์ถึงได้มาขายเสื้อได้ ผมทำแบบนี้จนมีโอกาสได้มาทำด้านอื่นๆ ซึ่งตอนนั้นมีงานเข้ามามากขึ้น จากแคสโฆษณา ก็มาเป็นพิธีกรประจำช่องทีวีเคเบิ้ล เป็นวีเจ ถ่ายเอ็มวี ทำแบบนี้มาเรื่อยๆจนอายุ 30 เลยคิดว่าเรามีรายได้แบบนี้ไม่โอเค เลยอยากหาอะไรทำดีกว่า”
-พ่อค้าไส้อั่ว-น้ำพริกหนุ่ม
“ผมคิดอยู่นานมากว่าจะไปเริ่มต้นทำอะไรดี อยู่มาวันหนึ่งผมไม่สบายรู้สึกอยากกินอาหารเหนือเอามากๆ ทำให้ผมคิดถึงบ้านมากๆ แต่ก็หากินไม่ได้ ผมเลยต้องมาทำกินเอง เลยมีความคิดแวบขึ้นมาว่า แล้วคนเหนือที่อยู่ไกลบ้านแบบผม เวลาเค้าอยากกินอาหารเหนือ เค้าจะทำยังไง ผมลองเลยโพสในเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า ถ้าคิดถึงอาหารเหนือ ทุกคนคิดถึงเมนูอะไรเป็นอันดับแรก มีเพื่อนๆต่างมาเม้นท์ว่า ไส้อั่ว จากนั้นผมก็โพสต่อว่า แมคจะกลับเชียงรายใครอยากไส้อั่วอร่อยๆทักมานะครับ แมครับหิ้ว ซึ่งผมจะไปรับไส้อั่วจากญาติที่ทำขายอยู่มามาขายต่อ ในที่สุดคนส่วนใหญ่ก็จะจำว่า ไส้อั่วจากแมค ผมทำแบบนี้อยู่พักใหญ่ๆ ทำให้ผมเห็นพฤติกรรมลูกค้าว่า คนสั่งซ้ำๆ เลยมองว่า ถ้าเรามีรายได้จากตรงนี้อีกทาง ควบคู่กับการแคสงานไปด้วยคงจะดี
“ตอนนั้นผมคิดใหญ่และตั้งใจว่าไส้อั่วจากเชียงรายต้องมีขายที่กรุงเทพสิ คนเหนือที่มาทำงานที่กรุงเทพจะต้องได้กินของอร่อยจากบ้าน เค้าจะได้หายคิดถึงบ้าน ผมเลยคิดทำแบรนด์เป็นของตัวเอง ตั้งชื่อง่ายๆตามที่คนเคยจำเราได้ว่า ไส้อั่วแมค พร้อมทั้งทำเพจ และขายแต่ไส้อั่วอย่างขายออนไลน์คือ ผมเอาของญาติมารีแบรนด์เป็นของผมแล้วนำมาตีตลาดกรุงเทพฯ ผมคิดแค่ว่าเราจะขายคนเหนือที่มาทำงานที่กรุงเทพ ยังไงๆคนเหนือต้องอยากกินไส้อั่ว แต่เกินคาด กลายเป็นว่า ขายดีมากจนลูกค้าถามถึงอาหารเหนือเมนูอื่นๆ ตามมา
“ผมเลยต่อยอดมาเป็นน้ำพริกหนุ่ม ตั้งชื่อว่า น้ำพริกหนุ่มแมค มากิ๋นน้ำพริกหนุ่มกั๋นครับ จะได้น่าฮักเหมือนหนุ่มเหนือ ตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้าคนจำไส้อั่วแมคแล้ว ถ้าทุกคนอยากกินน้ำพริกหนุ่มจะต้องนึกถึงน้ำพริกหนุ่มแมค จากนั้นมาทำให้ผู้คนได้เข้ามาสั่งกัน จากที่ตั้งใจว่าจะขายให้คนเหนือในกรุงเทพฯ ก็มีลูกค้าจากจังหวัดอื่นเข้ามา ผมเลยทำเป็นไส้อั่วเป็นแพคสุญญากาศเพื่อที่จะส่งไปต่างจังหวัดได้โดยไม่เสียและทำน้ำพริกหนุ่มก็แบบกระปุก เพื่อส่งขายทั่วประเทศ”
-ไส้อั่วแมค-น้ำพริกหนุ่มแมค ทยานสู่ตลาดดูไบ-ซิดนีย์
“ผมขายแบบนี้อยู่พักใหญ่ๆ จนลูกค้าเริ่มน้อยลง หรืออาจเป็นเพราะไม่มีใครจะสั่งไส้อั่วกินได้ตลอด ผมจึงพยายามคิดใหม่ว่าจะทำยังไงต่อดี สร้างเพจขึ้นมาแล้วมีลูกค้าขนาดนี้จะหยุดขายเหรอ แล้วผมจะทำยังไงดี แต่โชคดีมีเพื่อนไปแต่งงานที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ผมเลยส่งตัวน้ำพริกหนุ่มไปให้ เพื่อนบอกว่าอร่อยมาก ผมเลยได้มีโอกาสส่งน้ำพริกหนุ่มแมค ไปฝากขายที่ร้านไทยที่ไทยทาวน์ จากนั้นผมก็ส่งน้ำพริกหนุ่มไปขายที่ซิดนีย์ ดีใจมากๆ เราส่งน้ำพริกหนุ่มไปได้ แต่ในใจผมก็คิดว่า ถ้าเป็นไส้อั่วไปคงจะดี ในขณะที่นั่งคิดจนจิตตก ผมก็เห็นกลุ่มในเฟสบุ๊ค เป็นกลุ่มคนไทยในต่างแดน เลยคลิกเข้าไปดู ก็เห็นว่าคนไทยยังไงก็อยากกินอาหารไทย ผมเลยโพสทิ้งไว้ว่า ตอนนี้ที่ไทยมีไส้อั่วแมคกับน้ำพริกหนุ่มแมคขาย เจ้านี้อร่อยมากๆ ใครกลับไทยต้องหิ้วไปนะ ใช้คำว่าโพสทิ้งไม่หวังผล เวลาผ่านไปหลายเดือน มีลูกค้าติดต่อมา บอกว่าสนใจไส้อั่วจะเอาไปขายที่ นครรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คือผมก็ตกใจมาก มาได้ยังไงที่ผมจะได้มีโอกาสส่งไส้อั่วและน้ำพริกหนุ่มไปขายที่ดูไบ
“จากเด็กที่ขี้เกียจตื่นตอนเช้าเพื่อช่วยแม่ขายของในวันนั้น กลับต้องมาใช้วิชาความขยันและอดทนของแม่มาสร้างตัวในวันนี้ จากเพจไส้อั่วแมค อาหารเหนือเหนือเชียงราย ก็มีโอกาสออกรายการทีวีอย่างเทยเที่ยวไทย และรายการแฉ ทำให้มีออร์เดอร์มากขึ้นหลายเท่าตัว จนทุกวันนี้ผมได้ต่อยอดเป็นการทำอาหารเหนือโฮมเมด ปรุงสดใหม่ขายออนไลน์ส่ง ทั่ว กรุงเทพฯ มีทั้งส่งให้จากแกร็บ และบางส่วนตัวผมก็ส่งเอง ซึ่งอาหารที่ผมทำจะเป็นอาหารเหนือสูตรเชียงราย โดยวัตถุดิบส่วนใหญ่แม่จะส่งมาจากเชียงรายแล้วผมมาปรุงเอง มีหลากหลายเมนูเช่น ลาบคาว ยำจิ้นไก่ น้ำเงี้ยว ตำขนุน หมูยอนึ่ง น้ำพริกอ่อง แล้วมีเมนูตามฤดูกลายหรือลูกค้าอยากกิน เช่น ตำมะเขือ จอผักกาก แกงโฮ๋ะ แกงหน่อ ยำหย่อใสน้ำปู ตำผักเฮือก แกงแคไก่ คั่วหน่อไม้
“นอกเหนือจากทำอาหารเหนือขายแล้ว ที่บ้านผมก็มีสวน ผมก็เอาผลผลิตจากในสวนมาแปรรูปเช่นกล้วยที่ออกเยอะมากจนกินไม่ทัน มาทำเป็นรายได้เสริมอีกทางคือ กล้วยแมค เป็นกล้วยจากสวนปลูกแบบไม่มีสาร หวานธรรมชาติ
แล้วยังมีผลผลิตจากชายบนดอยอย่าง ชายอดน้ำค้างและน้ำผึ้งป่าที่ให้ชาวบ้านเข้าไปหาให้ เป็นน้ำผึ้งดิบแท้ๆ ไม่ผ่านกระบวนการใดๆ หายากมาก มาทำเป็นแบรนด์ Tealaxingstory ทุกอย่างผมขายออนไลน์หมดเลย”
-สูตรความสำเร็จ “ขยันอดทน”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของ “แมค” กฤษณพล ชะฟู ที่กว่าจะประสบความสำเร็จได้ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ “ผมจะบอกกับตัวเองเสมอว่า ผมเกิดเป็นลูกชาวนาต้องขยันมากกว่าคนอื่นและต้องอดทนมากกว่าคนอื่นเสมอ ไม่มีอะไรที่เราลงทุนแล้วไม่ได้อะไรกลับมา ต้นทุนด้านการเงินเรามีน้อยแต่ต้นทุนความขยันผมมีมาก ผมจึงต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์มากที่สุด คนเก่งเราไม่กลัว ผมเอาความขยันและความอดทนมาสู้กับอุปสรรค และจะไม่สู้จนเหนื่อยจะสู้แค่ไหว แล้วเก็บแรงไว้สู้อีก ผมคิดว่า ที่ไหนมีความพยายามที่นั้นมีความสำเร็จเสมอครับ”