ฉากชีวิตที่เลือกเอง... ศิริลักษณ์ ผ่องโชค “ขอทำหน้าที่ปกป้องสถาบันฯ”

ฉากชีวิตที่เลือกเอง... ศิริลักษณ์ ผ่องโชค “ขอทำหน้าที่ปกป้องสถาบันฯ”

 

 

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง • ภาพ : ชวกรณ์ สะอาดเอี่ยม
แต่งหน้า : วิโรจน์ ชมแค • ทำผม : วรพงษ์ พลเวียงคำ 
 สถานที่ : โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์


ฉากชีวิตที่เลือกเอง...
ศิริลักษณ์ ผ่องโชค “ขอทำหน้าที่ปกป้องสถาบันฯ”

ผลกระทบจากการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ และมีปัญหาทางช่อง 3 กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้นางเอกสาวหยุดการแสดง
ยอมรับทุ่มเทกับงานจนลืมใส่ใจตนเองและสังคม แต่ยืนยันจากวันนี้เป็นต้นไปขอทำงานรับใช้และปกป้องสถาบันฯ


นางเอกชื่อดัง จอย-ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปนานพอสมควร แต่ปีที่ผ่านมาหลายคนคงได้ฟังเพลงพระราชนิพนธ์ อาทิตย์อับแสง (Blue Day) ที่เธอขับร้อง นำมาประกอบละครสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายรณพีร์ วันนี้ได้มาเปิดใจกับ นิตยสาร เชนจ์ อินทู ในทุกประเด็นกับการวางแผนชีวิตเรียนปริญญาเอก เพื่อเป็นนักวิชาการหรืออาจารย์ด้านการบริหารงานยุติธรรม


//วางแผนชีวิต “นักวิชาการ”


คุณจอยจบปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดงและกำกับการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และปริญญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ สาขาการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวางแผนในอนาคตศึกษาต่อปริญญาเอกอย่างที่ตั้งใจ


“ระหว่างที่ถ่ายละครเรื่อง ตลาดอารมณ์ ทางช่อง 5 ก็เรียนปริญญาโทที่ธรรมศาสตร์ พอเรียนจบมีแผนอยากเรียนอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรมต่อ แล้วการที่จะเรียนต่อจะต้องมีความพร้อมที่จะสอบเข้า ในบ้านเรายังเปิดสาขานี้ค่อนข้างน้อย ก็มองเอาไว้ว่าจะสมัครสอบเข้าเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยมหิดล จังหวะที่จะไปสอบเข้าตามที่ตั้งใจยังมีเวลาว่างอยู่ 1 ปี จึงไปเรียน Anti-Aging คือ วิทยาศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ อยู่ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

“พอดีวิชาที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษ ก็ทำให้เราได้ใกล้ชิดกับภาษาด้วย แล้วคนที่มาเรียนตรงนี้ต้องจบแพทย์หรือสายวิทย์ เราเรียนปริญญาตรีและปริญญาโทก็ไม่ได้จบสายวิทย์เลย แต่ทางสำนักวิชาฯ ก็เปิดให้คนที่สนใจสมัครสอบเข้าไปเรียนได้ ตรงนี้ที่เรียนก็เป็นหลักสูตรปริญญาโทเหมือนกัน เพราะสนใจเรื่องสุขภาพเลยลงเรียนเฉพาะรายวิชา 1 ปี ไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์ในปีที่ 2 ไม่ได้ต้องการใบปริญญาโท แต่จบก็จะได้ใบประกาศรับรอง


“ก่อนที่จะมาเรียนตรงนี้ก็สนใจในเรื่องของสุขภาพค่อนข้างสูง ทำยังไงถ้าต้องการสุขภาพดี ไม่อยากกินยา เราอาจกินวิตามินเสริมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ลดอาการต่างๆ เช่น ระบบกระเพาะ ลำไส้ ปวดหัว ภูมิแพ้ หรืออาการซึมเศร้า ซึ่งอาการบางอย่างอาจเป็นเพราะเราขาดวิตามินบางตัว นอกจากนี้ใช้เพื่อลดอาการข้างเคียงจากยาบางอย่างด้วย และตรงนี้ถ้าเราพอมีความรู้ก็จะช่วยให้เราสามารถดูแลตัวเองได้โดยหลีกเลี่ยงการกินยา ทุกวันนี้คอยนำเสนอให้คุณพ่อคุณแม่ อย่างคุณพ่อมีภาวะเสี่ยงต่อเบาหวาน การที่จะให้วิตามินอะไรก็ต้องดูว่าจะกระทบกับตัวยาที่หมอให้หรือเปล่า ต้องเรียนรู้และปรับใช้ด้วยความระมัดระวัง แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน

“คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนให้เรียนมาตลอด แต่พอจะเรียนปริญญาเอก ท่านกลัวลูกจะเครียดเลยบอกว่าไม่ต้องเรียนก็ได้ (หัวเราะ) เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เรียนเพื่อเอาความรู้ เหนื่อยเกินไปก็พัก แต่ถ้าเรียนสำเร็จก็จะเป็นกำไร ที่มาเลือกเรียนอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม เพราะเห็นสังคมไทยมีปัญหามากเรื่องความเป็นธรรมทั้งสังคมระดับใหญ่และระดับย่อย ก็คิดว่าถ้าเรามีความรู้ด้านนี้มันจะช่วยสร้างความเป็นธรรมและลดความขัดแย้งได้ตั้งแต่แนวคิดของตัวเอง การที่เรารู้สึกหรือเราใช้พื้นฐานทั่วไปในการคิดมันอาจไม่ถูกเสมอไป มันอาจต้องมีหลักวิชาการเข้ามาทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า ระบบมันเป็นยังไง พันธกรณีระหว่างประเทศเป็นยังไงและวิถีไทยเป็นยังไง จะได้คลายความสงสัยของตัวเอง จะได้เห็นว่าปัญหาอยู่ตรงไหน จะช่วยพัฒนาไปได้ยังไง

“การที่เรียนแล้วจบเป็นดอกเตอร์ ตรงนี้จอยยังไม่ได้หวังอะไรเลย แต่มันเป็นขั้นที่เราจะได้รู้ลึกขึ้น สูงขึ้นเท่านั้น เพราะจอยสนใจงานอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรมอย่างจริงจังจึงกระโดด ขึ้นมาเรียน แม้เป็นคนที่ขยันเป็นพักๆ แต่เป็นคนที่อยากรู้ เมื่อบทบัญญัติกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นหลักของบ้านเมืองเรา แต่กลับมีเสียงหลายกระแสที่สั่นคลอนกระบวนการยุติธรรม ถ้ากระบวนการยุติธรรมไม่มั่นคง ประเทศก็แย่ สังคมก็แย่ตามไปด้วย อาจเป็นเพราะตัวเองเข้ามาใกล้กระบวนการยุติธรรมมากขึ้น ก่อนหน้านี้คิดว่าการเป็นคดีความเป็นเรื่องไกลตัวมาก แต่เมื่อต้องเข้าไปเกี่ยวข้องก็เห็นว่าขนาดเราพอมีความรู้บ้าง พูดอะไรแล้วพอจะมีคนฟังบ้าง เรายังต้องเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนและต้องแก้ปัญหา แล้วถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้ ไม่มีกำลังทรัพย์ คือขาดโอกาสมากกว่าเรา เขาคงแย่กว่าเรา แล้วทำยังไงดี ใครจะเข้ามาช่วยเขา เลยคิดว่าถ้าดูแลตัวเองและช่วยเหลือตัวเองได้แล้วก็อยากจะช่วยคนอื่นด้วยการแนะนำ เพื่อให้เขารู้ว่าเขามีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำอะไรได้ หรือเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมมีอำนาจอะไรที่ทำได้ และอะไรที่เกินขอบเขตหน้าที่”

//ทำหน้าที่ “ปกป้องสถาบันฯ”


ด้วยเหตุที่สนใจในกระบวนการยุติธรรม เกิดจากที่เธอได้ใช้สิทธิเสรีภาพร่วมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาตั้งแต่ปี 2549 แต่มิได้เปิดเผยตัวต่อสาธารณะ จนกระทั่งการชุมนุมในปี 2551 ก็ได้เปิดตัวบนเวทีด้วยการขึ้นร้องเพลง สยามเมืองยิ้ม

“ก่อนหน้านี้จอยก็ทำงานบันเทิงทั่วไป และไม่สนใจสังคม (หัวเราะ) คิดว่าทำบุญ ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสเหมือนที่คนอื่นๆ ทำก็คงเพียงพอแล้ว วันหนึ่งมีแฟนคลับนำแผ่นซีดีมาให้ฟัง พอฟังเสร็จก็คิดว่ามันมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริต คอร์รัปชั่น ฟังเสร็จก็วางไว้ เพราะตอนนั้นภารกิจค่อนข้างเยอะ แล้วผลงานกำลังประสบความสำเร็จสูง เราก็เลยพลาดที่ไม่ได้ใส่ใจ จนวันหนึ่งได้เข้าอินเทอร์เน็ต แล้วเห็นข้อความหมิ่นสถาบันฯ เป็นครั้งแรกที่เห็น รับไม่ได้ น้ำตาก็ไหลออกมาเอง มันบอกไม่ถูกว่า เสียใจ โกรธ มันหลายอารมณ์มาก แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือยอมไม่ได้ เพราะว่าเรื่องแบบนี้มาเกิดในบ้านเราได้อย่างไร และระบบมันไม่ทำงาน หน่วยงานบ้านเราไม่ทำงานใช่ไหมถึงยังมีข้อความปรากฏอยู่บนอินเทอร์เน็ต จึงคิดว่าจะต้องทำอะไรบ้างแล้ว ไม่ใช่แค่ความรู้สึก

“เลยมาสนใจว่ามีใครเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ก็เห็นมีกลุ่มพันธมิตรฯ กำลังเคลื่อนไหว พอใส่ใจเลยต้องออกไปหาความรู้เพิ่ม เพราะอยากรู้ข้อเท็จจริงเป็นยังไง คือเขาจะทำอะไร แล้วเป้าหมายจะไปยังไงกัน ตอบโจทย์ที่เราต้องการไหม แค่ตัวเราลำพังที่จะออกมาต่อต้านมันก็คงไม่ได้ พอได้เห็นคนออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่ทุกประเด็น เพราะทุกคนมีความคิดที่หลากหลาย พอไปฟังที่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ทำให้เราเห็นคนทุกระดับชั้น ทั้งเจ้าของธุรกิจ หรือบางคนไม่มีจะกินก็ต่างออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ บางคนไม่มีเงินยังต้องเอาทองไปขายเพื่อจะเดินทางมาชุมนุมกัน จึงได้เห็นความศรัทธาของพวกเขาที่ต้องการปกป้องสถาบันฯ เช่นกัน

“พอไปแล้วมีหลายคนมาบอกว่า น้องจอยขึ้นไปร้องเพลงหน่อย เรารู้สึกว่ามันก็ไม่แปลก ทำไมเราต้องร้องเพลงเพื่อแลกกับเงินเท่านั้น แต่ทำไมเราไม่ตอบแทนประชาชนด้วยความรู้สึก และอีกอย่างหนึ่งคิดว่าทำให้อารมณ์ความรู้สึกของผู้ชุมนุมเบาลง หรือปลดปล่อยความอัดอั้นบ้าง จอยก็เลยขึ้นไปร้องเพลง กระแสหรือผลกระทบมันเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ แล้ว เพราะไปก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็นข่าว ผลกระทบต้องตามมาแน่นอน ในขณะนั้นเราไม่เห็นด้วยก็ต้องมีฝ่ายตรงข้ามแน่ๆ ก็ตัดสินใจแล้วว่ามันต้องแลกอะไรหลายอย่าง อาชีพการงาน รายได้ ความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัว แต่มันไม่ต้องคิดเยอะ เพราะสิ่งที่เราทำเป็นการปกป้องสถาบันฯ เลยไม่ต้องคิดเยอะว่า ถ้าเราบอกว่าสละชีพเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ได้ ยังต้องมาคิดเรื่องเงิน หรือคิดว่าจะดังหรือไม่ดัง ใครจะจ้างงานไหมอีกหรือ

“แต่ที่น่าเสียใจก็คือว่า ในมุมที่เราแลกอะไรหลายๆ อย่าง กับการที่เราทำในสิ่งที่เราศรัทธา จอยเชื่อว่าคนหลายๆ รุ่นศรัทธาพระองค์ท่าน สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ ทรงทำเพื่อประชาชนมาเสมอ แต่จะมีคนมาพูดว่าที่เราทำอย่างนี้ เดี๋ยวจะไม่มีใครจ้าง เราก็ตอบกลับไปแบบน้ำเสียงที่ราบเรียบ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่จ้างก็ไม่จ้าง แล้วข่าวกลับไปลงว่า จอยกร้าว แรง ไม่จ้างก็ไม่ต้องจ้าง เราอ่านแล้วมันรู้สึกว่าอะไรกันเนี่ย ทำไมคุณต้องสร้างความขัดแย้ง สร้างความรุนแรงในการเคลื่อนไหวของประชาชน โดยไปโปรยข่าวที่แรงๆ กระทบจอยคนเดียวไม่มีปัญหา แต่เขาลืมไปหรือเปล่าว่าเวลาเขียนข่าวออกไปอย่างนั้นมันทำให้การใช้เสรีภาพของ ประชาชนดูรุนแรง แม้ตอนนั้นมีเรื่องของการทุจริตด้วยก็ตาม แต่เราก็มองว่าเรื่องทุจริตเป็นเรื่องที่เป็นกันทั่วโลก ตอนนั้นไม่ทันคิดว่าเป็นประเด็นใหญ่สำหรับเรา แต่เรายอมทุกอย่างเพื่อปกป้องสถาบันฯ เท่านั้น

“กระทั่งมีคดีปราสาทเขาพระวิหาร อันนี้จะเชื่อมโยงสถาบันฯ ทันที เพราะตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายที่เราอยู่กันมาได้ก็เพราะบุญคุณของพระมหากษัตริย์ของเราทุกพระองค์ แม้แต่ทหารเองก็ต้องรู้สึกว่าเพียงที่ดินตารางนิ้วเดียวก็ต้องรักษา เพราะต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อของบรรพบุรุษเรา จึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ยอมไม่ได้ เลยเป็นสองเรื่องที่จอยจริงจังมาก พอช่วงหลังมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล จากการที่ออกไปใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนคนหนึ่งก็ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ได้เห็นถึงการกระทำของคนหลายๆ แบบ ที่มันต่างกรรมต่างวาระ เราจะไม่บอกว่าเขาดีมาก หรือเขาไม่ดีเลย ก็ต้องแยกแยะนะว่าเขาอาจจะดีวันนั้น มาวันนี้เขาอาจไม่ดี มันต้องแยกเป็นประเด็น จนทำให้บางเรื่องที่จอยไม่เห็นด้วยก็อยู่นิ่งๆ และเรื่องที่เห็นด้วยบางเรื่อง ก็ยังไปสังเกตการณ์โดยไม่ติดเรื่องสี หรือกลุ่ม

“จอยยังเชื่อว่าการที่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในเรื่องของการเรียกร้อง หรือคัดค้านความไม่ถูกต้อง ประชาชนมีสิทธิทำได้เต็มที่ ไทยเราก็เป็นภาคีกับนานาประเทศ เรื่องสิทธิและความเสมอภาคเท่าเทียมด้วย ซึ่งในส่วนของคดีความนั้น ก็หวังว่าจะไม่มองที่การกระทำของประชาชนเพียงอย่างเดียว น่าจะมองที่เจตนาด้วย จึงจะต้องเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย และมองปรากฏการณ์ต่างๆ ที่กระทบต่อส่วนรวม เป็นเหตุให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ ซึ่งว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม” เธอถูกให้เป็นจำเลยร่วมในคดีก่อการร้ายแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ต้องหาคดีมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปที่บุกชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองเมื่อปี 2551

//หยุดการแสดง?


“ตอนที่เรียนนั้นเรื่องการแสดงต่างๆ จอยหยุดหมด เพราะเกิดจากผลกระทบจากข่าวที่ใส่สีกันจนเกินจริงมากในช่วงที่จอยออกมาจากช่อง 3 ข่าวในลักษณะกล่าวหามันเป็นการทำลายชีวิตคน ทำให้คนเข้าใจผิดไม่ว่าจะมาจากที่ไหนก็ตาม เมื่อลงในหนังสือพิมพ์บางฉบับแล้วมันแก้ไขยาก มันจึงมีผลกระทบกับงานตรงนั้น แล้วมาเจอกับข่าวการเคลื่อนไหวภาคประชาชน และประชาชนบางส่วนไม่แน่ใจว่าอะไรถูก อะไรผิด กลัวโง่ กลัวถูกหลอกใช้ กลัวผลกระทบเลยไม่กล้าที่จะจ้างงานจอย ไม่กล้าสุงสิงด้วย แต่ยังมีคนที่แยกแยะได้ว่ามันเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน จอยก็ไปทำตรงนั้นได้ และก็ไปทำงานเหมือนเดิมได้ ต้องขอบคุณคนที่ใจกว้าง เป็นคนที่มีหัวใจที่เป็นประชาธิปไตย แม้จะมีผลกับงานแต่ก็พอมีงานก็เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งหนังและละคร แต่ไม่รู้ทำไมจอยมีความรู้สึกไม่ค่อยอยากทำงานทางด้านนี้เท่าไหร่ในตอนนั้น พอดีมีเรื่องคดี ใจเลยมุ่งไปที่จะเรียนเรื่องกระบวนการบริหารงานยุติธรรมเท่านั้น ต้องเรียนให้จบและต้องรู้ เพราะมันจะเป็นประโยชน์กับคนอีกเยอะมาก เราได้อะไรจากสังคมเยอะแล้ว นาทีนี้เป็นนาทีที่จอยจะคืนให้กับสังคมได้แล้ว จึงต้องขอโทษใครหลายๆ คนที่ติดต่องานมา แล้วเราต้องเรียนเลยไม่สามารถรับงานได้จริงๆ ไม่ได้ถือดีอะไร เพียงแต่เรามีเป้าหมายใหม่ที่จะทำอะไรเพื่อสังคมให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

“ส่วนเรื่องของการพูดคุยกับทางผู้ใหญ่ของช่อง 3 เรื่องนี้ก็จบไปแล้ว ไม่อยากย้อนหรือพูดถึง แต่ถ้าถามว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหน ก็คือว่าไม่มีการเจรจาอย่างเปิดเผยโปร่งใส ฉะนั้น เราต้องทำในส่วนของเราให้ดีที่สุด” ส่วนอัพเดตล่าสุด จอยได้รับการติดต่อจากทีมผู้จัดที่เป็นข่าว ก็คิดว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีจึงตกลงเล่น โดยได้รับแจ้งว่าผ่านประชุมช่องแล้ว แต่ภายหลังก็แจ้งยกเลิกมา


เธอยอมรับอีกว่ามีสองขั้วที่ชวนให้ลงเล่นการเมือง “ตลอด ทางที่ผ่านมาของการขึ้นเวทีก็มีคนชวนเล่นการเมืองเยอะ จอยบอกตรงๆ ว่ามีทั้งสองขั้ว มีชวนให้ลงสมัครเลือกตั้ง และชวนไปทำงานด้วย แต่เราไม่รู้สึกว่าอยากทำงานอะไรเกี่ยวกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่เราอยากทำงานตรวจสอบนักการเมืองมากกว่า ว่าเขาทำงานโอเคหรือเปล่า แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเรามีศักยภาพอะไรที่พอจะมาเป็นนักการเมืองในขณะนั้น เขาชวนเราไปเพื่ออะไร หรือเพื่อเป็นสีสัน หรือถ้าได้จะให้ไปยกมืออีกหนึ่งมือเพื่ออะไร (หัวเราะ) เลยเป็นเรื่องที่เราไม่ได้คิดมาก ทุกอย่างมันเลยจบเพราะปฏิเสธไปทุกที่ แต่เมื่อเขาให้เกียรติเราก็ไปเจอเขาเพื่อพูดคุย แล้วเราก็บอกว่าไม่พร้อมและขอบคุณ”

//ธรรมะสอนใจ


คุณจอยเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เข้าร่วมกิจกรรมของรายการสโมสรผึ้งน้อย ด้วยการมีผลงานเพลงชุด โบว์สีชมพู ชุดที่ 1-2 และเคยเป็นผู้ประกาศข่าวเกี่ยวกับเด็กในรายการ จิ๋วแจ๋วเจาะโลก เป็นดีเจรายการ เนชั่นจูเนียร์สุดสัปดาห์ และเคยแสดงละครช่อง 7 เรื่อง ขมิ้นกับปูน รับบทเป็น ปัทมา (ตอนเด็ก) จากนั้น นพพล โกมารชุน แห่งบริษัท ยูม่า กำลังมองหาคนที่จะมาแสดงบท เจ้าจ้อย ในละครทางช่อง 3 เรื่อง โสมส่องแสง จึงได้มอบบท เจ้าจ้อย ให้เธอ และทำให้มีชื่อเสียงมาตั้งแต่บัดนั้น ถือเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่ได้แสดงบทบาทที่หลากหลาย ทั้งร้องงิ้ว (เสน่ห์นางงิ้ว) ร้องลูกทุ่ง (สาวน้อยคาเฟ่) ร้องหมอลำ (ราชินีหมอลำ) ร้องลำตัด (เรือนรัก เรือนทาส) เคย ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และพลิกบทบาทครั้งสำคัญในละครเรื่อง ตลาดอารมณ์ ในบทร้ายครั้งแรก จนคว้ารางวัลเมขลามหานิยมแห่งปี ครั้งที่ 24 สาขา นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมไปครอง

“ตั้งแต่สโมสรผึ้งน้อย แล้วสมัยเรียนก็เรียนรำ ทำให้อยู่ในสายบันเทิง มันคือศิลปะ อยู่ตรงนี้มาเกือบ 30 ปีแล้ว (หัวเราะ) ตรงนี้ต้องแยกกันนะ คือเรารักในงานศิลปะ และเติบโตมาแบบนี้มันเหมือนอยู่ในอณูหรือสายเลือดเราไปแล้ว แต่สังคมบันเทิงเปลี่ยนไปทุกวัน และตอนนี้มาสนใจในกระบวนการยุติธรรม หรือเรื่องความเป็นธรรม คงต้องบอกว่าจอยก็ไม่ได้แฮปปี้จากข่าวใส่ความที่ผ่านมาของจอยอยู่แล้ว และเคยพยายามขอความเป็นธรรม มันเลยเกิดความรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากเข้าไปใกล้วงการบันเทิงให้สะเทือนความรู้สึกเราอีก มันเหนื่อย (น้ำเสียงห่อเหี่ยว) รู้สึกเบื่อ ฉะนั้นเรามาแก้ปัญหากันดีกว่า แก้ปัญหาจากสังคมเล็กๆ จนถึงสังคมใหญ่ ถ้าสังคมมันดี สังคมบันเทิงก็จะดีด้วย สังคมบันเทิงก็เป็นสังคมหนึ่ง ศิลปะเป็นงานที่เรารักอยู่แล้ว แต่สังคมเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแบบนี้เยอะ ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอีกอย่างหนึ่ง แทงข้างหลัง เอาแต่ผลประโยชน์ พรรคพวกและเงินมาก่อน อุปถัมภ์กับพรรคพวกตน แบบนี้มีอยู่ทุกสังคม อย่าไปเน้นสังคมบันเทิงเลย จึงทำให้จอยเบื่อหน่ายกับมุมแบบนี้ในสังคม ก็เหมือนหลายๆ คนนั่นแหละ แต่ไม่ได้เบื่อแล้วอยู่เฉยๆ ถึงจะเบื่อแต่ก็ยังสู้อยู่ (หัวเราะ)”

จากการที่ได้ศึกษาธรรมะ ทำให้ จอย-ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิต “ที่ จริงเป็นเด็กวัดมากกว่า ได้รับใช้ศาสนา ทำให้เราค่อยๆ ซึมซับสิ่งดีงาม ได้ขัดเกลาใจตนเอง ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตั้งแต่ชีวิตเราและความทุกข์ความสุข แต่เราต้องทำปัจจุบันให้ดี ทุกอย่างจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แม้เราไม่ถูกทั้งหมด แต่ว่าเราเรียนรู้ได้ เรื่องเสียงเมาท์ถึงความโด่งดังที่เคยมี ตรงนี้มันเป็นเรื่องของคำคนที่จะพูดให้จอยดูแย่ลงได้ แต่จอยไม่ได้เดือดร้อน เพราะเรารู้ว่าเราเป็นยังไง ความดังเราไม่เคยไขว่คว้า แต่ได้มาเพราะผลงานที่เราร่วมสร้าง วันนี้จอยกลับรู้สึกว่า จอยมีคุณค่ามากกว่าเมื่อก่อน ครั้งหนึ่งคุณพ่อทำงานอยู่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ที่มีเหตุการณ์จะแปรรูปการไฟฟ้า เพราะมัวแต่โด่งดัง แต่ประเทศชาติจะพังยังไม่สำนึกอีก พอคุณพ่อบอกให้ไปช่วยร้องเพลงให้กับลุงๆ ป้าๆ ที่มานั่งชุมนุมเป็นปีแล้ว กับการคัดค้านเรื่องแปรรูป เพราะยังอยากให้ไฟฟ้าเป็นของคนไทย ตอนนั้นก็กระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย แต่ก็ไปด้วยความกตัญญู และเชื่อว่าคุณพ่อเลือกสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเขาทำอะไรกัน ไม่มีเวลาใส่ใจ ร้องเพลงเสร็จนักข่าวก็มากัน จอยก็หลบๆ แล้วก็คิดว่าอะไรกันเนี่ย ทำไมเราต้องหลบนักข่าว ทำไมเราต้องมาลำบาก

“กระทั่งวันนี้ที่เรารู้เรื่อง เรารู้สึกผิดที่ละเลย เสียใจ เพราะถ้าวันนั้นเราเข้าใจคงไม่ต้องมาเรียกเราหรอก ฉันไปเลย (หัวเราะ) จะร้องเพลงและอยู่ให้มากกว่านั้น ขอบคุณทุกท่านที่ต่อสู้ให้ส่วนรวม ตรงนี้จะเห็นความแตกต่างเรื่องชื่อเสียงกับคุณค่าความเป็นคนของแผ่นดินที่คุณจะมองยังไงก็ได้ อย่างน้อยว่างๆ คุณก็มองดูตัวเองบ้าง คุณจะว่าร้ายก็อยู่ที่คุณ แต่จอยไม่สะเทือนหรอก เพราะรู้ตัวดีว่าจอยไม่ได้ดีทุกด้าน จอยไม่ได้แย่ทุกด้าน แต่เป็นจอยที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน สิ่งที่วัดว่าดีขึ้นของจอยคือการทำประโยชน์ให้กับคนอื่น จะวัดความมีคุณค่าของตัวเรา มันจึงเป็นสิ่งที่จอยภูมิใจมาก ตรงนี้อาจเป็นเกราะทำให้จอยแข็งแรงไม่สะเทือนกับคำวิจารณ์ต่างๆ แวบแรกที่ได้ยินจะรู้สึก แต่พอตามจิตเราทันก็จะคิดได้ว่าเขาไม่รู้จักเราจริง เพราะเราแค่คิดต่างกัน”