“มหาวิทยาลัยชีวิต” สร้างฝัน วัฒนภาคย์ จินศิริวานิชย์ “ถ้าไม่ยอมแพ้ ก็ผ่านไปได้”

“มหาวิทยาลัยชีวิต” สร้างฝัน วัฒนภาคย์ จินศิริวานิชย์ “ถ้าไม่ยอมแพ้ ก็ผ่านไปได้”

 

 

 

http://www.changeintomag.com
นิตยสาร เชนจ์ อินทู CHANGE into Mag
 
CHANGE Inspiration
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : ชวกรณ์ สะอาดเอี่ยม
 
“มหาวิทยาลัยชีวิต” สร้างฝัน
วัฒนภาคย์ จินศิริวานิชย์ “ถ้าไม่ยอมแพ้ ก็ผ่านไปได้”
 
“มหาวิทยาลัยชีวิต” คือ จุดเปลี่ยนของความสำเร็จในการช่วยสร้างฝันเป็นจริง ของ “วัฒนภาคย์ จินศิริวานิชย์” ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตกลายเป็นบทเรียนสู่ความสำเร็จ มีคติเตือนใจ “ถ้าเราไม่ยอมแพ้ เราก็ผ่านไปได้”
 
 
นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงวัย 34 ปีคนนี้ เรียกว่าชีวิตมีสีสันเข้มข้นครบทุกรสชาติ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “คลื่นลมพายุพัดกระหน่ำ”ที่โหมเข้ามาในครั้งหนึ่งของชีวิต ภาคย์-วัฒนภาคย์ จินศิริวานิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูลิฮัน กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารหนุ่มธุรกิจอาหารเสริมคอลลาเจนแบรนด์โซล ซีเคร็ท, อาหารเสริมลดสัดส่วนแบรนด์ ยูริ บาย โซลซีเครท แบรนด์ดังที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ มียอดขายติดอันดับในวัตสัน เซเว่น อีเลฟเว่น และยอดจำหน่ายที่มีมูลค่าสูงถึงหลักร้อยล้านภายในเวลาเพียง 3 ปี
 
 
//รักชีวิต “อิสระ”
คุณภาคย์ เป็นบุตรชายคนเดียวของครอบครัวนักธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายซีดีแผ่นลิขสิทธิ์ซี่รี่ย์เกาหลี ในวัยเด็กคุณพ่อคุณแม่แยกกันอยู่ ทำให้เขาต้องอยู่กับคุณแม่มากกว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาแบบไม่มีระเบียบวินัยในชีวิตมาก พอเรียนจบมัธยมที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ก็บินไปเรียนคอร์สบิสซิเนสที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เป็นการเรียนระดับปริญญาตรีขั้นต้น
 
“ช่วงที่เรียนติดเพื่อน เกเร ไม่ตั้งใจเรียน ทำให้ครอบครัวผิดหวังและเป็นห่วง พอกลับมาคุณพ่อชวนให้มาอยู่ด้วย แล้วเรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สาขาการเงิน ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ทำให้ต้องตั้งใจทำตัวให้ดีขึ้น เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ด้วยความที่อยู่กับคุณแม่จะไม่มีกรอบอะไร แต่พออยู่กับคุณพ่อต้องมีระเบียบทำให้ชีวิตมีวินัยมากขึ้น ช่วงที่เรียนก็ชอบเรียนเองนอกห้องด้วยการทำงานพาร์ทไทม์ เช่น รับงานไม้แกะสลักจากพม่าแบบซื้อมาขายไป หรือหาของพรีเมี่ยมตามฮ่องกง ไต้หวันมาขายให้โรงแรมและร้านอาหาร จนกระทั่งมีเงินเก็บประมาณ 7 หลัก จึงนำไปลงทุนเล่นหุ้นต่อ รู้สึกฮึกเหิมมาก เพราะคิดว่าเราสามารถพิสูจน์ให้ที่บ้านเห็นว่าสามารถหาเงินได้ด้วยตัวเองได้”
 
//เป็นหนี้ 10 ล้าน
จากการทำงานส่งผลให้เด็กหนุ่มมีความกล้ามากขึ้น กล้าที่จะไปยืนเคียงข้างกับผู้ใหญ่ มีประสบการณ์ในการค้า การติดต่อกับหน่วยงานราชการ แตกต่างจากเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนชีวิตจะไปด้วยดี แต่แล้วความไม่แน่นอนก็เกิดขึ้น
 
“ตอนอยู่ชั้นปีที่ 3 พอร์ทหุ้นที่ลงทุนกลับมีปัญหาทำให้เขาขาดทุนแทบหมดตัว ส่วนธุรกิจก็โดนหุ้นส่วนและซัพพลายเออร์โกง ปัญหาถาโถมเข้ามาในชีวิต ทำให้มีหนี้เกือบสิบล้าน ชีวิตเริ่มตกต่ำ แม้รู้ว่าครอบครัวอาจจะช่วยเหลือได้ แต่ด้วยคุณพ่อเป็นคนเคร่งและไม่เคยบอกเรื่องการค้ากับครอบครัว ผมจึงตัดสินใจเคลียร์ด้วยตัวเอง พยายามทำงานหารายได้พิเศษต่างๆ ไปหาของมาขาย สมัครเป็นพนักงานการตลาดออกสัมภาษณ์ ทำเซอร์เวย์ตามบ้าน ทำทุกอย่างจนกระทั่งเรียนจบ โดยใช้เวลาเรียนจนจบเกือบ 7 ปี”
 
//เริ่มธุรกิจ “เสื่อผืนหมอนใบ”
“พอคุณพ่อดึงตัวมาช่วยงานแต่ไม่ได้โชว์ฝีมืออย่างเต็มที่ พอดีมีโอกาสตามพ่อไปเกาหลีบ่อย ได้เห็นและสนใจสินค้าเกาหลีโดยเฉพาะในหมวดบิวตี้ซึ่งมีความหลากหลายมาก ตอนนั้นในเมืองไทยยังไม่ค่อยมี จึงเริ่มซึมซับและสนใจธุรกิจคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับเกาหลีมาเรื่อย ๆ แต่งานที่คุณพ่อให้ทำคือคุมสต็อก จึงไม่มีโอกาสทำอะไรมากนัก แต่ก็พยายามเสนอให้ท่านเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจมาเป็นดิจิตอลและออนไลน์มากขึ้นเพื่อสอดรับกับกระแสสังคมโลกที่เปลี่ยนไปในเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งตอนนั้นอาจจะเป็นเรื่องใหม่มากในสมัยนั้น คุณพ่อจึงไม่เข้าใจและไม่ยอมรับความคิดเห็น ยังคงดำเนินธุรกิจแบบเดิมต่อไป
 
“ผมจึงเริ่มอยากทำธุรกิจของตัวเอง ไม่ต้องการรบกวนเงินของครอบครัว อยากพิสูจน์ตัวเองด้วย จึงตัดสินใจออกจากบ้านมาแบบเสื่อผืนหมอนใบ ไม่มีเงินติดตัว เอามาเพียงแค่กระเป๋าเสื้อผ้า 1 ใบและคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องเท่านั้น ก็ตั้งใจว่าจะต้องทำธุรกิจของตัวเองให้ได้ เพื่อให้ที่บ้านยอมรับในความสามารถของผม”
 
ช่วงนั้นคุณภาคย์อายุประมาณ 25-26 ปี ได้ยืมเงินรุ่นพี่สองหมื่นบาทมาหาห้องเช่ารายวันอยู่แล้วหางานประจำทำไปด้วย โดยตั้งใจว่าหากได้งานแล้วจะเดินในสายของพนักงานประจำให้ถึงที่สุดแล้วจะออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ทำงานประมาณ 3-4 แห่ง ก่อนที่จะลาออกไปทำงานกับซัมซุงและที่เทสโก้โลตัสเป็นแห่งสุดท้าย ณ เทสโก้โลตัสนี่เองที่เป็นจุดพลิกผันในชีวิต เพราะเขารู้สึกอิ่มตัวกับงาน เริ่มค้นคว้าศึกษากลุ่มสินค้าผู้หญิงเพื่อมาทำธุรกิจเอง เพราะมองว่ามีมาร์จิ้นค่อนข้างสูง จากนั้นได้รู้จักพาร์ทเนอร์ที่เกาหลี เริ่มมองเห็นช่องทางในเรื่องของวัตถุดิบ สูตรต่างๆ รวมทั้งได้รู้จักกับหุ้นส่วนปัจจุบันคือ คุณยศ บุญญสถิตย์ ที่สนใจในธุรกิจเกี่ยวกับผู้หญิงเหมือนกัน เพราะมองว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ผู้หญิงก็ไม่หยุดสวย จึงตัดสินใจจับมือกันเปิดธุรกิจ เป็นผลิตภัณฑ์ โซล ซีเคร็ท ขึ้นมา
 
//ชีวิตเปลี่ยน...เพราะเฉียดตาย!
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้กลับมาจาก “มหาวิทยาลัยชีวิต” ผู้ชายคนนี้ผ่านเหตุการณ์ไม่คาดฝันมามากมาย รวมถึงช่วงเวลาเฉียดตายอันน่าตื่นเต้น จุดหักเหที่กลับเป็นจุดทำให้อาหารเสริมโซล ซีเคร็ทมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวันนี้
“ผมขับรถไปประสบอุบัติเหตุพอดีที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นเนินเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างเปลี่ยวเพราะเป็นทางเลี่ยงเมือง โดยรถหมุนประมาณ 4-5 รอบแล้วฟาดกับเสาข้างทางแล้วตีลังกาตกหมุนกระแทกหลายครั้ง ตอนนั้นคิดว่าตายแน่ แล้วเพราะไม่น่าจะมีรถผ่านมา แต่เหมือนโชคช่วย เผอิญมีรถคันหนึ่งที่ขับเลยไปแล้ว แต่ภรรยาคนขับสังเกตเห็นรถเราคว่ำทางกระจกหลัง จึงบอกให้สามีถอยรถกลับมาช่วย จำได้ว่าเป็นพี่ใส่เสื้อสีแดง ซึ่งตอนนี้ก็ยังตามหาเขาอยู่ เพราะว่าถ้าไม่ได้เขาตอนนั้น เราก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร ซึ่งเขาจัดการประสานกับตำรวจและมูลนิธิมาช่วยดึงเราออกจากรถ ตอนนั้นไม่ได้สติ โทรศัพท์ก็พังหมดติดต่อใครไม่ได้ จึงไม่ติดต่อใครเลยระหว่างที่นอนอยู่โรงพยาบาล จนกระทั่งตอนออกจากโรงพยาบาล มีพยาบาลช่วยหาโทรศัพท์มาให้ พอเสียบซิมเดิมเห็นว่าสายแรกที่มิสคอลเข้ามาคือญาติที่ติดต่อเราไม่ได้ และสายแรกที่ติดต่อมาคุยงานเลยคือโรงงานที่แจ้งว่า โซล ซีเคร็ทพร้อมขายแล้ว ณ วันนั้น
 
“กลับกลายเป็นว่าสภาพของผมในเวลานั้นหลังจากออกจากโรงพยาบาล แทบไม่ต่างอะไรกับคนพิการที่ดูแลตัวเองไม่ได้ แผนธุรกิจที่คิดไว้ก็พังทลาย เพราะแค่เดินยังจะไม่ไหว รายได้ก็ไม่มีแต่ผมยังคงไม่ยอมแพ้และมุ่งมั่นที่จะสู้ต่อ สองสามวันหลังออกจากโรงพยาบาล ผมจึงเดินหน้าทำการตลาดผ่านทางออนไลน์ทั้งๆ ที่ใช้มือซ้ายได้แค่ข้างเดียว จนกระทั่งวันที่ 3 ของการขาย เริ่มมีลูกค้าซื้อ 1 ซอง จึงดูแลลูกค้ารายนั้นอย่างเต็มที่ และเริ่มมีการพูดแบบปากต่อปากขยายไปในกลุ่มเพื่อนของลูกค้าคนแรก ต่อมาคือเดินถือซองโซลซีเคร็ทไปเดินขายฝากตามหน้าร้าน ด้วยสภาพที่แขนใส่เฝือกข้างหนึ่ง หนวดเคราเฟิ้ม เนื้อตัวมีบาดแผลและรอยฟกช้ำเต็มตัว หลายร้านปฏิเสธ เดินจนกระทั่งมีร้านแรกรับฝาก แล้วกลับมาโปรโมทร้านนั้นทางออนไลน์ เพื่อให้เกิดกระแสปากต่อปากขึ้นจนในที่สุดทางร้านมีการขายออกและเริ่มขยายร้านค้ามากขึ้น จากนั้นเดินเข้าหาร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่รายหนึ่งของไทย เพื่อให้ช่วยกระจายสินค้าให้ เพราะเริ่มมองว่าสินค้านี้ไปได้แล้ว ปรากฏว่าช่องทางตัวแทนจำหน่ายรายนั้นกลับฟันธงว่าสินค้าคอลลาเจนแบบซองนี้คงขายไม่ได้เกินพันซองต่อเดือนแน่นอน ด้วยสมัยนั้นไม่ค่อยมีใครทำ เพราะอาหารเสริมมักเป็นขวดสีชาหรือกล่อง รูปแบบซองวางบนชั้นลูกค้ารู้สึกไม่คุ้นเคย จากเหตุการณ์ในวันนั้น ผมจึงนำเรื่องนี้มาเป็นแรงผลักดันฮึดสู้ ในที่สุด ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงได้รับการตอบรับดีมาก” ด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โซล ซีเคร็ท ในรูปแบบซองสามารถจำหน่ายได้นับล้านเม็ดหรือ 1 ล้านซอง ลบคำสบประมาทดังกล่าวได้อย่างสิ้นเชิง
 
 
//ยึดคำสอนพ่อ ระวัง “คำพูด คือ อาวุธ”
3 ปีที่ผ่านมาในจัดตั้งบจก.ยูลิฮัน ถือว่าผลิตภัณฑ์โซล ซีเคร็ทประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายอย่างมาก โดยล็อตแรกผลิตออกมา 1,000 ซอง ภาคย์บอกว่าพันซองนั้นอาจใช้เวลาขายเป็นปี และแผนที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกคือ 1.ภายในสามปีแรกยอดขายต้องแตะที่ 100 ล้านบาท 2.ต้องเข้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่นให้ได้ภายใน 5 ปีแรก 3.จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนให้ได้ภายใน 10 ปี
“ปรากฏว่าทุกอย่างกลับเซอร์ไพร์สมาก เพราะสำเร็จและไปไกลมากกว่าที่เคยคิดไว้ เพราะเพียงแค่ปีเดียวของการทำธุรกิจยอดขายก็แตะเกือบ 800 ล้านบาทแล้ว และภายในปีแรกทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่นก็ติดต่อเข้ามาเพื่อเสนอให้นำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายภายในร้าน ผมเชื่อว่ายูลิฮันประสบความสำเร็จได้เพราะเรื่องของการสร้างแบรนด์ เพราะเรามีคอนเซ็ปต์ที่สื่อถึงความซื่อสัตย์และจริงใจต่อผู้บริโภค แล้วถ้าเราไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์อันใกล้นี้เราก็อาจโดนคู่แข่งจากนานาชาติเข้ามาตีตลาด ที่เราเข้าตลาดครั้งนี้เพื่อรองรับตลาด AEC ด้วย”
 
นอกจากนี้ในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ “ผมได้ใช้คำสอนของคุณพ่อบริหารตลอด คุณพ่อจริงๆเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก(หัวเราะ) ผมก็จะซึมซับจากท่านมา โดยท่านบอกว่า คำพูดของเราก่อนที่จะออกจากปากเราแต่ละคำ จะเป็นเพียงแค่ลมปากเรา แต่เมื่อคำพูดมันออกไปแล้วจะเป็นอาวุธ ถ้าเราใช้ดีๆมันก็จะเป็นอาวุธช่วยปกป้องหรือสร้างโอกาสต่างๆให้เราได้ แต่ถ้าเกิดเราระวังไม่ดี คำพูดเหล่านั้นก็จะกลับกลายมาเป็นอาวุธทิ่มแทงเราได้เหมือนกัน ดังนั้น ก่อนที่จะพูดหรือรับปากทำสัญญากับใครพยายามคิดให้รอบคอบมากๆ และท่านยังเป็นอีกคนหนึ่งที่สอนให้ผมไม่ให้ยอมแพ้ จะเจอในธุรกิจที่เราทำอะไรก็ตาม ถ้าคิดจะทำอย่ามองว่า ในตลาดนั้นมีคนทำหรือยัง ถ้าเราเข้าไปทำธุรกิจที่เขาทำกันอยู่แล้วแสดงว่าเราจะต้องเจอคู่แข่งที่รอเราอยู่ แต่ถ้าหาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราหาคำว่า ไม่ แล้วเข้าไปพิชิตมันให้ได้แล้วเราฝ่าฟันเข้าไปก็จะพบว่าเราจะไม่มีคู่แข่ง เพราะฉะนั้นก่อนจะทำอะไร ผมก็นำมาพัฒนาสินค้าของผมเหมือนกัน ผมทำสินค้าใหม่ๆก็จะมองคู่แข่งว่าอะไรที่เขาทำไม่ได้หรือไม่ทำ หรือทำแล้วไม่ได้ ตรงนี้จะมีเสน่ห์ที่ทำให้ผมอยากเข้าไปมาก อะไรที่เขาขายดีอยู่แล้วในตลาดเราจะไม่ทำ เพราะเราไม่อยากเข้าไปเจอการแข่งขันที่สูง”
 
//หลักบริหาร “ไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์”
“ผมเป็นคนทำงานที่เร็วทำให้เรามองในเรื่องของประสิทธิภาพในการบริหารงานว่า ทุกคนมีวันเวลานาทีที่เท่าๆกันหมด แต่คนหนึ่งจะทำให้มีมูลค่ามากน้อยแค่ไหน มันอยู่ที่นำเวลาที่เรามีไปต่อยอดให้เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น การวางแผนงานในแต่ละวัน ผมคิดว่าเสมอว่าจะมีเวลาที่จะเป็นโอกาสในการที่จะไปต่อยอดทางธุรกิจแค่ไหน ผมจะไม่ทำงานแล้วไม่เกิดมูลค่าให้กับบริษัท เช่น ผมจะไม่เสียเวลาเป็นชั่วโมงที่จะวางแผนงานเพื่อให้องค์กรมีทิศทางที่ดีขึ้นในการเติบโตด้วยการกระจายงานให้ผู้จัดการแต่ละฝ่ายไปทำ ผมมองว่าดีกว่าที่ผมจะนั่งเสียเวลาเป็นชั่วโมงกับงานที่ไม่เกิดวิชั่นในระยาว
 
“ดังนั้น เราทำอะไรก็ตามต้องมองถึงอนาคตไปอีก 5 ปีข้างหน้าเรามีเป้าอะไรที่วางเอาไว้ คือต้องตอบโจทย์เป้าหมายระยะยาวของเรา ส่วนอีกข้อคือการบริหารคนที่น่าจะเป็นนโยบายของเราก็ได้ คือ ผมจะไม่พยายามตีกรอบในการทำงานให้กับพนักงาน ด้วยส่วนตัวก็ไม่ชอบการตีกรอบตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ผมมองว่าเป็นการปิดกั้นของความคิดสร้างสรรค์ ในบริษัทผมจะมีหนึ่งถึงสิบให้ โดยที่ผมจะชี้แนวทางให้แค่หนึ่งสองสาม ส่วนตั้งแต่สี่ถึงสิบทุกคนจะต้องทำต่อเอง โดยที่ผมจะไม่ชี้ให้ว่า ห้าหกเจ็ดแปดจะต้องเดินแบบนี้ ไม่เช่นนั้นจะไปปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ถ้าผมทำเองทั้งหมดก็จะไม่รู้เลยว่าใครเก่งกว่าเรา และจะไม่เกิดสิ่งใหม่ๆในองค์กร เมื่อผมให้อาวุธเขาไปแล้วหากติดขัดอะไรก็เข้ามาคุยกันได้ตลอด เพื่อให้เขาฝ่าฟันไปให้ถึงเป้าหมาย”
 
ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง “วัฒนภาคย์ จินศิริวานิชย์” ฝากข้อคิดปิดท้ายด้วยว่า “สิ่งที่ผ่านมาในชีวิต ทุกอย่างได้หล่อหลอมเป็นให้เป็นเราในวันนี้ ไม่ว่าชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลาน การลองผิดลองถูก การถูกโกงหรืออุบัติเหตุที่พบเจอ การสู้ชีวิตด้วยสภาพคนพิการ สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันมากพอที่จะทำให้เราสามารถมาสร้างธุรกิจได้ ถ้าเราไม่ยอมแพ้ เราก็ผ่านไปได้ หรือคนเราจะล้ม อย่าลุกทันที จะต้องให้มีสติแล้วค่อยลุก พอลุกแล้วต้องคิดให้ได้ว่าที่เราล้มนั้น ล้มเพราะอะไร แล้วอะไรที่เราจะพัฒนาได้ เพื่อที่จะไม่ต้องล้มแบบเดิมได้อีก คุณล้มอีกได้ แต่อย่าล้มแบบเดิม พอเราล้มหลายรูปแบบเรื่อยๆ ก็จะทำให้ขาเราแข็งพอที่จะไม่ล้มอีก เพราะจะเป็นเรื่องของภูมิคุ้มกันที่จะก้าวสู่ความสำเร็จได้”