เปิดฉากละคร…จำนำข้าวลวงโลก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม “ทางออกสุดท้าย...รัฐบาลต้องยุบสภา”

เปิดฉากละคร…จำนำข้าวลวงโลก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม “ทางออกสุดท้าย...รัฐบาลต้องยุบสภา”

 

 

 

นิตยสาร เชนจ์ อินทู

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์ แต่งหน้า : บัณฑิต บุญมี
สถานที่ : ร้านกาแฟ Espresso Gallery ลาดพร้าว 12


เปิดฉากละคร…จำนำข้าวลวงโลก
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม 
“ทางออกสุดท้าย...รัฐบาลต้องยุบสภา” 

 
กล่าวหารัฐบาล 3 ประเด็น ทุจริตโครงการรับจำนำข้าว 450,000 ล้านบาท ที่เชื่อมโยงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยได้ยื่นเอกสารสำคัญร้อง ป.ป.ช. เพื่อหาคนโกงว่ามีการซื้อขายแบบจีทูจีตามที่กล่าวอ้าง หรือเป็นแค่จีทูจีผี มั่นใจทางออกสุดท้ายรัฐบาลต้องยุบสภา

 

ที่ผ่านมาประชาชนเฝ้าหน้าจอในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากไฮไลต์อยู่ที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่หมายมั่นปั้นมือตีแผ่ความจริงโครงการรับจำนำข้าว ทำให้คนไทยได้รับรู้ว่าการขายข้าวแบบ “จีทูจี” หรือรัฐต่อรัฐนั้นไม่มีอยู่จริง แต่เป็นการขายให้บริษัทเอกชน (ตัวย่อ จี มาจาก Government แปลว่า รัฐบาล จีทูจี หมายถึง รัฐบาลต่อรัฐบาล)
 
คุณหมอวรงค์เปิดเผยความจริงเป็นฉากๆ ถึงกระบวนการที่มาที่ไป มีทั้งคลิปเสียง คลิปภาพ ใบเสร็จ ขั้นตอนของเงินที่ไหลไปไหลมา ใครโยงกับใคร สัมพันธ์กันอย่างไร ไม่ชอบมาพากลขนาดไหน ที่สำคัญโยงใยไปถึง “ตัวจริงเสียงจริง” ที่อยู่เบื้องหลังบริษัททั้งของจีนและของไทยที่ได้ทำการซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยอย่างชัดเจน
 
 
// กล่าวหารัฐบาล 3 ประเด็น
ภายหลังอภิปรายไม่วางใจกรณีการขายข้าวผีจีทูจี ทำให้คุณหมอตั้งข้อกล่าวหารัฐบาลในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการจงใจโกหกประชาชน โดยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า เป็นผู้นำประเทศ แต่ตั้งใจโกหก ที่อาจพูดผิดพูดถูกระหว่างเอ็มโอยูกับสัญญาซื้อขาย ซึ่งก็ไม่มีการชี้แจงหรือนำสัญญาใดๆ มาให้ประชาชนรับทราบ 
 
“ข้อหาแรกผมมองว่าเป็นการขายข้าวผีจีทูจี เป็นการขายข้าวให้กับคนใกล้ชิด ประเด็นที่สอง เงินที่ได้มาไม่ใช่ที่ได้มาด้วยการเปิดแอลซีกับรัฐบาลต่างประเทศ ผมก็กล่าวหาว่าเงินที่ได้มาเป็นเงินเช็คเล็กๆ น้อยๆ ภายในประเทศ แล้วลักษณะเช็คเป็นการพัวพันการฟอกเงิน ผมกล่าวหารัฐบาลตรงๆ พัวพันกับเงินบัญชีต้องสงสัย ส่วนประเด็นที่ 3 ผมกล่าวหานายกฯ โกหก เพราะนายกฯ เป็นคนพูดเองว่า ‘เห็นค่ะๆ’ แต่ที่สุดแล้วเห็นอะไร จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาล และถ้าติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลจะต้องตอบโต้ฝ่ายค้านที่ถูกกล่าวหาแรงๆ แบบนี้ แต่ก็ยังไม่ตอบโต้แบบถึงพริกถึงขิง จนป่านนี้ยังไม่ได้ชี้แจงกรณีนี้เลย” ด้วยประเด็นนี้ที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน คุณหมอเลยเข้าร้องต่อ ป.ป.ช. 
 
 
// ยื่นเอกสารสำคัญร้อง ป.ป.ช.
จากนั้นคุณหมอวรงค์เข้ายื่นหนังสือถึง ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ดำเนินการสอบสวนโครงการของรัฐบาลที่มีการทุจริต ประกอบไปด้วย 1.โครงการรับจำนำข้าว ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยอภิปรายในการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2.โครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน (SML) ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าได้รับการร้องเรียนจากประชาชนโดยตรง

“ภาพรวมของโครงการรับจำนำข้าวมีปัญหาในช่วงระบายขายข้าว ที่รัฐบาลอ้างว่าเป็นไปในลักษณะรัฐต่อรัฐใน 3 ประเทศ แต่จากการตรวจสอบนั้นไม่เป็นความจริง มีการเอื้อกับบริษัทที่ใกล้ชิดคือ บริษัท สยามอินดิก้า ในราคาพิเศษ โดยที่ข้าวเหล่านั้นถูกขายไปในแต่ละโรงสีเพื่อเวียนเทียนมาเข้าโครงการใหม่ เอกสารที่นำมายื่นกับ ป.ป.ช.เป็นหลักฐานที่ระบุถึงการระบายข้าวขาออกของรัฐบาลที่เชื่อมโยงกับ บริษัท จีเอสเอสจี และขายข้าวโดยตรงให้ตัวบุคคล ซึ่งไม่มีรัฐบาลใดเคยดำเนินการ นอกจากนี้ยังไม่มีหลักฐานระบุถึงเส้นทางทางการเงินที่เกิดจากการเปิดแอลซีที่มาจากรัฐบาลต่างประเทศ แต่มาจากบุคคลที่ใกล้ชิดกับ บริษัท สยามอินดิก้า 

“หลักฐานที่นำมายื่นกับ ป.ป.ช.นี้ถือว่าครบวงจรมาก เมื่อรัฐบาลมีการนำบัญชีข้าวไปเชื่อมโยงกับบัญชีต้องสงสัยว่ามีการฟอกเงิน ผมดีใจที่ ป.ป.ช. มีมติที่จะรับไต่สวนในความผิดนี้ หลังจากนั้นจะขยายผลไปถึงใครบ้างก็ค่อยเอาผิดบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในส่วนเรื่องของการฟอกเงินนั้น เนื่องจาก ป.ป.ช.สามารถไต่สวนเรื่องเส้นทางทางการเงินได้ ผมก็เอาปัญหาทางการเงินนี้ให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบด้วย แล้วผมยังได้ไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้สอบสวนเส้นทางทางการเงิน แต่ในเรื่องของการโกหกก็เป็นเรื่องทางการเมือง ผมคิดว่าคนที่เป็นผู้นำของประเทศมากล่าวคำโกหกต่อประชาชนจะต้องรับผิดชอบทางการเมืองบ้าง แต่ผมไม่ได้ต้องการให้นายกฯ ต้องรับผิดชอบอย่างนั้นอย่างนี้นะ แต่อยากให้นายกฯ พูดชัดๆ ว่าที่บอกว่า ‘เห็นค่ะๆ’ ผมอยากจะฟังว่าเห็นอะไร เห็นเอ็มโอยู หรือเห็นจีทูจี นายกฯ ต้องแสดงความรับผิดชอบ”
 
สำหรับเอกสารที่ร้อง ป.ป.ช.ได้เสนอให้ตรวจสอบ 4 คน คือ นายกรัฐมนตรี ที่เคยออกมาแถลงข่าวว่ามีการขายข้าวจีทูจี จะรู้เห็นเป็นใจหรือละเว้นนั่นเป็นอีกเรื่อง คนที่สองคือ บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ ที่เป็นประธานอนุกรรมการระบายข้าว เป็นคนเซ็นอนุมัติโดยตรงที่ต้องรับเต็มๆ สามคือ เจ้าหน้าที่รัฐ อาจจะเป็นระดับอธิบดี ปลัดกระทรวงตามแต่ ป.ป.ช.จะสอบสวนไปถึง และส่วนที่ 4 คือผู้เกี่ยวข้อง อาจจะเป็นบริษัทเอกชนที่เป็นตัวละครที่เกี่ยวข้อง
 
// เชื่อมโยง “ทักษิณ”
จังหวะนั้นคุณหมอวรงค์หยิบเอกสารที่เคยนำไปแสดงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี กรณีโครงการรับจำนำข้าวไว้อย่างน่าสนใจ โดยแจกแจงรายละเอียดตั้งแต่ตรวจสอบบัญชีธนาคารของ รัฐนิธ มีเงินอยู่ในบัญชีเพียง 64.63 บาท ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับผู้มีอำนาจติดต่อซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทย จากการตรวจสอบพบพิรุธในการขายข้าวจำนวน 7.32 ล้านตัน พบว่ามีการตั้งบริษัท 2 บริษัท คือ บริษัทจากจีน 1 แห่ง และบริษัทคนไทย 1 แห่ง โดยบริษัทจากจีนชื่อ “GSSG IMP AND EXPORT CORP” อยู่ที่เมืองกวางเจา บริษัทนี้ทำสัญญาค้าข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ 5 ล้านตัน ผู้ที่มีอำนาจของบริษัทคือ รัฐนิธ โสจิระกุล แต่มอบอำนาจให้ นิมล รักดี ชาว อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เป็นผู้ดำเนินการแทน
 
จากการตรวจสอบยังระบุว่า รัฐนิธ มีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” อายุ 32 ปี เพิ่งผ่านการเรียนหลักสูตรวุฒิบัตรผู้ช่วยและผู้ปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภา รุ่นที่ 6 รวมทั้งเป็นนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้า และเป็นผู้ช่วย ส.ส.ในลำดับที่ 3 ของ รพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (ภรรยา อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง)
 
ส่วนข้อมูลที่เป็นหัวใจอยู่ที่ นิมล รักดี จากการลงพื้นที่สอบถามโรงสีในพื้นที่ภาคกลาง ได้รับการเปิดเผยว่า นิมล มีชื่อในวงการว่า เสี่ยโจว เป็นมือขวา “เสี่ยเปี๋ยง” เจ้าของ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งในปี 2546 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
 
“เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ผมได้ตรวจสอบข้อมูลนิมล พบว่านิมลเคยถูก ป.ป.ช.ชี้มูลการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวในนาม บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งการอ้างว่าขายข้าวแบบจีทูจีก็เพื่อหลีกเลี่ยงการประมูลให้ได้ราคาพิเศษ ไม่มีการระบายข้าวจริง เป็นการตั้งบริษัทผีมารับข้าว เพื่อนำข้าวไปเร่ขายให้กับโรงสี อาจจะได้ส่วนต่างสูงถึงตันละ 3,000 บาท บางล็อตสูงถึง 5,000 บาท
อยากถามว่า เหตุใดรัฐบาลปล่อยให้บุคคลที่เคยมีความผิดเรื่องการทุจริตสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาซื้อข้าวในรัฐบาลชุดนี้อีก
 
“ความมาแตกตอนเหตุการณ์ที่ย่านจิมซาจุ่ย ฮ่องกง โรงแรมเพนนินซูล่า ซึ่งวันนั้นคุณทักษิณไปที่ฮ่องกง ซึ่งเป็นการจัดเลี้ยงให้กับบุคคลใกล้ชิด ผมเห็นเพื่อนๆ ส.ส.เพื่อไทย บอกว่านั้นเป็นภาพตอนงานวันเกิด ไม่ใช่เป็นการจัดเลี้ยงให้เฉพาะคนใกล้ชิด แต่เป็นความบังเอิญที่คุณเฉลิมเป็นคนหนึ่งที่ไปร่วมงานนี้ เพราะสื่อต่างประเทศตอกย้ำว่าคุณเฉลิมไปร่วมงาน แล้วสื่อไทยก็นำมาขยายผล ซึ่งเป็นภาพที่คุณเฉลิมเดินตามคุณทักษิณ โดยผมได้รับคำยืนยันจากคนค้าข้าวว่า คุณเฉลิมเดินตามคุณทักษิณจริง จนผมได้นำคลิปนี้ไปให้คนที่บางมูลนากดู โดยที่ผมไม่ได้บอกว่าคนนี้คือใคร แต่เขาต่างยืนยันว่าเป็น เสี่ยเปี๋ยง” ตรงนี้จึงยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณทักษิณและเสี่ยเปี๋ยง
 
 
// ทุจริตแสนล้านจริงหรือ...?
ในการตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ มีคนส่งข้อมูลเป็นบัญชีข้าวของรัฐบาลมาให้ดู เป็นบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ เลข 385009504-5 ซึ่งข้อมูลช่วงวันที่ 28 กันยายน-15 ตุลาคม ที่รัฐบาลบอกว่าจะมีการขายข้าว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พบว่ามีการถอนเงินจากธนาคารใหญ่ในหลายลักษณะ ทั้งแคชเชียร์เช็ค การถอนเงิน หรือการโอนเงินจากธนาคารใหญ่ ในการจับโกหกหากเป็นการค้าแบบจีทูจีจะต้องมีการเปิดแอลซี
 
แต่ครั้งนี้คุณหมอวรงค์บอกว่า “ไม่พบมีการเปิดแอลซี แสดงว่าไม่มีการค้าข้าวให้ต่างประเทศจริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนจากธนาคารใหญ่ เช่น มีการโอนเงินรวม 72 รายการ จากธนาคารใหญ่ 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ รวมเป็นเงินมูลค่า 4,960 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกจากบัญชีกรมการค้าต่างประเทศ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท”
 
เมื่อไม่มีการค้าข้าวแบบจีทูจีจริง แต่รัฐบาลกลับเปิดโอกาสให้ บริษัท สยามอินดิก้า เอาข้าวของรัฐบาลไปเร่ขายให้กับโรงสีในลักษณะของไปเงินมา มีการพบแคชเชียร์เช็คออกในนามของ สมคิด เรือนสุภา ที่ซื้อแคชเชียร์เช็คจำนวนกว่า 500 ล้านบาท พอตรวจสอบที่อยู่ของสมคิดตามที่แจ้งที่อยู่เลขที่ 191 ซอยดำเนินกลาง เขตพระนคร ปรากฏว่าไม่มีสภาพเป็นบ้านของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ และจากการสอบถามชาวบ้านใกล้เคียงทราบว่าสมคิดได้ย้ายไปอยู่บ้านของภรรยาที่เขตบางแค อีกทั้งตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าสมคิดเป็นคนของ บริษัท สยามอินดิก้า โดยได้รับมอบอำนาจจากเสี่ยเปี๋ยงให้ไปจดทะเบียนตั้ง บริษัท สยามอินดิก้า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 ตามข้อมูลไปต่อพบข้อมูลบัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-03796-9 โดยบัญชีดังกล่าวมีผู้มีอำนาจลงนามจำนวน 5 คน อาทิ นิมล, เรืองวัน, กฤษณา
 
 
ขณะเดียวกัน ยังมีชื่อของ เรืองวัน เปิดบัญชีไว้กว่า 100 บัญชี และมีการตั้งกองทุนชื่อว่า KTAM เพื่อไว้ซุกเงิน ลักษณะที่ตรวจพบว่าเมื่อมีการโอนเงินมาช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายก็มีการถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมดในรูปแบบของเงินสด ตามที่ได้ข้อมูลคือ บัญชีนิมลพบว่ามีการโอนจากธนาคารกสิกรไทยไปธนาคารกรุงไทยหลายรายการ ได้แก่ เมื่อวันที่ 27 กันยายน จำนวน 260 ล้านบาท วันที่ 28 กันยายน จำนวน 99 ล้านบาท วันที่ 3 ตุลาคม จำนวน 485 ล้านบาท วันที่ 5 ตุลาคม โอน 306 ล้านบาท และวันที่ 9 ตุลาคม โอน 405 ล้านบาท โดยการโอนเงินลักษณะนี้อาจเข้าข่ายการฟอกเงิน และมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน
ประเด็นที่รัฐบาลยอมนำหัวของบริษัทจีนมาทำสัญญาแบบจีทูจีเป็นเพราะว่าต้องการเลี่ยงการประมูล ซึ่งมีราคาสูง จากการตรวจสอบพบว่าเมื่อทำเช่นนี้จะค้าข้าวกระสอบละ 300 บาท ทั้งที่ราคาข้าวในตลาดจะอยู่ที่กระสอบละ 1,500-1,555 บาท ดังนั้นเมื่อค้าข้าวกระสอบละ 300 บาท จำนวนที่รัฐบาลว่าจะขายทั้งหมด 7.32 ล้านตัน จะมีค่าส่วนต่างถึง 2 หมื่นล้านบาท
 
 
“ข้าวที่มีการซื้อขายพบว่าถูกนำไปไว้ที่โกดัง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวของ บริษัท สยามเพรซิเดนท์ โดยใช้วิธีการเทข้าวเก็บไว้ในโกดัง แทนเก็บไว้ในกระสอบ โดยทราบว่าเมื่อช่วงวันที่ 5 พฤษภาคม-16 กรกฎาคม มีการนำข้าวไปไว้ถึง 410,000 กระสอบ ทั้งนี้ประเด็นที่เกิดขึ้นนั้นนายกฯ ทราบข้อมูล และมีการสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในการกระทำทุจริตตามที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล
 
“ผมทราบข่าวว่าเสี่ยเปี๋ยงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในวงการค้าข้าวและรัฐบาล โดยเมื่อต่างชาติจะซื้อข้าวไทย มีผู้ใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าให้ไปเจรจากับเสี่ยเปี๋ยง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่บ่งชี้ชัดเจนว่าเสี่ยเปี๋ยงมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล และเปิดทางให้เสี่ยเปี๋ยงทำมาหากินแบบนี้” นี่เป็นข้อมูลที่คุณหมอนำออกมาแฉให้กับสังคมไทยได้รับรู้
 
// ทางออกสุดท้าย...รัฐบาลยุบสภา
คุณหมอวรงค์ สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร กรุงเทพมหานคร ระดับปริญญาตรี แพทยศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระดับปริญญาโท สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) และวุฒิบัตรแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทาง สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

จากนั้นเข้ารับราชการเป็นนายแพทย์ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข และเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลโซ่พิสัย จ.หนองคาย เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพรเจริญ จ.หนองคาย เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก ต่อมาจึงได้ลาออกจากราชการเพื่อเข้าสู่งานการเมือง ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในการเลือกตั้งปี 2548, 2550 และปี 2554 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับการแต่งตั้งเป็นรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์และรองประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร

“วันนี้ผมตรวจสอบการการรับจำนำข้าว และมั่นใจว่ามีการทุจริตกันเยอะ ที่สุดโครงการรับจำนำข้าวสุดท้ายจะทำให้รัฐบาลไม่มีตังค์ โครงการนี้ก็ไปไม่รอด ถ้าเป็นพรรคประชาธิปัตย์จะยกเลิกโครงการรับจำนำที่มีการทุจริตกันเยอะ แล้วกลับมาใช้โครงการประกันรายได้แทน ผมเชื่อว่าโครงการของเราดีกว่า ครั้งที่แล้วอย่างว่าฐานของเรา 11,000 บาท แต่พอเป็นรัฐบาลเพื่อไทยปรับฐานขึ้นมาเป็น 15,000 บาท ทุกคนก็ต้องตาโตกันหมด คือหลักของการช่วยเหลือคนจน รัฐไม่ใช่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำการค้า ภาคเอกชนทำได้ดีกว่า รัฐต้องอำนวยความสะดวกให้เขา ยกเว้นเขามีปัญหาภาครัฐต้องเข้าไปแทรกแซงเป็นระยะๆ คือเข้าไปช่วยเขาในขั้นตอนต่างๆ”

บทสรุป โครงการรับจำนำข้าวท้ายที่สุด คุณหมอวรงค์ยืนยันมุ่งมั่นเดินหน้าตรวจสอบการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวจนกว่าจะหมดแรง มั่นใจสุดท้ายรัฐบาลต้องนับถอยหลังเพื่อยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน
 
/////////////////////////////