ปิดฉากวิบากกรรม…พ้นผิดคดีเช็คเด้ง 77 ล้าน อัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร

ปิดฉากวิบากกรรม…พ้นผิดคดีเช็คเด้ง 77 ล้าน อัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร

 

 

 

 


เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง
ภาพ : อชิระ อติประเสริฐกุล แต่งหน้า : บัณฑิต บุญมี


ปิดฉากวิบากกรรม…พ้นผิดคดีเช็คเด้ง 77 ล้าน 
อัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร  
 “ถ้าไม่มีความยุติธรรม ประเทศนี้ก็อยู่ไม่ได้แล้ว”

 



สาเหตุที่ทำให้ถูกฟ้องในคดีเช็คเด้ง 77 ล้านบาท เนื่องจากมองโลกในแง่ดี จนถูกปลอมลายเซ็น มีความรู้สึกเสียใจเมื่อเพื่อนสนิทพากันหมางเมินต่างกล่าวหาว่าขี้โกง แต่ว่าแม้ใจเหมือนติดคุกตลอด 3 ปี สุดท้ายใช้ธรรมะเยียวยารักษาใจ   กระทั่งถึงวันชี้ชะตาชีวิตที่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เมื่อศาลอุทธรณ์ยกฟ้องในที่สุด


ภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง โดยกลับคำพิพากษาศาลชั้นที่ให้ลงโทษจำคุก 10 ปี ในคดีเช็คเด้ง 77 ล้านบาท วันนี้ศาลได้ยกฟ้องคดีทั้งหมด ทำให้ คุณยุ้ย-อัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร ภรรยาคนสุดท้ายของ บิ๊กจ๊อด-พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) สามารถพิสูจน์ด้วยตัวเองจากรอดพ้นที่ใจต้องติดคุกมานาน 3 ปี  WhO? เลยได้รับโอกาสเปิดความในใจครั้งแรก ณ บ้านพักย่านสุขุมวิท 65 หลังตกเป็นจำเลยสังคมมานานหลายปี


 //ถูกฟ้อง...เพราะมองโลกในแง่ดี
คุณยุ้ยเล่าถึงสาเหตุของคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อปี 2550 ได้รับหมายจากตำรวจที่มี บริษัท คอนติเนนตัล ไดมอนด์ จำกัด ไปฟ้องดำเนินคดีที่ สน.บางรัก ระบุว่า สั่งจ่ายเช็คของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสุรวงศ์ จำนวน 16 ฉบับ เป็นค่าเพชรแล้วไม่มีเงินเป็นจำนวน 77 ล้านบาท โดยที่คุณยุ้ยเป็นจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 คือ โจเซฟ เปรม เจฟรี เป็นชาวอินเดีย กล่าวหาว่าทำบริษัทเดียวกันที่เป็นหุ้นส่วนกัน  “ความจริงแล้วพี่ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนเลย ครั้งแรกที่เปิดบริษัทเพราะลูกชายกับเพื่อนๆ เรียนจบกลับเมืองไทยมาทางด้านดีไซน์เพชรพลอย เขาอยากเปิดบริษัทดีไซน์ พี่ก็เปิดให้เขา แต่พอลูกๆ ไปลองทำกันแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ก็ไม่อยากทำ”
จังหวะนี้เองทำให้เธอได้รู้จักนายโจเซฟที่วัดแขกแล้วได้สนทนาจนทราบว่า นายโจเซฟต้องการเปิดร้านเพชร เป็นเวลาเดียวกันที่คุณยุ้ยกำลังเลิกทำธุรกิจเพชรพอดี “ขายหัวบริษัทให้กับเขาไป ด้วยความใจดีโจเซฟบอกว่ายังไม่มีคนไทยที่จะจดทะเบียนแทนได้ ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าเขาวางแผนไว้ยังไง แล้วขอให้เป็นชื่อเรา และชื่อลูกชายจดทะเบียนไปก่อน ซึ่งความจริงแล้วตัวเองมีหุ้นอยู่แค่ 500 หุ้น จากหลายหมื่นหุ้น ตอนนั้นเห็นว่าอายุโจเซฟใกล้เคียงกับลูกชาย แล้วเป็นคนต่างชาติมาทำกินอยู่ในเมืองไทย ช่วยอะไรได้ก็อยากช่วย ช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ แต่พอมีคนเตือนเรื่องชื่อจดทะเบียน  ที่สุดก็เอาชื่อตัวเองกับลูกออกมา แล้วหาคนไทยคนอื่นมาจดแทน”

ต่อมาโจเซฟได้ชวนเข้าร่วมถือหุ้น เนื่องจากเขายังเป็นลูกหนี้กู้เงินของเธอด้วย  “เงินที่ให้กู้ไปก็เป็นแสน ล้านสองล้านเท่านั้น เขาเป็นคนกู้ที่จ่ายตรงต่อเวลา วางแผนไว้ให้เราตายใจมาก ทำว่าเป็นคนดี ชำระดอกเบี้ยตรงต่อเวลา กระทั่งเขาบอกว่าตอนนี้ไม่มีเงินขอให้เอาชื่อพี่เข้าไปถือหุ้นในบริษัทก่อน รับรองว่าไม่โกง แล้วเขาก็เขียนเช็คสั่งไว้ให้ด้วย เราบริสุทธิ์ใจก็เชื่อเขาอีก หุ้นที่ถือก็คิดเป็นเงินไทยประมาณ 2 ล้าน ต่อมาเช็คที่เขียนจ่ายพี่ก็ไม่ผ่าน เราเลยไปบังคับให้เขาจ่าย พอไปบังคับเขาก็เป็นช่วงที่เขาขาดการติดต่อไป”
ด้วยความเผอเรอกลายเป็นที่มาให้ บริษัท คอนติเนนตัล ไดมอนด์ จำกัด ฟ้องร้องดำเนินคดี “ตอนแรกที่เปิดบริษัทนั้นได้เช่าห้องของเพื่อนอยู่ พอเลิกเช่าก็บอกว่าเราไม่เช่าแล้วคนที่เช่าต่อจะเป็นนายโจเซฟ เพื่อนก็บอกว่าเขาไม่เอาถ้าแขกคนนี้เช่า เราก็เลยเป็นนายประกันให้กับเขาอีก หลังจากนั้นไม่ได้สนใจอะไร อยากฝากเตือนทุกๆ คนเลยว่าอย่ามองโลกในแง่ดีแบบเราเลย”


 //ถูกปลอมลายเซ็น
“ที่ถูกฟ้องเขาระบุว่าจ่ายเช็คเซ็นชื่อเป็นภาษาอังกฤษสลักหลังเช็คของนายโจเซฟ  ลายเซ็นที่เซ็นเหมือนลายเซ็นในพาสปอร์ตเลย  เพิ่งมานึกได้ว่าทำไมเขาถึงรู้ลายเซ็นในพาสปอร์ตของเรา  มาถึงบางอ้อเพราะว่าเราชอบไปไหว้พระที่อินเดีย เขาจะคอยอาสาไปทำวีซ่าให้  โจเซฟคงเห็นแล้วเก็บข้อมูลเอาไว้ ก็ได้ปฏิเสธกับตำรวจไปว่าไม่ใช่ลายเซ็นของเรา ได้นำลายเซ็นไปตรวจกับกองพิสูจน์หลักฐาน ผลตรวจออกมาก็ระบุว่าไม่ใช่ลายเซ็นของดิฉัน  ตำรวจสั่งฟ้องไปยังอัยการ แต่อัยการก็สั่งไม่ฟ้อง แต่อัยการสั่งฟ้องนายโจเซฟ จำเลยที่ 1
“พออัยการสั่งไม่ฟ้องนายโจเซฟก็ไปฟ้องพี่ที่ศาลเลย แล้วเขาเป็นคนจัดการเรื่องเอกสาร เขาบอกว่าเดี๋ยวจะหาทนายมาเอง เพราะทำให้พี่เดือดร้อนพี่ก็เชื่อเขาอีก เราก็ไม่ได้เอะใจอะไรเลย ที่สุดก็ถูกนายโจเซฟหลอกให้หลงเชื่อในการทำสำนวนคดีอีก” เธอเล่าไปพลางบ่นว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ และเข้าใจซึ่งคำว่าเนรคุณในคราวนี้เอง   


 //เพื่อนหมางเมิน?
ในเวลาต่อมา ศาลแขวงพระนครใต้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คุณยุ้ย จำเลยที่ 2 กระทำผิดจริง ให้เรียงกระทงลงโทษ พิพากษาจำคุกกระทงละ 1 ปี จำนวน 16 กระทง รวม 16 ปี อย่างไรก็ตามกฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกได้ไม่เกิน 10 ปี คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 10 ปี  กลายเป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้นทันที
“ตอนฟังคำตัดสินครั้งแรกยังรู้สึกงงๆ อยู่นี่มันเกิดอะไรขึ้น ถามตัวเองตลอดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา แต่ก็คิดว่าถ้าสิ่งนี้เราไม่ได้ทำ สักวันความจริงต้องปรากฏ แล้วเชื่อว่าคนที่อยู่ใกล้ๆ เราคงมีพรหมวิหาร 4 ถึงจะเข้าใจเราบ้าง เพราะเราไม่ใช่คนอย่างนั้น พอถึงเวลาอะไรแบบนี้คนในสังคมจะชอบมองเราในแง่ร้าย ยิ่งเข้ามากระหน่ำเราเลย ทำให้อยากที่จะปลีกวิเวกไม่อยากจะพบใคร  
“จากที่เคยอยู่ในสังคมวงใหญ่ก็กลับมาอยู่ในสังคมแคบๆ มีเพื่อนฝูงที่จริงใจกับเราเพียงสิบกว่าคน แต่สิบกว่าคนที่เรายังมีเพื่อนบางคนพยายามมองเราในแง่ร้าย แอบคุยถึงเราทำนองว่า มิน่าล่ะ ถึงรวยเพราะไปโกงมาแบบนี้ โอ้โห…โกงทีเป็นร้อยล้านเลย ถึงได้ดูดีแบบนี้ที่แท้ไปโกงเขามา ตอนแรกได้ยินรู้สึกเสียใจ แม้แต่คนที่เคยสนิทชิดชอบกันที่เหมือนเราเคยมีบุญคุณกับเขา เคยช่วยเหลือมาเขายังมองว่าเราขี้โกงเลย ตอนแรกที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ร้อนรนไปหาที่พึ่ง พอไปหาส่วนใหญ่ไม่อยากพบ เลยบอกกับเพื่อนสนิทว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่ไปหาใครแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเราก็คิดว่าถ้าเราไม่สนใจ ตอนนั้นมันมีทุกข์มาก ทำยังไงไม่ให้เราอยู่ในสภาพแบบนี้” เธอว่าบางครั้งชีวิตคนเราไม่ต่างอะไรกับการวิ่งหนีเสือปะจระเข้


//ใจติดคุก...รักษาด้วยพระธรรม
ความผิดหวังที่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิท หรือกลุ่มคนที่เคยให้ความช่วยเหลือไป แต่สุดท้ายถูกเพื่อนเหล่านั้นปฏิเสธที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เป็นที่มาให้เธอเริ่มปลงกับผู้คนในสังคม “ตอนนั้นคิดเลยว่าต่อไปเกิดเรื่องใหญ่โตแค่ไหนจะไม่ไปขอร้องใครให้มาช่วยอีกแล้ว  ที่สุดก็รู้อย่างเดียวว่าเราต้องหันหน้าเข้าหาธรรมะ ตามคำว่า ไตรสรณคมน์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ไม่มีที่ไหนเป็นที่พึ่งให้กับเราได้อีกแล้ว นอกจากพระพุทธเจ้า แล้วก็คิดว่าท่านช่วยเราได้ยังไงเมื่อเราอยู่ในยามคับขัน เราต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าท่านจะอยู่กับเราได้ยังไง แต่มาวันนี้พิสูจน์ได้แล้วว่า พระพุทธเจ้าช่วยเราได้ ก็ได้แต่สวดมนต์ภาวนา

“ได้อ่านพระไตรปิฎกแล้วได้รู้จัก พระมหาจักรพรรดิสุทัศนมหาราช ตอนที่พระพุทธเจ้าอยู่ที่เมืองกุสินาราแล้วนิพพานไป พระอานนท์ถามว่ามาอยู่ทำไมเมืองนี้มันเล็กๆ ท่านก็บอกกับพระอานนท์ว่า อานนท์เมืองนี้ไม่ใช่เมืองเล็กๆ นะ เมืองนี้ในสมัย 84,000 ปีก่อนพุทธกาล เมืองนี้เคยเป็นเมืองที่ใหญ่มากเลย เราเองเคยเป็นพระมหากษัตริย์ที่นี่ ชื่อว่า สุทัศนมหาราช พอได้อ่านก็เลยสนใจแล้วรู้ว่า สมัยนั้นท่านใช้ธรรมะปกครองประเทศเช่นเดียวกับในหลวงของเรา ดั่งปฐมบรมราชโองการว่า เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม สุทัศนมหาราชเสด็จฯ ไปไหนจะทรงสอนศีล 5 ให้กับประชาชน จนมาสะกิดใจอยู่อย่างหนึ่งว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมืองนี้ไม่ได้รับความยุติธรรมจากศาล ท่านยังไปว่าความจนเกิดความเป็นธรรม

“กระทั่งวันหนึ่งมีโอกาสได้รู้จักอาจารย์กฎหมาย (อาจารย์เอกชัย ปฐนนนท์-อดีตทนายความ) ซึ่งนับถือพระจักรพรรดิสุทัศนมหาราชเช่นกัน  ที่ทุกวันนี้ชอบช่วยเหลือคนที่มีปัญหาเรื่องกฎหมายที่ไม่ได้รับความยุติธรรมเสมือนเป็นผู้ปิดทองหลังพระ จากความศรัทธาด้วยกายได้ทำพิธีผ่านมายังองค์พระสยามเทพกรรมาชน  พร้อมกับสอนธรรมให้กับคุณยุ้ยที่ต้องใช้ พละ 5 หรือ อินทรีย์ 5  ในการแก้ปัญหานี้ซึ่งประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา คือ สภาพที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตนในการกวาดล้าง หรือครอบงำอกุศลธรรมอันตรงข้ามกัน เป็นเครื่องบ่งชี้ความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม เป็นธรรมที่พระพุทธองค์รับรองคำกล่าวของพระสารีบุตรว่า เป็นผลต่อเนื่องกัน นั่นคือ มีศรัทธา ทำให้เกิดความเพียร เมื่อมีความเพียร ช่วยให้สติมั่นคง เมื่อสติมั่นคง เวลากำหนดอารมณ์ก็จะได้สมาธิ เมื่อมีสมาธิดีแล้ว ก็เกิดความเข้าใจในคุณโทษของวัฏฏะ เห็นอริยสัจ คือเกิดปัญญานั่นเอง 
  “อาจารย์ก็ย้ำถามอีกว่า คุณยุ้ยมีความมั่นใจใช่ไหมว่าเราไม่ได้ทำผิด ต่อไปนี้คุณยุ้ยต้องพยายาม ต้องใช้สติ ใช้ปัญญา ตั้งแต่นั้นมาก็เดินคู่มากับอาจารย์ ไปอ่านคำฟ้องทุกศาลเลย จนรู้ว่าเขาวางแผนเอาไว้อย่างนี้ อาจารย์ก็เลยมาเริ่มเขียนคำร้องเพื่ออุทธรณ์ไป” 


//ยกฟ้อง...วันสำคัญที่สุดในชีวิต
ก่อนหน้าที่จะมีการนัดฟังคำพิพากษา 7 วันสุดท้าย คุณยุ้ยเดินสายไปกราบพระขอพรพร้อมกับธูป 108 ดอก ให้กับตัวเองตามวัดต่างๆ ทุกวัน “ตอนขอพรจะท่องว่า ลูกกำลังอยู่ในภาวะคับขัน ขอให้พุทธองค์เป็นที่พึ่ง แล้วขอให้สายร้อยรัดของที่เป็นเหมือนวิบากกรรมที่เคยทำมากี่ภพกี่ชาติให้หลุดเถอะ กับชีวิตที่อยู่อีกไม่นานแล้ว ขอให้สายร้อยรัดความทุกข์นี้ให้มันหลุดหรือขาดไปเลย แล้วจะขอรับใช้สังคมและศาสนาพุทธด้วยการสอนธรรมะให้คนอื่นได้พ้นทุกข์บ้าง แม้แต่น้อยก็ยังดี
“วันที่ไปฟังคำพิพากษาถือเป็นวันที่สำคัญที่สุดในชีวิต ที่ตัดสินว่าจะเดินทางไหน คิดว่าถ้าคำตัดสินออกมาว่าผิด ก็จะต้องฎีกา จะขอสู้ให้เต็มแรงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม เพราะถ้าไม่มีความยุติธรรม ประเทศนี้ก็อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้ผิด ทุกวัันนี้ได้ตั้งมูลนิธิพระสยามเทพกรรมาชน เพื่อออกมาสู้กับสังคม แต่ถึงชนะก็ตั้งใจช่วยเหลือผู้คนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม อยากบอกกับทุกคนว่าสิ่งแรกที่ทุกคนต้องเจอคดีแบบนี้จะต้องทำจิตให้นิ่งที่สุด คนดีจะมาช่วยเรา

“วันนั้นมีญาติและเพื่อนกว่า 30 คนไปร่วมฟังด้วย ตัวเองยืนอยู่หน้าบัลลังก์แล้วฟังคำอ่านคำพิพากษาไปเรื่อยๆ กระทั่งคำสุดท้าย พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ทันทีที่คำสุดท้ายว่ายกฟ้องจบลง สร้อยมุกเส้นใหญ่ที่ใส่ไปวันนั้นขาดออกจากกัน ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้น เลยตะโกนบอกท่านผู้พิพากษา ท่านขาดูสิค่ะ (น้ำเสียงตื่นเต้น) สร้อยมุกที่หนักมันขาดแล้วค่ะ ท่านมองมาเหมือนจะอนุโมทนากับเรา ญาติกับเพื่อนๆ เฮกันใหญ่ ลูกสองคนก็เข้ามากอดด้วยความดีใจ เรามีความรู้สึกตัวเบาไปเลย มันเหมือนเกิดใหม่ ตรงนั้นไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า ขอบคุณปัญหา ขอบคุณเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ได้รู้จักความทุกข์ และทำให้ชีวิตเข้มแข็งมากขึ้น จากการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา เพราะชีวิตที่เคยอยู่มามีแต่สุข แล้วถ้าตายไปตั้งแต่ตอนนั้น คงตกนรกเพราะว่าเรายังไม่ได้ปฏิบัติ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ส่วนอนาคตจะก้าวสู่สนามการเมืองหรือไม่ ต้องติดตาม แต่วันนี้เธอเชื่อแล้วว่า ชีวิตวันนี้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่มาจากอำนาจธรรม ด้วยเหตุนี้จึงมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคมด้วยหลักธรรมต่อไป
//////////////