จากปัญหาไปสู่...ปัญญา
ทุกหนทุกแห่งที่มีสังคมของมนุษย์ มีสิ่งที่เกิดขึ้นปกติเป็นประจำของผู้คน พลเมือง หรือพลโลก คือความจำเป็นของมนุษย์ในการที่ต้องบริโภคปัจจัย 4 เพื่อการดำรงชีวิต มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจะต้องอยู่ด้วยกันเพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์และอาศัยกันและกัน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยปลอดภัยจาการคุกคามนาๆ ประการ การบริโภคปัจจัย 4 ของสังคมมนุษย์ ที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จากชุมชนย่อยๆ รอบตัวเป็นสังคมใหญ่ระดับเมือง ก็ได้ขยายเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวทั้งปริมาณและคุณภาพ จำนวนพลเมือง พลโลกที่เพิ่มขึ้นทุกวี่วัน เกิดปรากฎการณ์ของการแสวงหาปัจจัยอื่นเพิ่มขึ้นมาด้วย นอกเหนือจากปัจจัย 4 ตามความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น และอยากเสพย์ของมนุษย์จนเกินขั้นพอดี เกินคำว่าพอเพียง และเกินกว่าความสมควรในการแสวงหาเพื่อให้ได้มา เพราะความอยากของมนุษย์นั้นมันไร้ขอบเขต จนตกลงไปในวังวนของความหลง ยึดความยินดี พอใจในความสะดวกสบาย ความน่าอภิรมย์ ในการบริโภคและเสพย์ในอารมณ์ต่างๆ
นี่คือปัญหาใหญ่ ที่ฝังตัวอยู่ภายในตัวตนของมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์สำคัญตนว่าตนคือสัตว์โลกชนิดเดียวที่ครองโลกได้ และมนุษย์เท่านั้นที่เป็นผู้ขับเคลื่อนความเป็นไปในสังคมโลก จากการที่มนุษย์มีความได้เปรียบทางกายภาพ และที่สำคัญคือมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดในการใช้ร่างกายและความคิดอ่าน ประยุกต์สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกใบนี้ให้มาสนองความต้องการบริโภค การอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเสพย์ แม้กระทั่งสามารถเอาชนะการควบคุมความสมดุลของธรรมชาติ
มนุษย์มีความภูมิใจและให้ความสำคัญในสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นมา ได้ขนานนามสิ่งที่คิดสร้างขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักกันว่า “เทคโนโลยี”เพลิดเพลินหลงใหลไปกับวิถีทางที่ค้นพบยิ่งขึ้นทุกวันๆ โดยลืมนึกถึงความสำคัญยิ่งของสิ่งที่อยู่ภายในตัวตนของมนุษย์เอง คือ สติปัญญาที่สมารถพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด ที่ผ่านมามนุษย์พัฒนาสติปัญญานี้อย่างเมามันในการสร้างความเจริญทางวัตถุด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้ขาดความสำนึกในคุณค่าอันสำคัญและยิ่งใหญ่ ของความสมดุลแห่งธรรมชาติ อันเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยคงสภาพความน่าอยู่สำหรับสิ่งมีชีวิต โดยการอิงอาศัยเกื้อหนุนกันอย่างเป็นระบบ ทั้งคนและสัตว์ชนิดต่างๆ ทั้งพืชพรรณนานาชนิด ใต้น้ำ ในน้ำใต้ดิน บนดิน เหนือพื้นแผ่นดิน และในลมฟ้าอากาศ คือ ธรรมชาติทั้งหมดทั้งมวลที่ประกอบกันเป็นโลกใบนี้
ผลที่ได้จากความเจริญทางวัตถุ ได้เกิดเป็นปัญหาที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มสังเกตเห็น คือ นอกจากมนุษย์จะใช้สิ่งที่เรียกว่าความเจริญนั้นเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังเบียดเบียนสัตว์โลกชนิดอื่นๆ ที่อยู่ร่วมโลกใบนี้ด้วยกันและรวมทั้งเบียดเบียนถึงขั้นทำลายล้างทรัพยากรสำคัญๆ ที่หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย รวมทั้งมนุษย์เองไปด้วย การที่มนุษย์ได้สังเกตเห็น และตระหนักในภัยอันตรายอย่างใหญ่หลวงของมนุษยชาติที่จะต้องประสบในเวลาอันใกล้และได้เกิดความพยายามที่จะยับยั้งแก้ไขนั้น เป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นความวิเศษของปัญญามนุษย์เองที่สามารถถอนตัวออกจากวังวนแห่งความเขลาได้ แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่เปิดกว้างให้แสงสว่างแห่งสติปัญญาที่แสนวิเศษนี้ หันกลับเข้ามาศึกษาธรรมชาติของความไม่รู้ที่ฝังตัวอยู่ภายในตัวตนของมนุษย์มาตั้งแต่เกิด
มนุษย์เราเกิดมาด้วยความไม่รู้ว่าตัวเองนั้นเป็นผู้ไม่รู้ จึงมีคำถามตามมาอีกมากมายที่มนุษย์มักจะละเลยที่จะรู้คำตอบ ก็คือ ทำไมจึงเกิด? ทำไมจึงไม่เกิดเป็นอย่างที่อยากจะเป็น ? เกิดมาเพื่อทำอะไร ? และทำไปเพื่ออะไร ? ที่มาของมนุษย์และที่สุดของมนุษย์คืออะไร ? อะไรที่เป็นคุณและเป็นโทษต่อจิตวิญญาณและกายที่มีความกว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ ? และจะบริหารจัดการกับสิ่งที่ปรากฏกับกายและใจของตนเองอย่างไรดี ? การเข้ามาศึกษาสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในตัวเราดังที่กล่าวมานี้ออกจะยุ่งยาก ซับซ้อน เกินกว่ากำลังสติปัญญาทางโลกโดยปกติจะพึงกระทำได้ แต่ก็ยังเป็นโชคดีของมนุษย์ที่มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เลิศประเสริฐด้วยปัญญาพัฒนาตนเองจากผู้ไม่รู้ เป็นผู้รู้สัจธรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงบนโลกใบนี้ เป็นการตองคำถามที่เป็นปัญหาของมวลมนุษย์ ปัญหาเหล่านั้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายในตัวตนของมนุษย์เอง จากความไม่รู้ในสัจธรรมอันเป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งปวงโดยเฉพาะตัวมนุษย์ที่มีกายกับใจ ใจซึ่งเป็นที่ตั้งของการรับรู้ การคิดอ่านและสติปัญญาที่เกิดขึ้นในขณะที่คิดอ่านกระทำการต่างๆ ในชีวิตทุกเวลานาที ใจซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการขับเคลื่อนให้คิดกระทำต่างๆ ทั้งกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ถ้าการรู้และการคิดอ่านเกิดขึ้นจากสติปัญญาที่ยังไม่ได้พัฒนา ยังถูกความหลงผิดครอบงำอยู่ ไม่รู้ ไม่เข้าใจ หรือรู้ผิด เข้าใจผิด ในธรรมชาติของตนเอง ก็ย่อมรู้ผิดเข้าใจผิด ในสิ่งรอบตัวเอง สังคมของตัวเอง ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองอาศัยอยู่ และของโลกทั้งโลกไปด้วย จึงไม่มีทางจะแก้ปัญหาที่มีมนุษย์ (ตัวเอง) เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้อย่างแน่นอน และหากยังเดินหน้าที่จะใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องต่อไป ก็จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ปัญหายืดเยื้อ รุนแรงซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลาย การค้นพบและเผยแผ่นั้นเกิดขึ้นมาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว เป็นสัจธรรมความจริงที่มีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต ตราบใดที่โลกนี้ยังมีอยู่และมนุษย์ผู้มีธาตุรู้ (หมายถึงจิต หรือ ใจ) ยังมีเกิดอยู่บนโลกใบนี้ ที่สำคัญสัจธรรมที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีคำตอบและวิธีการปฏิบัติไว้อย่างเพียบพร้อม เพื่อมนุษยชาติที่เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้เกิดมาพร้อมกับปัญหา และเป็นผู้สร้างปัญหาต่อเนื่องเอง ทุกปัญหาและทุกคำถาม ทั้งทางวัตถุสิ่งของที่เป็นรูปธรรมสัมผัสได้ และนามธรรมที่สัมผัสได้ด้วยปัญญาของมนุษย์ธรรมดาๆ เช่นเรานี่เอง
ท้ายสุดของข้อเขียนนี้ ขอให้กำลังใจพวกเรากันเองว่า พระธรรมคำสอนที่ทรงแสดงไว้นั้น ถ้าเราเข้าถึงและเข้าใจ และปฏิบัติตามด้วย เราจะประสบความสำเร็จในการทั้งปวง ในการดำรงชีวิตอยู่ดังที่ปรารถนาด้วยชอบ ประกอบด้วยธรรม ปัญหาทุกปัญหามีคำตอบ เราไม่สามารถห้ามหรือหยุดยั้งกลไกซึ่งเป็นกฎธรรมชาติ ที่ทรงตรัสไว้ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมแปรปรวน เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)” แต่เราก็สามารถดำรงอยู่ และบริหารจัดการกับชีวิต และการงานของเราได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ในทุกเรื่อง ทุกกาลเวลา ด้วยปัญญาอันวิเศษที่เรามีอยู่นั่นเอง.
เรื่อง เฒ่าธรรมชาติ